แม่น้ำกกไม่ได้มีแค่ปลาแข้ คนเชียงรายไม่ได้ใช้แค่น้ำประปา: ปัญหาแม่น้ำกกปนเปื้อนกับความไม่จริงใจในการแก้ปัญหาของภาครัฐ

Date:

เรื่องและภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง

Summary

  • แม้เวลาจะล่วงเลยเกือบ 5 เดือน วิกฤติกลับยังไร้ท่าทีจะคลี่คลาย มีเพียงภาคประชาชนที่เป็นผู้สืบหาความจริง จนพบต้นตอจากเหมืองแรร์เอิร์ธนอกพรมแดน ขณะที่หน่วยงานรัฐส่วนใหญ่ยังคงปฏิเสธ มีเพียง กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ที่เปิดเผยข้อมูลตรงไปตรงมา
  • ตั้งแต่เดือนเม.ย. 2567 ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกกเริ่มสังเกตเห็นว่าสีของแม่น้ำเปลี่ยนไป กลายเป็นสีขุ่นผิดปกติ แต่ก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในช่วงปลายปี 2567 ซึ่งก่อให้เกิดดินถล่มจำนวนมาก จึงตั้งข้อสังเกตว่าต้นเหตุดินถล่มอาจมีที่มาจากการทำเหมืองแร่ในเขตรัฐฉาน
  • นอกจากนี้ ชุมชนในพื้นที่ริมแม่น้ำกกรายงานว่า ‘ปลาแค้’ ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำกก เริ่มแสดงอาการผิดปกติ โดยพบว่ามีตุ่มพุพองขึ้นตามลำตัว เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ความสงสัยเริ่มขยายวงกว้างกลายเป็นวาระของประเทศ
  • จากรายงานของ Global Witness พบว่าจำนวนการนำเข้าแร่แรร์เอิร์ธของจีนจากเมียนมา มีจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 2560 และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญหลังจากการรัฐประหารเมียนมาในปี 2564 โดยในปี 2566 มีปริมาณการส่งออกสูงถึง 41,678 ตัน
  • โดยในรัฐคะฉิ่น พบแหล่งขุดแร่ได้อย่างน้อย 370 แห่ง และมากกว่า 270 แห่งพบภายหลังจากการรัฐประหารในปี 2564
  • และรัฐฉาน พบว่าในเมืองป้อก จากปี 2558 มีทั้งหมด 3 เหมือง เพิ่มเป็น 26 เหมืองภาย ในปี 2568 เช่นเดียวกับบริเวณริมแม่น้ำกก ห่างจากชายแดนไทยไป 30 กม. จากภาพถ่ายล่าสุดพบว่ามีไซต์เหมืองแร่กระจายอยู่ 3 แห่ง โดย 2 แห่งคาดการณ์ว่าเป็นเหมืองแรร์เอิร์ธ และอีก 1 แห่งเป็นเหมืองทองคำ
  • ผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำจาก กรมควบคุมมลพิษ ทั้งหมด 6 ครั้ง พบว่าจากการเก็บตัวอย่างน้ำผิวดิน 15 จุด พบว่าพบสารหนู (As) เกินมาตรฐานทุกจุดตรวจ นอกจากนี้ยังพบว่า อีก 4 จุด นอกจากสารหนูแล้ว ยังพบว่า มี แคดเมียม และแมงกานีสเกินมาตรฐาน

กว่า 5 เดือนที่ผ่านมา แม่น้ำกกหนึ่งในแม่น้ำสายสำคัญของภาคเหนือได้เปลี่ยนสภาพจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของผู้คนนับล้านชีวิต กลายเป็นแหล่งน้ำที่กำลังปนเปื้อนสารพิษอย่างเงียบงัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเริ่มคืบคลานเข้ามา ตั้งแต่น้ำที่เคยใสกลับกลายเป็นขุ่นข้นอย่างผิดแปลกไป จากเหตุการณ์ดินถล่มและน้ำท่วมที่หนักหน่วงขึ้น สู่ปลาในแม่น้ำที่เริ่มแสดงอาการผิดปกติ ปรากฎการณ์เหล่านี้ล้วนจุดประกายคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับแม่น้ำกก

แม้จะมีข้อมูลจากภาคประชาชนที่บ่งชี้ว่าต้นตอของการปนเปื้อนนั้นอาจมีที่มาจากกิจกรรมที่อยู่นอกประเทศ แต่กลับไม่มีท่าทีจากรัฐในการสร้างความร่วมมือกับภาคประชาชน หรือแม้แต่ยอมรับว่ามีผลว่าในขณะนี้สถานการณ์เข้าสู่จุดเริ่มต้นของวิฤติแล้ว

ผลลัพธ์ของความล่าช้าและไม่ตรงไปตรงมานี้คือความเสียหายที่จะลุกลามจากแม่น้ำกก เข้าสู่แม่น้ำโขงอย่างไร้การควบคุม จากวิกฤติในระดับท้องถิ่น จะกลายเป็นหายนะระดับภูมิภาค ทั้งที่หากรัฐเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาและสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างภาคประชาชน การแก้ไขปัญหาและการสร้างความมั่นใจต่อประชาชนอาจมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

มรดกพิษจากเหมืองแรร์เอิร์ธ ต้นทางสารพิษในสายน้ำ

เพื่อที่จะทำความเข้าใจว่าวิกฤติแม่น้ำกกมีที่มาอย่างไร Lanner ชวนผู้อ่านย้อนกลับไปสำรวจถึงต้นตอของปัญหาครั้งนี้ ซึ่งมีรากฐานมาจากการดำเนินกิจการขุดเหมืองแร่ประเภท ‘แรร์เอิร์ธ’ ในพื้นที่ต้นน้ำ โดยเหมืองดังกล่าวไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นชนวนสำคัญที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศของแม่น้ำกกอย่างรุนแรง

แร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements – REEs) คือกลุ่มแร่ธาตุ 17 ชนิด ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมยุคใหม่ ตั้งแต่การผลิตพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงเทคโนโลยีทางทหารและเครื่องมือทางการแพทย์

ในยุคที่โลกเร่งเดินหน้าสู่พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีดิจิทัล แร่เหล่านี้จึงกลายเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่ทั่วโลกต้องการอย่างมาก โดยมีผู้เล่นอย่าง ‘ประเทศจีน’ เป็นผู้ผลิตและควบคุมเทคโนโลยีแปรรูปในตลาดแร่แรร์เอิร์ธรายใหญ่ที่สุดของโลก

