ยิ่งแก้ยิ่งพัง: ดอกไม้สีดำ โคมกลับหัว และคำถามว่า ‘ประชาชนอยู่ตรงไหน’ ในสมการนี้

Date:

เรื่อง: กองบรรณาธิการ

คืนวันที่ 27 ตุลาคม เมืองเชียงใหม่ที่ควรจะเต็มไปด้วยแสงโคมและเสียงน้ำในคืนยี่เป็ง กลับกลายเป็นฉากของความสับสน เมื่อเทศบาลนครเชียงใหม่สั่ง ‘ปรับรูปแบบงาน’ แบบฉับพลันภายใต้แนวคิดใหม่ ‘สายธารแห่งพระเมตตา ไหว้สาพระพันปีหลวง ทวยราษฎร์ทั้งปวงล้วนสดุดี ภักดีสถิตในใจนิรันดร์’ เพื่อไว้อาลัยต่อการสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา

คำสั่งเปลี่ยนธีมงานในเวลาเพียงไม่กี่วันดูเหมือนจะเป็น ‘ความตั้งใจดี’ ที่ต้องการให้บรรยากาศงานสอดคล้องกับช่วงเวลาแห่งความสูญเสีย แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นภาพ ‘ดอกไม้สีดำ’ ที่ปกคลุมกลางเกาะถนนหัวสะพานนวรัฐ ภาพที่ทำให้ผู้คนทั้งเมืองตั้งคำถามถึง ‘ความเหมาะสม’ ของการไว้อาลัยในเทศกาลแห่งแสงสว่าง

จากดอกไม้ สู่ฟุตบาท และโคมกลับหัว

หลังคำสั่งของอัศนี บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อในวันที่ 28 ตุลาคม เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ลุกลามรวดเร็ว ประชาชนจำนวนมากมองว่าการไว้อาลัยไม่จำเป็นต้องทำให้เทศกาลยี่เป็งหม่นหมอง หรือแปรสัญลักษณ์แห่งความรื่นรมย์ให้กลายเป็นภาพโศกเศร้า

สิ่งที่ตามมาคือการ ‘แก้ไขซ้ำ’ ที่ยิ่งทำให้ความสับสนทวีคูณ ฟุตบาทริมถนนจากเดิมสีขาวแดงซึ่งเป็นเขตห้ามจอด ถูกทาทับเป็นสีขาวล้วน ทำให้ประชาชนบางส่วนเข้าใจว่าอนุญาตให้จอดรถได้ และในเวลาเดียวกัน โคมยี่เป็งหลายจุดรอบเมืองกลับถูกติดตั้งในสภาพ ‘กลับหัว’ ราวกับสะท้อนภาพเมืองที่กลับด้านทางความคิดและการจัดการ

บางคนตั้งข้อสงสัยว่า หากงานยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เหตุใดเทศบาลจึงเร่งติดตั้งและส่งมอบงาน บางคนเหน็บแนมว่าการกลับหัวโคมอาจเป็น ‘แนวทางใหม่ของการไว้อาลัย’ ไปโดยปริยาย

หลังเสียงวิจารณ์ดังขึ้น เทศบาลเร่งแก้ไขทันที ปรับโคมให้กลับทิศถูกต้องและรื้อถอนปฏิมากรรมดอกไม้สีดำออกในวันที่ 29 ตุลาคม กระแสดูเหมือนจะสงบลงได้ชั่วครู่ ก่อนที่ภาพ ‘ดอกไม้ชุดใหม่’ จะปรากฏขึ้นอีกครั้งในวันที่ 31 ตุลาคม คราวนี้ในสีขาว พร้อมข้อความว่า

‘สถิตกลางใจประชาราษฎร์ ด้วยสำนึกพระมหากรุณาธิคุณตราบนิจนิรันดร์ – ข้าพระพุทธเจ้า เทศบาลนครเชียงใหม่’

ฟุตบาทก็ถูกทาทับใหม่อีกครั้งเป็น ‘ขาวดำ’ และป้ายไว้อาลัยถูกติดตั้งบนเกาะกลางถนน งานที่ควรสะท้อนศิลปวัฒนธรรมล้านนา กลับกลายเป็นภาพซ้ำของ ‘การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า’ ที่ไม่เคยตั้งคำถามถึงระบบการตัดสินใจของผู้บริหารเมืองเลย

ทาสีดอกไม้ สะเทือนถึงงบประมาณ

กระแสวิพากษ์เรื่อง ‘สีดอกไม้’ ถูกต่อยอดกลายเป็นคำถามใหญ่เรื่อง ‘งบประมาณ’ เมื่อ นันท์นภัสร์ ปฐมเดชภัทรคุณ สมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ พรรคประชาชน ออกมาเปิดเผยว่า เทศบาลใช้งบประมาณในการจัดงานประเพณียี่เป็งปีนี้สูงถึง 27.3 ล้านบาท ครอบคลุมตั้งแต่การตกแต่งเมือง ซุ้มไฟ ประชาสัมพันธ์ ไปจนถึงกิจกรรมต่าง ๆ ภายในงาน

ประเด็นสำคัญคือ การจัดซื้อจัดจ้างใช้ ‘วิธีคัดเลือก’ แทน ‘e-bidding’ แม้จะไม่เข้าเงื่อนไขกรณีเร่งด่วนหรือต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จึงถูกตั้งคำถามถึงความชอบธรรมและความโปร่งใสในการใช้งบประมาณสาธารณะ เธอยังเสนอให้เปิดเผยเอกสารรายละเอียดโครงการทั้งหมด รวมถึงงบย้อนหลัง เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้