ด้วยเหตุผลดังนี้ ส่งผลให้จีนต้องพยายามเร่งหาแรร์เอิร์ธเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เติบโตขึ้น อย่างเช่นแร่ Terbium (TB) และ Dysprosium (DY) ซึ่งนำไปใช้ในการผลิตแม่เหล็กถาวรที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานสะอาด ในบริบทนี้ เมียนมาจึงกลายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของจีนได้

ปริมาณการนำเข้าแร่แรร์เอิร์ธของจีนจากเมียนมา
ปีจำนวนการส่งออก (หน่วย: ตัน)หมายเหตุ
2560370
25618,147
256214,428
256317,457
256419,460
256511,380ปริมาณการส่งออกแร่มีจำนวนลดลง เป็นผลมาจากมาตรการปิดพรมแดนของจีนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
256641,678

รายงาน Fuelling the future, poisoning the present: Myanmar’s rare earth boom จาก Global Witness เปิดเผยจำนวนการนำเข้าแรร่แรร์เอิร์ธของจีนจากเมียนมา มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2560 และเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลภายหลังจากการรัฐประหารเมียนมาในปี 2564 ส่งผลให้เมียนมาขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตแรร์เอิร์ธเป็นลำดับ 3 ของโลก รองจากจีน และสหรัฐฯ ส่วนไทย พบว่าเป็นผู้ผลิตเป็นลำดับ 5 ของโลก 

หลังการรัฐประหารโดยกองทัพเมียนมาในปี 2564 พบว่าเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในพื้นที่ในทางตอนเหนืออย่างรัฐคะฉิ่น และทางตะวันออกอย่างรัฐฉานขยายตัวรวดเร็ว ข้อมูลจากรายงาน Five Key Insights into Myanmar’s Rare Earth โดย Institute for Stratergy and Policy – Myanmar ชี้ให้เห็นว่าภายหลังจากการรัฐประหาร จำนวนเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าในช่วง 4 ปีหลังการรัฐประหาร ข้อมูลจากช่วงระหว่างปี 2556 ถึง 2567 ระบุว่า พบแหล่งขุดแร่ได้อย่างน้อย 370 แห่ง และมากกว่า 270 แห่งพบภายหลังจากการรัฐประหารในปี 2564

ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation : SHRF) ที่เปิดเผยว่า การทำเหมืองแร่แร์เอิร์ธในทางตอนเหนือของรัฐฉานที่เป็นเขตพื้นที่ของกองทัพว้า (United Wa State Army : UWSA) ก็เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน โดยในทางตอนเหนืออย่างเมืองป้อก (Mong Bauk) จากปี 2558 มีทั้งหมด 3 เหมือง เพิ่มเป็น 26 เหมืองภาย ในปี 2568 

อย่างไรก็ตาม หากมองลงมาทางตอนใต้ของรัฐฉานซึ่งก็เป็นเขตของกองทัพว้า ก็พบการกระจุกตัวของกิจการเหมืองแร่ไม่ต่างกัน ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดชี้ว่า บริเวณชายแดนเมียนมาห่างจากประเทศไทยราว 25 กิโลเมตร มีไซต์เหมืองแร่กระจายอยู่ 3 แห่ง โดย 2 แห่งคาดการณ์ว่าเป็นเหมืองแรร์เอิร์ธ และอีก 1 แห่งเป็นเหมืองทองคำ สิ่งที่น่ากังวลคือ เหมืองแร่ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำกก ซึ่งกระแสน้ำไหลต่อเข้าสู่ประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังพบว่าเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นของเมียนมาใช้วิธีการสกัดแร่แบบ ‘ชะละลายในแหล่งแร่’ (In-Situ Leaching) ซึ่งหากเหมืองแร่บริเวณริมแม่น้ำกกในรัฐฉานมีการใช้วิธีการสกัดแร่ในลักษณะเดียวกัน ย่อมจะก่อให้เกิดผลกระทบแบบเดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ตามคำให้สัมภาษณ์ของแรงงานในเหมืองรัฐคะฉิ่นกับองค์กร Global Witness ได้เล่าว่าหน้าที่ประจำวันของเขาคือการเดินขึ้นภูเขา ถางพืชพรรณและเศษใบไม้ จากนั้นเจาะรูลงบนหน้าดิน แล้วฉีดสารละลายแอมโมเนียมซัลเฟตลงไป สารเคมีจะทำให้ดินเหลว เพื่อแยกแยกแร่และดินออกจากกัน ทำให้แร่ตกตะกอนออกมา จากนั้นทั้งแร่และสารเคมีจะถูกส่งต่อไปยังบ่อเก็บเพื่อเข้าสู่กระบวนการต่อไป และเมื่อแร่ในบริเวณนั้นหมดแล้ว พวกเขาจะย้ายจุดขุดไปยังพื้นที่ใหม่ แล้วทำกระบวนการเดิมซ้ำไปเรื่อยๆ

เขายังแสดงความกังวลว่าการใช้วิธีดังกล่าวอาจนำไปสู่ปัญหาดินถล่มในอนาคต เนื่องจากการใช้วิธีการดังกล่าวส่งผลต่อคุณภาพผิวดินของภูเขาอย่างชัดเจน ไม่เพียงเท่านั้น กระบวนการนี้ยังปล่อยสารเคมีตกค้างลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้เกิดมลพิษต่อระบบนิเวศ

กรณีศึกษาจากมณฑลเจียงซี ทางตอนใต้ของประเทศจีน ซึ่งเคยเป็นพื้นที่สำคัญในการขุดแร่แรร์เอิร์ธ สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงในระยะยาว โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน (Ministry of Industry and Information Technology) ได้ประเมินว่า การฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าวอาจต้องใช้งบประมาณสูงถึง 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 198,000 ล้านบาท และอาจต้องใช้เวลากว่า 100 ปีในการฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างสมบูรณ์

เปิดไทม์ไลน์ใครทำอะไรบ้างในระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา

แม้เหตุการณ์จะผ่านมาเกือบ 5 เดือนแล้ว แต่วิกฤติในครั้งนี้กลับไม่มีวี่แววว่าจะทุเลาลง อย่างไรก็ตาม กลับมีเพียงภาคประชาชนเท่านั้นที่ลงมือสืบค้นและตรวจสอบหาต้นตอของปัญหา จนนำไปสู่ข้อเท็จจริงว่า วิกฤติครั้งนี้มีจุดเริ่มจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ บริเวณนอกพรมแดนไทยไม่ถึง 30 กิโลเมตร ขณะที่หน่วยงานรัฐหน่วยเดียวที่เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนอย่างตรงไปตรงมาคือ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)

ในภาคประชาชน เริ่มต้นจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทยใหญ่ (SHRF) ได้ออกแถลงการณ์ชี้ว่าต้นเหตุของวิกฤตินี้มาจากเหมือง โดยในตอนแรกคาดว่าเป็นเหมืองทองคำ แต่ต่อมากลับพบว่าแหล่งต้นเหตุที่แท้จริงคือเหมืองแรร์เอิร์ธ ซึ่งอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าเหมืองทองคำ

ขณะที่นักวิชาการได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ ‘ต้นน้ำ’ ผ่านการเจรจารัฐต่อรัฐ โดยใช้กลไกความร่วมมือต่างๆ และดึงประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น เมียนมา และจีน เข้าร่วมโต๊ะเจรจาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ทว่าในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการหรือขั้นตอนที่ชัดเจนระหว่างรัฐต่อรัฐในการจัดการปัญหาดังกล่าว โดยที่พบเห็นมีเพียงการแก้ไขปัญหาที่ ‘ปลายน้ำ’ เช่น การตรวจสอบคุณภาพน้ำเท่านั้น

การเปิดเผยไทม์ไลน์ จะทำให้เห็นภาพรวมชัดขึ้นว่าที่ผ่านมาแต่ละฝ่ายได้ดำเนินการอะไรไปแล้ว และมีใครบ้างที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้

เมษายน 2567

เริ่มต้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกกเริ่มสังเกตเห็นว่าสีของแม่น้ำเปลี่ยนไป กลายเป็นสีขุ่นผิดปกติ แม้จะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ชาวบ้านก็ยังคงดำเนินชีวิตตามปกติ 

ปลายปี 2567

จนกระทั่งปลายปีเดียวกัน จังหวัดเชียงรายประสบกับเหตุน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดดินถล่มในหลายพื้นที่ จนบางจุดกลายเป็นทะเลโคลน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ชุมชนเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า ปรากฏการณ์ดินถล่มอาจมีความเชื่อมโยงกับการทำเหมืองแร่ในเขตรัฐฉานของเมียนมาหรือไม่

มีนาคม 2568

ต่อมาในช่วงเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่แม่น้ำกกมักจะใสตามธรรมชาติของฤดูแล้ง แต่กลับพบว่าสีน้ำยังคงขุ่นอย่างผิดสังเกตต่อเนื่องไปจนถึงเดือนเมษายน สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งตอกย้ำความเคลือบแคลงใจให้แก่ชุมชนในพื้นที่อย่างมาก เนื่องจากส่งผลกระทบทั้งใน ภาคการเกษตร การท่องเที่ยว และสุขภาพของชุมชน 

(14 มี.ค.) ชาวบ้านกว่า 700 คนใน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ได้รวมตัวกันเดินขบวน เพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบผลกระทบจากกรณีที่ แม่น้ำกกเปลี่ยนสี ซึ่งสร้างความวิตกกังวลให้กับชุมชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง ขณะเดียวกัน มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนการเคลื่อนไหวของชุมชนในประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบจาก กิจกรรมทำเหมืองทองคำ โดยเน้นย้ำว่า การทำเหมืองเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ ทำให้สถานการณ์น้ำท่วมในปี 2567 รุนแรงมากขึ้น

(19 มี.ค.) หลังจากนั้น 2 วัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่, สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ. 1 เชียงใหม่) จึงได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดิน เป็นครั้งแรก โดยเก็บทั้งหมด 3 จุดสำคัญ ใน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้สคพ. 1 เชียงใหม่ ได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือนมีนาคมก็ยังไม่มีท่าทีเคลื่อนไหวจากรัฐบาลอย่างจริงจังในกรณีวิกฤติแม่น้ำกก มีเพียงแค่หน่วยงานท้องถิ่นที่เข้าไปติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

เมษายน 2568

(2-4 เม.ย.) ในเวที ‘บิมสเทค’ (BIMSTEC) ผู้นำรัฐบาลเมียนมา มิน อ่อง ลาย ได้เข้าร่วมการประชุมที่ไทย และแม้ว่าในการประชุมจะมีสาขาความร่วมมือในด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม แต่กลับไม่พบว่ามีการหารือเรื่องวิกฤติแม่น้ำกกในครั้งนี้

(4 เม.ย.) สคพ.1 (เชียงใหม่) ได้เปิดเผยผลการตรวจแม่น้ำกกในวันที่ 19 มี.ค. ผลการตรวจสอบครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าแม้จะไม่พบสารอันตรายอย่าง ไซต์ยาไนด์ แต่กลับพบว่ามีสารหนูที่สูงเกินค่ามาตรฐานกว่าเท่าตัวทุกจุด

ในช่วงเวลาดังกล่าว สำนักข่าวหลายสำนักได้เริ่มรายงานสถานการณ์วิกฤติแม่น้ำกก

(14 เม.ย.) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แพทองธาร ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) พร้อมด้วย ทักษิณ ชินวัตร ได้เข้าร่วมงาน ‘ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองสันกำแพง’ ที่ชุมชนโหล่งฮิมคาว ต.สันกลาง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ระหว่างการร่วมงานได้มีนักข่าวถามถึงสถานการณ์แม่น้ำกก ทักษิณได้กล่าวว่าตอนนี้รัฐบาลรับทราบเรื่องนี้แล้ว และได้ดำเนินการให้ปลัดกระทรวงทรัพยฯ ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

(17 เม.ย.) ขณะเดียวกัน ภาคประชาชนและนักวิชาการเชียงราย ส่งจดหมายถึงนายกฯ ขอเร่งแก้ปัญหาแม่น้ำกก และแนะให้ใช้โอกาสพบ มิน อ่อง ลาย ในวันที่ 17 เม.ย. พูดคุยเรื่องวิกฤตนี้ พร้อมเสนอข้อเสนอ 6 ข้อ ได้แก่ ตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน, เตรียมรับมืออุทกภัย, ร่วมมือกับเมียนมา, สื่อสารอย่างโปร่งใส, ขยายการศึกษาผลกระทบ และเปิดเจรจา 4 ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