เสียงเรียกร้องดังกล่าวได้รับแรงหนุนจาก เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู และ ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ที่ตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดการว่าจ้างผู้รับเหมางานตกแต่งเทศกาลของเทศบาล จึงมักตกอยู่กับบริษัทเดียวคือ บริษัท ฟลอร่าแลนด์สเคป จำกัด ทั้งที่ในเชียงใหม่มีผู้รับเหมาศักยภาพใกล้เคียงอีกหลายราย

ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยระบุว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทเดียวกันนี้ได้รับงานจากเทศบาลมากกว่า 20 โครงการ รวมมูลค่า กว่า 246 ล้านบาท

เฉพาะในงานยี่เป็งปีนี้ การจัดแสงไฟประดับถนนท่าแพใช้งบ 14.69 ล้านบาท งานจัดกิจกรรมยี่เป็งอีก 9.23 ล้านบาท และโคมไฟล้านนา 3.39 ล้านบาท

ตัวเลขเหล่านี้สูงกว่าช่วงสามปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้คำถามไม่ได้อยู่แค่เทศกาลสีอะไรถึงเหมาะสม แต่กลายเป็นคำถามว่า งบกว่า 27 ล้านบาทนี้สะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมของเมือง หรือเพียงภาพสวยชั่วคราวที่หายไปพร้อมแสงไฟ

หรือประชาชนจะเป็นได้เพียงแค่ ‘ผู้ชม’ ของความยุ่งเหยิงนี้

จากดอกไม้ที่ถูกทาทับ ฟุตบาทที่เปลี่ยนสี โคมที่กลับหัว ไปจนถึงงบประมาณที่บานปลาย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ไม่เพียงเป็นเรื่อง ‘ความผิดพลาดทางเทคนิค’
 แต่สะท้อนช่องว่างระหว่าง ‘ผู้บริหารเมือง’ กับ ‘ประชาชน’ อย่างชัดเจน

แม้เทศบาลโพสต์ยืนยันบนเพจว่า ‘รับฟังเสียงประชาชน’ แต่ในทางปฏิบัติ การตัดสินใจส่วนใหญ่ยังคงเกิดขึ้นจากบนลงล่าง โดยไม่ได้เปิดพื้นที่ให้คนในเมืองร่วมออกแบบหรือแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นระบบ เสียงสะท้อนจากประชาชนจึงแผ่วเบาเมื่อเทียบกับอำนาจของคำสั่งราชการ และทุกครั้งที่เกิดกระแส ‘ยิ่งแก้ยิ่งพัง’ เมืองก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เสมือนว่าไม่เคยมีบทเรียนจากครั้งก่อน

คำถามที่ยังค้างอยู่หลังดอกไม้สีดำจางหายไปคือ เมืองที่เรียกว่า ‘นครแห่งวัฒนธรรม’ จะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไร หากผู้คนในเมืองยังไม่มีสิทธิมีเสียงในการออกแบบสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองของตนเอง

เพราะตราบใดที่การตัดสินใจยังถูกกำหนดจากข้างบน ‘ประชาชน’ ก็อาจเป็นได้เพียง ‘ผู้ชม’ ที่เฝ้าดูเมืองเปลี่ยนสีครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่เคยถูกเชิญให้จับพู่กันร่วมวาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ที่มา:

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

พ่อหมอกฤตไท ร้องหยุดดองร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ด้านสภาลมหายใจ เเถลงไม่ควรเอื้อนายทุน

หลังจากเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ในวาระสามด้วยคะแนนเห็นด้วย 309 เสียง...

ให้คะแนนรัฐบาลอนุทิน ‘สอบตกยกแผง’ แก้ปัญหาน้ำกก–สายรวก–โขงปนเปื้อนโลหะหนัก จากเหมืองแร่ในรัฐฉาน

สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประเมินการทำงานของรัฐบาลไทยในการรับมือปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ระบุว่า ‘สอบตกยกแผง’ พร้อมแจกแจงการประเมินเป็นรายบุคคลต่อผู้นำฝ่ายบริหารสามตำแหน่ง นายกฯ...

Lanner Joy: LOLA Gallery DRIP แรงบันดาลใจจากความฝันเล็กๆ สู่รากกาแฟห้วยตองก๊อที่เติบโตอย่างแข็งแรง

เรื่องและภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย ยามบ่ายต้นเดือนพฤศจิกายนที่ลานกว้างของโครงการจริงใจมาร์เก็ต เชียงใหม่ เสียงแจ๊สลอยแผ่วเบาเคล้ากลิ่นกาแฟที่เพิ่งบดใหม่ เทศกาล Jazz Arabica กลับมาอีกครั้งในปี...

เปิด 5 เหตุผล ทำไม ‘เขื่อนปากแบง’ จึงไม่ควรถูกสร้างขึ้นบนแม่น้ำโขง

‘เขื่อนปากแบง’ เป็นโครงการพลังน้ำขนาดใหญ่บนแม่น้ำโขงสายประธานของลาว แบบน้ำไหลผ่าน (Run-of-River) ตั้งที่เมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ห่างชายแดนไทย 97 กิโลเมตร...