(17 เม.ย.) ต่อมาได้มีการพบกันอีกครั้งระหว่างผู้นำ ไทย, มาเลเซีย และเมียนมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันแสวงหาหนทางในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รวมถึงส่งเสริมสันติภาพในประเทศเมียนมา จัดขึ้นที่โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่ามีการหารือเรื่องวิกฤติแม่น้ำกกในครั้งนี้

(23 เม.ย.) ความสงสัยเริ่มขยายวงกว้างกลายเป็นวาระของประเทศ เมื่อในช่วงปลายเดือนเมษายน เนื่องจากมีรายงานจากสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตว่า ‘ปลาแค้’ ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำกก เริ่มแสดงอาการผิดปกติ โดยพบว่ามีตุ่มพุพองขึ้นตามลำตัว โดยชาวบ้านในพื้นที่ได้สังเกตเห็นอาการเหล่านี้มาตั้งแต่ปลายปี 2567 แล้ว เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่ดึงความสนใจจากภาครัฐ นำไปสู่การเข้าตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงว่า สาเหตุที่แท้จริงของความเปลี่ยนแปลงในแม่น้ำกกนั้นคืออะไร

(24 เม.ย.) อย่างไรก็ดี กรมประมงจังหวัดเชียงรายได้เปิดเผยผลการตรวจสอบคุณภาพปลาจากแม่น้ำกก โดยได้เก็บตัวอย่างปลาจากชาวประมงบริเวณจุดใต้ฝายเชียงราย จากผลการตรวจสอบ กลับพบว่าจากตัวอย่างปลาไม่พบสารตกค้างเกินค่ามาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข

(26 เม.ย.) สคพ.1 (เชียงใหม่) รายงานผลตรวจคุณภาพตะกอนดินแม่น้ำกกในพื้นที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และ อ.เมือง จ.เชียงราย พบสารหนูเกินมาตรฐานทุกจุด เตือนอาจสะสมในปลาและเป็นอันตรายต่อสุขภาพหากบริโภคต่อเนื่อง ส่วนโลหะหนักอื่น เช่น นิกเกิลและโครเมียม พบเกินมาตรฐานบางจุด ซึ่งอาจกระทบสัตว์หน้าดินและระบบนิเวศแม่น้ำ

ในวันเดียวกัน นายก อบจ.เชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ได้ออกมายืนยันว่าน้ำประปาท้องถิ่นยังคงปลอดภัย 

(29 เม.ย.) มีการประชุมร่วมระหว่างหลายหน่วยงาน มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาสารหนูที่ปนเปื้อนต้นน้ำแม่น้ำกก สาย ในที่ประชุมเสนอฝายดักตะกอนเป็นมาตรการเฉพาะหน้

(30 เม.ย.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วรภัทราทร, ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์จากสำนักนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และทีมวิจัยมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยผลการตรวจแม่น้ำกกเบื้องต้น จากการเก็บตัวอย่างน้ำ 9 จุด ครอบคลุมพื้นที่ อ.แม่สาย – อ.เชียงแสง พบว่ามีสารหนูเกินมาตรฐาน 8 จุด โดยจุดที่มีปริมาณสารหนูสูงสุด สูงเกินมาตรฐาน 19 เท่า

พฤษภาคม 2568

(1 พ.ค.) การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย ดื่มน้ำโชว์ ขอให้ประชาชนมั่นใจ หลังพบสารพิษตกค้างในแม่น้ำ 

(5 พ.ค.) มูลนิธิสยามเชียงราย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและติดตามสถานการณ์หลังได้รับรายงานว่าพบชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกกประสบปัญหาสุขภาพ โดยมีอาการปวดแสบตาและตาบวมภายหลังจากลงเล่นน้ำหรือทำกิจกรรมในคลองผันน้ำซึ่งรับน้ำมาจากแม่น้ำกก

(6 พ.ค.) น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยลงพื้นที่แม่สาย เพื่อติดตามปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำสายและน้ำท่วม แม้น้ำประปาจะปลอดภัย แต่ยังพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำ จึงขอให้ประชาชนงดใช้น้ำโดยตรง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพน้ำและเตรียมมาตรการป้องกันน้ำท่วม พร้อมเน้นการสื่อสารข้อมูลและจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

(15 พ.ค.) มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ เปิดเผยภาพถ่ายดาวเทียมเผยการทำ ‘เหมืองแร่แรร์เอิร์ธ’ ทางตอนใต้ของเมืองสาด (Mong Hsat) อยู่ห่างจากไทยไปไม่เกิน 30 กม. คาดว่าเป็นต้นเหตุสารพิษในแม่น้ำกก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนกว่า หนึ่งล้านคน ที่อาศัยอยู่ปลายน้ำทั้งฝั่งไทยและเมียนมา

(17 พ.ค.) สำนักข่าวชายขอบรายงานพบช้างป่วยหลังเล่นน้ำแม่น้ำกก เกิดผื่นและตุ่มกลายเป็นแผล ด้านนายสัตวแพทย์ที่ตรวจพบว่าอาการเกิดจากสารปนเปื้อนในน้ำ จึงเตือนแม้ช้างเป็นสัตว์ใหญ่ก็ห้ามสัมผัสน้ำกก เพราะอาจแพ้เหมือนคนได้

(27 พ.ค.) รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่เชียงรายหารือแนวทางแก้ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก ประสานกระทรวงต่างประเทศเตรียมเจรจาระดับรัฐบาลกับเมียนมาโดยตรง พร้อมตั้งศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า และย้ำให้งดใช้น้ำและบริโภคปลาจากพื้นที่เสี่ยงแม้น้ำประปาจะยังปลอดภัย

(31 พ.ค.) ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้ออกมาแถลงผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน ผัก และปลาในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกก-สาย-รวก โดยยืนยันว่า ผลการตรวจพบสารหนูหรือโลหะหนักในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐาน นอกจากนี้ยังกล่าวว่าข้อมูลที่เปิดเผยบนสื่อไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้ เพราะเป็นเพียงแค่เครื่องมือการตรวจเบื้องต้น (Test Kit)

มิถุนายน 2568

(5 มิ.ย.) กรมควบคุมมลพิษรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ครั้งที่ 1-3 พบแม่น้ำกกมีสารหนูเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ยังพบสารโลหะหนักอื่นในบางจุด

(9 มิ.ย.) นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้ (AIM) เพื่อรวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพน้ำอย่างโปร่งใส

(12 มิ.ย.) สำนักงานควบคุมมลพิษรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ครั้งที่ 4 พบแม่น้ำกกมีสารหนูเกินมาตรฐานทุกจุด แต่ยังไม่พบสารโลหะหนักอื่นๆ

(18 มิ.ย.) นักวิชาการและประชาชนแสดงความกังวลใจเกี่ยวกับโครงการขุดลอกแม่น้ำกก สาย และรวก เพื่อรับมือกับสถาการณ์น้ำท่วม ซึ่งอาจทำให้สารหนูและโลหะหนักในตะกอนดินฟุ้งกระจาย

(19 มิ.ย.) มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ เปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมืองป้อก (Mong Bawk), รัฐฉาน ขยายตัว 8 เท่า ภายหลังจากการรัฐประหาร นอกจากนี้ยังพบว่าแม่น้ำในเมืองป้อกไหลลงเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขง อาจทำให้แม่น้ำโขงปนเปื้อนได้

(22 มิ.ย.) ฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยผลตรวจปลาแม่น้ำกกพบเพียงพยาธิใบไม้-ไม่พบสารโลหะหนักเกินมาตรฐาน จากการเก็บตัวอย่างปลาทั้งหมด 4 จุด (1 จุดในเชียงใหม่ และ 3 จุดในเชียงราย)

(28 มิ.ย.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เชียงรายเพื่อมอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม แต่ถูกวิจารณ์จากนักข่าวท้องถิ่นว่าไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับปัญหาน้ำกก ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญด้านน้ำกินน้ำใช้ของชาวเชียงราย

นอกจากนี้ สำนักงานควบคุมมลพิษรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ครั้งที่ 5 พบสารหนูเกินมาตรฐาน 10 จาก 15 จุด นอกจากนี้ยังพบว่าพบแมงกานีสเกินมาตรฐานใน 3 จุด

(29 มิ.ย.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยสัปดาห์หน้าจะมีคณะผู้เชี่ยวชาญไทยเดินทางไปหารือกับเมียนมา ณ กรุงเนปิดอว์ เพื่อหาทางแก้ปัญหาสารปนเปื้อนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

กรกฎาคม 2568

(3 ก.ค.) คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เปิดเผยข้อมูล พบสารหนูในแม่น้ำโขงเกินมาตรฐาน 4 จุด จากการเก็บตัวอย่างน้ำ 5 จุด มีเพียงแค่จุดเดียวที่ยังต่ำกว่ามาตรฐานคือในบริเวณพรมแดนพม่า–ลาวตอนบน ยืนยันสอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานควบคุมมลพิษ

(7 ก.ค.) สำนักข่าวชายขอบรายงาน พบสารหนูมากผิดปกติในเด็กทั้ง 2 คนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกก จากการตรวจตัวอย่างปัสสาวะ นอกจากนี้ยังรายงานว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ยังไม่อยากเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะทำให้ชุมชนแตกตื่น

(8 ก.ค.) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ออกมาชี้แจงพบสารหนูในคน จากข้อมูลการสุ่มตรวจปัสสาวะ 10 ราย พบสารหนูปนเปื้อน 9 ราย แต่ยังคงไม่เกินมาตรฐาน 

ในวันเดียวกัน ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เปิดเผยข้อมูลด้านนิติศาสตร์สิ่งแวดล้อม โดยชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญจากการตรวจสอบปลาแค้ว่าถึงแม้สารโลหะหนักที่ตรวจพบจะไม่เกินค่ามาตรฐานตามที่รองอธิบดีกรมประมงระบุ และสาเหตุการตายของปลาจะมาจากพยาธิ แต่สารโลหะหนักก็มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของปลาอ่อนแอลง ส่งผลให้พยาธิเข้าทำลายระบบภูมิคุ้มกันได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้สำนักงานควบคุมมลพิษรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ครั้งที่ 6 จากผลการตรวจสอบพบว่าสารหนูกลับมาเกินค่ามาตรฐานในทุกจุด แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่ามีการเปิดเผยข้อมูลการตรวจสารโลหะหนักชนิดอื่นๆ

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ภาครัฐไม่ได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนหรือจริงจังในการแก้ไขปัญหาจากต้นเหตุ แต่กลับมุ่งเน้นการโต้ตอบกับประชาชน มากกว่าการยอมรับปัญหาและสร้างความร่วมมือกับภาคประชาชน โดยเฉพาะในกรณีที่มีการตรวจพบสารพิษในน้ำและตะกอนที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของชุมชนและสิ่งแวดล้อม ภาครัฐกลับเลือกที่จะแสดงการดื่มน้ำประปาเพื่อยืนยันว่าไม่มีปัญหากับน้ำประปา ทั้งที่ชุมชนไม่ได้พึ่งพาน้ำประปาเป็นแหล่งเดียว แต่ยังต้องพึ่งพาแม่น้ำกกในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การเกษตร การเลี้ยงสัตว์ และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำ

นอกจากนี้ การเสนอใช้ ‘ฝายดักตะกอน’ หรือการขุดลอกแม่น้ำเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่ได้ลงมือจัดการกับต้นตอของปัญหาที่แท้จริง นั่นคือ การเจรจาหาทางควบคุมการทำเหมืองแร่ที่ก่อให้เกิดมลพิษสะสมในแม่น้ำกก การแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ยิ่งทำให้ประชาชนตั้งคำถามว่า ที่ผ่านมาภาครัฐไม่ได้มีความจริงใจในการสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น และไม่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขที่ต้นเหตุ

จากกรณี การเปิดเผยผลการตรวจสอบปลาพบการปนเปื้อนสารโลหะหนักในน้ำของคพ. แต่หน่วยงานรัฐอื่นๆ กลับออกมาปฏิเสธและโต้แย้งว่าผลการตรวจสอบไม่พบสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน ยิ่งสร้างความสับสนให้แก่สาธารณชน  การไม่ยอมรับและไม่ลงมือแก้ปัญหาที่ต้นตอทำให้ปัญหายืดเยื้อและทวีความรุนแรง จนในปัจจุบันปัญหาดังกล่าวขยายวงกว้างไปเกินแม่น้ำกกแล้ว และกำลังลามเข้าสู่แม่น้ำโขง ซึ่งอาจกระทบชีวิตคนเพิ่มอีกนับล้านคน

รวมถึงการเจรจาเชิงรุกระหว่างรัฐต่อรัฐ ที่นำทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมพูดคุยเพื่อยุติวิกฤติในครั้งนี้ ก็ยังไม่มีทิศทางว่าจะดำเนินการไปอย่างไร 

รายงานคพ. ชี้แม่น้ำกกไม่ปลอดภัย MRC ยันเจอสารหนูในแม่น้ำโขงแล้ว

ผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำจาก กรมควบคุมมลพิษ ทั้งหมด 6 ครั้ง ผ่านการเก็บตัวอย่างน้ำผิวดิน 15 จุด ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำในจังหวัดเชียงใหม่ ไปจนปลายน้ำในจังหวัดเชียงราย โดยตรวจสอบค่าความขุ่นและโลหะหนักในน้ำ ประกอบด้วย แมงกานีส (Mn), ตะกั่ว (Pb), สารหนู (As), แคดเมียม (Cd), นิกเกิล (Ni), สังกะสี (Zn), ทองแดง (Cu), ปรอท (Hg) สามารถสรุปได้ดังนี้

ผลการตรวจคุณภาพน้ำ – ครั้งที่ 1

จากการตรวจสอบคุณภาพน้ำผิวดินระหว่างวันที่ 19–24 มีนาคม 2568 และตะกอนดินเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 รวม 6 จุดตรวจ (จังหวัดเชียงใหม่ 3 จุด และเชียงราย 3 จุด) พบว่า ทุกจุดมีสารหนูเกินค่ามาตรฐาน นอกจากนี้ จุดตรวจ KK01 ยังพบสารตะกั่วเกินมาตรฐานเพิ่มเติมอีกด้วย 

ส่วนโลหะหนักชนิดอื่นทั้งหมดยังอยู่ในระดับไม่เกินมาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด

ผลการตรวจคุณภาพน้ำ – ครั้งที่ 2

จากการตรวจสอบคุณภาพน้ำผิวดินและตะกอนดินระหว่างวันที่ 21–24 เมษายน และ 29 เมษายน–2 พฤษภาคม 2568 ในพื้นที่รวม 12 จุด (เชียงใหม่ 3 จุด และเชียงราย 9 จุด) พบว่ามีสารหนูเกินค่ามาตรฐานใน 9 จุด ได้แก่ KK01 – KK03 (เชียงใหม่) และ KK04 – KK09 (เชียงราย) ขณะที่อีก 3 จุดในเชียงราย ได้แก่ KK12 – KK13 และ KK15 ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน

ส่วนโลหะหนักชนิดอื่นทั้งหมดยังอยู่ในระดับไม่เกินมาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด

ผลการตรวจคุณภาพน้ำ – ครั้งที่ 3

จากการตรวจสอบคุณภาพน้ำผิวดินระหว่างวันที่วันที่ 12 – 16 พฤษภาคม 2568 รวมทั้งสิ้น 15 จุด (เชียงใหม่ 3 จุด และเชียงราย 12 จุด) พบว่ามีสารหนูเกินค่ามาตรฐานใน 11 จุด ได้แก่ KK01 – KK03 (เชียงใหม่) และ KK04 – KK11 (เชียงราย) ขณะที่อีก 4 จุดในเชียงราย ได้แก่ KK12 – KK15 ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน

ส่วนโลหะหนักชนิดอื่นทั้งหมดยังอยู่ในระดับไม่เกินมาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด

ผลการตรวจคุณภาพน้ำ – ครั้งที่ 4

จากการตรวจคุณภาพน้ำผิวดินและตะกอนดินระหว่างวันที่ 26 – 30 พฤษภาคม 2568 รวมทั้งสิ้น 15 จุด (เชียงใหม่ 3 จุด, เชียงราย 12 จุด) พบว่าทุกจุดมีสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (KK01 – KK15) ส่วนโลหะหนักชนิดอื่นทั้งหมดยังอยู่ในระดับไม่เกินเกณฑ์ที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด

ผลการตรวจคุณภาพน้ำ – ครั้งที่ 5

จากการตรวจคุณภาพน้ำผิวดินระหว่างวันที่ 9 – 13 มิถุนายน 2568 รวมทั้งสิ้น 15 จุด (เชียงใหม่ 3 จุด, เชียงราย 12 จุด) พบว่ามีสารหนูเกินค่ามาตรฐานใน 10 จุด ได้แก่ KK01 – KK03 (เชียงใหม่) KK04 – KK09 และ KK11 (เชียงราย) ขณะที่อีก 5 จุดในเชียงราย ได้แก่ KK09 และ KK12 – KK15 ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน

ส่วนโลหะหนักชนิดอื่นทั้งหมดยังอยู่ในระดับไม่เกินมาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด

ผลการตรวจคุณภาพน้ำ – ครั้งที่ 6

จากการตรวจคุณภาพน้ำผิวดินและตะกอนดินระหว่างวันที่ 23 – 27 มิถุนายน 2568 รวมทั้งสิ้น 15 จุด (เชียงใหม่ 3 จุด, เชียงราย 12 จุด) พบว่าทุกจุดมีสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (KK01 – KK15) 

ส่วนข้อมูลโลหะหนักชนิดอื่น ‘ยังไม่มีข้อมูลเปิดเผย’ ออกมาจากกรมควบคุมมลพิษ

สรุปผลการตรวจคุณภาพน้ำทั้งหมด 6 ครั้ง

จากการตรวจสอบคุณภาพน้ำผิวดินและตะกอนดินในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ตั้งแต่ 19 มีนาคม – 27 มิถุนายน 2568 รวม 6 รอบการตรวจ ครอบคลุม 15 จุด พบประเด็นสำคัญดังนี้

ผลการตรวจปริมาณสารหนู (As) ที่เกินมาตรฐาน
จุดตรวจจังหวัดพื้นที่ค่าสารหนู (มก./ล.) ค่ามาตรฐาน <0.010 มก./ล.
ครั้งที่ 1ครั้งที่ 2ครั้งที่ 3ครั้งที่ 4ครั้งที่ 5ครั้งที่ 6
KK01เชียงใหม่ชายแดนไทย-พม่า ต.ท่าตอน อ.แม่อาย0.0260.0370.030.0160.0250.038
KK02สะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย0.0120.0120.0260.0170.0220.028
KK03สะพานสองดินแดนบ้านแม่สลัก อ.แม่อาย0.0130.0240.0180.0150.0170.012
KK04เชียงรายบ้านจะเด้อ หมู่ 6 ต.ดอยฮาง อ.เมือง0.0190.0160.0220.0470.013
KK05สะพานมิตรภาพแม่ยาว-ดอยฮาง อ.เมือง0.0160.0170.0220.0360.013
KK06บ้านโป่งนาคำ ต.ดอยฮาง อ.เมือง0.0130.0150.0160.0230.0330.012
KK07สะพานข้ามแม่น้ำกก ต.ดอยฮาง อ.เมือง0.0120.0160.0180.0160.0210.013
KK08สะพานแม่ฟ้าหลวง ต.รอบเวียง อ.เมือง0.0110.0140.0140.0180.0280.015
KK09สะพานเฉลิมพระเกียรติ1 ต.รอบเวียง อ.เมือง0.0120.0140.0200.0210.017
KK10ฝายเชียงราย ต.รอบเวียง อ.เมือง0.0110.022<0.0100.015
KK11สะพานริมกก-เวียงเหนือรวมใจ อ.เวียงชัย0.0180.0200.0110.013
KK12สะพานโยนกนาคนคร ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง<0.010<0.0100.015<0.0100.012
KK13ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน<0.010<0.0100.015<0.0100.016
KK14ต.หนองป่าก่อ อ.ดอยหลวง จ.เชียงราย<0.0100.015<0.0100.016
KK15ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน<0.010<0.0100.013<0.0100.013

สารโลหะหนักอื่นๆ เช่น ตะกั่วและแมงกานีสในจุดตรวจที่เกินมาตรฐาน

ผลการตรวจปริมาณสารโลหะหนักอื่นๆ ที่เกินมาตรฐาน
จุดตรวจธาตุค่าที่ตรวจพบ (มก./ล.)ค่ามาตรฐาน (มก./ล.)มาตรฐานครั้งที่ตรวจ
KK01ตะกั่ว (Pb)0.0760.05เกินมาตรฐานครั้งที่ 1
KK04แมงกานีส (Mn)1.61.0เกินมาตรฐานครั้งที่ 5
KK051.61.0เกินมาตรฐานครั้งที่ 5
KK061.51.0เกินมาตรฐานครั้งที่ 5

ในขณะที่การตรวจสารโลหะหนักอื่นๆ เช่น แคดเมียม (Cd), นิกเกิล (Ni), สังกะสี (Zn), ทองแดง (Cu), ปรอท (Hg) ทุกจุดตรวจยังคงปลอดภัยตามมาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ

นอกจากนี้ จากสรุปผลการตรวจสอบของกรมควบคุมมลพิษยังระบุในรายงานว่า ‘ผลคุณภาพน้ำบริเวณที่ติดกับพรมแดนของเมียนมา ทั้งแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จะมีค่าความขุ่นสูงผิดปกติทุกจุดตรวจวัด และพบค่าโลหะหนักสารหนูสูง ซึ่งเป็นพารามิเตอร์ที่สะท้อนถึงการทำกิจกรรมการทำเหมืองอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ รายงานล่าสุดจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) ยังระบุว่า มีการตรวจพบสารหนูในแม่น้ำโขง จากการเก็บตัวอย่างน้ำทั้งหมด 5 จุดในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง ผลการตรวจพบว่ามีเพียงจุดเดียวเท่านั้น (C1) ที่ค่าของสารหนู ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน (ต่ำกว่า 0.010 มก./ล.) ส่วนอีก 4 จุดที่เหลือ (C2 – C5) ตรวจพบสารหนูเกินมาตรฐานทั้งหมด (มีค่าสม่ำเสมออยู่ที่ 0.025 มก./ล.)

จุดตรวจคุณภาพน้ำของ MRC

C1: บริเวณพรมแดนพม่า–ลาวตอนบน

C2: พรมแดนพม่า–ลาว เหนือสามเหลี่ยมทองคำเล็กน้อย

C3: พรมแดนไทย–ลาว เหนือเมืองเชียงแสน

C4: พรมแดนไทย–ลาว ใกล้สบกก

C5: พรมแดนไทย–ลาว ระหว่างเมืองเชียงของกับห้วยทราย

ผลการตรวจสอบของ MRC ยังสอดคล้องกับรายงานจากกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งพบการปนเปื้อนของสารหนูในแหล่งน้ำด้วยเช่นกัน โดย MRC ได้เน้นย้ำว่า วิกฤตครั้งนี้เป็น ‘วิกฤติข้ามพรมแดน’ ที่ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศในภูมิภาค และได้ประเมินระดับความรุนแรงของสถานการณ์ว่าอยู่ในระดับ ‘ความรุนแรงระดับปานกลาง’ (moderately serious)

ความย้อนแย้ง และการใช้คำว่า ‘ไม่เกินมาตรฐาน’ ของหน่วยงานรัฐ ทำลายความเชื่อมั่นในการจัดการปัญหาของประชาชน

ปัญหามลพิษในแม่น้ำกกขยายวงกว้างจากประเด็นสิ่งแวดล้อมไปสู่ผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของชุมชนริมฝั่งอย่างรุนแรง วิกฤตินี้ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทว่ารัฐกลับไม่มีท่าทีที่ชัดเจนหรือการสื่อสารที่โปร่งใส ส่งผลให้เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ และความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐก็ยิ่งจางหายไป สิ่งเหล่านี้จึงทำให้เกิดคำถามว่า ท่ามกลางวิกฤติแบบนี้ รัฐมีความจริงใจต่อประชาชนมากน้อยเพียงใด

ความย้อนแย้งในการรายงานผลตรวจคุณภาพน้ำ – จากการรายงานของหลายหน่วยงาน เช่น ผู้ว่าจังหวัดเชียงราย และนายกอบจ.เชียงราย ที่ยืนยันว่าน้ำประปาปลอดภัย ซึ่งอาจเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นสร้างความสับสนหรือไม่ เพราะโดยในกระบวนการผลิตน้ำประปามีการกำจัดสารเจือปนอยู่แล้ว และชุมชนริมแม่น้ำกกไม่ได้พึ่งพาแหล่งน้ำจากประปาเพียงอย่างเดียว รวมถึงยังชี้แจงผลการตรวจปลาและผักของสาธารณะสุขจังหวัดว่ายังคง ‘ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน’ ซึ่งไม่สอดคล้องกับรายงานของกรมควบคุมมลพิษที่รายงานว่ามีค่าสารหนูเกินมาตรฐานจากการตรวจทั้งหมด 6 ครั้ง และอาจเสี่ยงต่อปลา และผักหากนำไปใช้

ความย้อนแย้งในการรายงานผลตรวจสุขภาพสัตว์น้ำ – จากการรายงานของอธิบดีกรมประมงที่รายงานว่าปลาแม่น้ำกกพบเพียงพยาธิใบไม้ ‘ไม่พบสารโลหะหนักเกินมาตรฐาน’

อย่างไรก็ดี รศ.ดร. อภินันท์ สุวรรณรักษ์ อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ออกมาชี้แจงว่าการตรวจของกรมประมงนั้นเป็นการตรวจเพื่อหาพยาธิเพียงเท่านั้น ไม่ใช่การตรวจเพื่อหาสารโลหะหนัก ซึ่งไม่มีประโยชน์หากตรวจไม่ครบถ้วน

นอกจากนี้ ผลการตรวจของกรมประมงก็ถูกโต้แย้งด้วยการตรวจสอบของทีมนักวิจัยม.นเรศวร จากบทสัมภาษณ์ใน BBC รศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ หัวหน้าทีมนักวิจัยม.นเรศวร ได้อธิบายว่า แม้ปลาจะติดเชื้อและเสียชีวิตจากพยาธิ แต่สาเหตุของการติดเชื้อก็มาจากซึบซับสารโลหะหนักอย่างชัดเจน

และยังย้อนแย้งกับผลตรวจของกรมควบคุมมลพิษ ที่รายงานว่าสารโลหะหนักในน้ำอาจมีการสะสมในปลาซึ่งได้ออกมาเตือนว่าหากประชาชนบริโภคปลาในแม่น้ำกกเป็นประจำ อาจส่งผลให้เกิดอัตรายต่อสุขภาพได้

ความไม่ตรงไปตรงมาต่อผลการตรวจสุขภาพของประชาชน – จากการรายงานข่าวของสำนักข่าวชายขอบ ที่รายงานว่าพบสารหนูตกค้างในปัสสาวะของเด็ก 2 คน ภายหลังจากการรายงานข่าว 1 วัน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่จึงได้ออกมาแถลงว่า พบสารหนูในคนจริง แต่ยังคง ‘ไม่เกินมาตรฐาน’

จากคำว่า ‘ไม่เกินมาตรฐาน’ อาจสะท้อนถึงการสื่อสารที่ไม่โปร่งใสหรือไม่ เนื่องจากแม้ค่าของสารโลหะหนักจะยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสารพิษไม่เพิ่มขึ้น หรือไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน การใช้ถ้อยคำในลักษณะนี้จึงอาจเบี่ยงเบนความรุนแรงของปัญหา และไม่เอื้อต่อการสร้างความเข้าที่ชัดเจนให้แก่สาธารณชน

ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความท้าทายเช่นนี้ การสร้างความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมระหว่างภาครัฐ นักวิชาการ องค์กรท้องถิ่น และชุมชนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน พร้อมทั้งดึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมเจรจาเพื่อยุติวิกฤติ ถือเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ไม่อาจเพิกเฉย

พิษที่แทรกซึมจากแม่น้ำกกในวันนี้ อาจไม่ใช่เพียงแค่ภัยคุกคามในระดับท้องถิ่น หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของสารพิษแห่งหายนะที่กำลังแทรกซึมอย่างเงียบงัน รอวันถาโถมเข้าสู่แม่น้ำโขง สายเลือดใหญ่ของภูมิภาค ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนนับล้านในจังหวัดลุ่มน้ำภาคอีสาน

นี่ไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับท้องถิ่นอีกต่อไป หากแต่เป็นวิกฤติที่ท้าทายความสามารถของรัฐไทยในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาวะของประชาชน

อ่าน [ชุดข้อมูล] แม่น้ำกกไม่ได้มีแค่ปลาแข้ คนเชียงรายไม่ได้ใช้แค่น้ำประปา: ปัญหาแม่น้ำกกปนเปื้อนกับความไม่จริงใจในการแก้ปัญหาของภาครัฐ https://www.lannernews.com/13072568-02/

ที่มา:

วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง

อดีตนักศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง ผู้ชื่นชอบในการเดินป่า ปรัชญาและดนตรีสากล พบเจอได้ตามร้านขายเครื่องดื่ม ทุกเทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์

วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง
วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง
อดีตนักศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง ผู้ชื่นชอบในการเดินป่า ปรัชญาและดนตรีสากล พบเจอได้ตามร้านขายเครื่องดื่ม ทุกเทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์

กลุ่มรักษ์เชียงของยื่นฟ้องนายกฯ–กฟผ. ปมเขื่อนปากแบง หวั่นแม่น้ำโขงกลายเป็น ‘อ่างตะกอนพิษ’

12 พฤศจิกายน 2568 กลุ่มรักษ์เชียงของ พร้อมประชาชน นักวิชาการ และทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ฟ้องนายกรัฐมนตรี...

ทหารเกณฑ์ดับในค่ายพิษณุโลก มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจี้สอบเหตุละเมิดสิทธิ

11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ กรณี พลทหารเกณฑ์รายหนึ่งเสียชีวิตภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก หลังเข้ารับการฝึกเพียงไม่ถึง 10...

เครือข่าย กก สาย รวก โขง ยื่น 5 ข้อ แก้ปัญหาน้ำปนสารพิษ ด้านรัฐบาลยืนยันยุติโครงการฝาย

ภาพ: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต 11 พฤศจิกายน 2568 ที่หอประชุมคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กรมทรัพยากรน้ำจัดเวทีประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชน เพื่อทบทวนและกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย  การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 300...

มติเอกฉันท์ คนท่าตอน ‘ไม่เอาฝายดักตะกอน’ ชี้ต้องการ ‘น้ำสะอาด’ เร่งด่วนกว่า

10 พฤศจิกายน 2568 ที่หอประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กรมทรัพยากรน้ำจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชน เพื่อทบทวนแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย ท่ามกลางความสนใจของประชาชนกว่า...