“ประชาธิปไตยเริ่มต้นที่บ้าน” เปิดมุมมองเลือกตั้งท้องถิ่นผ่านเลนส์พิจิตร

Date:

การเลือกตั้งนายก อบจ. ปี 2568 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันนี้ ถือเป็นอีกสถานการณ์สำคัญที่น่าจับตามอง เนื่องจากการเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้สามารถสะท้อนมุมมองของสังคมได้ในหลายด้านและยังทำให้เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของการเมืองท้องถิ่นในอนาคตได้

‘Lanner’ สัมภาษณ์ ดร.วีระ หวังสัจจะโชค อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ถึงความสำคัญของการเลือกตั้งท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดพิจิตร โดยเขาได้อธิบายว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นมีความสำคัญต่อประชาธิปไตย เพราะเป็นรากฐานของการใช้อำนาจของประชาชน ซึ่งสามารถเลือกผู้บริหารและตัวแทนนิติบัญญัติของท้องถิ่นได้โดยตรง ทำให้การตัดสินใจสะท้อนความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างชัดเจน แตกต่างจากการเลือกตั้งระดับชาติที่มีลักษณะคล้าย “กล่องสุ่ม” เพราะประชาชนเลือกเพียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้ว่าจะได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี 

ดร.วีระ หวังสัจจะโชค อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 

วีระอธิบายอีกว่า การวางรากฐานประเทศและพฤติกรรมของประชาชนในการเลือกตั้งสามารถสะท้อนจากการเลือกตั้งท้องถิ่นได้ชัดเจนกว่าระดับชาติ เนื่องจากการเลือกตั้งระดับชาติในบางครั้งอาจได้รับอิทธิพลจากกระแสหรือโฆษณาโจมตีฝ่ายตรงข้ามในช่วงสุดท้าย ทำให้เกิด “สวิงโหวต” ได้ แต่การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นการเลือกผู้นำที่ประชาชนในพื้นที่สามารถตัดสินใจได้โดยตรง ซึ่งประชาชนจะมุ่งเน้นไปยังผู้ที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับพื้นที่นั้นๆ เช่น การนำงบประมาณมาพัฒนา สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก หรือแก้ไขปัญหาในพื้นที่ให้กับประชาชนได้

ทั้งนี้ วีระยังมองว่า สื่อกระแสหลัก เช่น ช่อง 3, 5, 7, และ 9 มักให้ความสนใจกับการเลือกตั้งระดับชาติมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นการเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้ ก็ถือว่ามีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีพรรคการเมืองระดับชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น พรรคเพื่อไทยที่ใช้กระแสของทักษิณ และพรรคก้าวไกลที่เน้นอุดมการณ์การเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้ทำให้การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมีความสำคัญยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะมีผู้สมัครอิสระแล้ว ยังมีกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองระดับชาติด้วย ซึ่งส่งผลให้การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้เข้มข้นและมีความสำคัญอย่างมาก

หากต้องการเข้าใจพิจิตร ควรเริ่มจากการเข้าใจภูมิภาคเหนือตอนล่าง

การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในจังหวัดพิจิตรครั้งนี้ มีแนวโน้มที่น่าสนใจในเชิงการแข่งขัน แต่ยังคงอยู่ในกรอบของการเมืองแบบเดิม  วีระกล่าวว่า หากต้องการเข้าใจพิจิตร ควรเริ่มจากการเข้าใจภูมิภาคเหนือตอนล่างที่เป็นเพื่อนบ้าน ได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และกำแพงเพชร พื้นที่เหล่านี้มีลักษณะความผูกพันกับ “บ้านใหญ่” แต่ไม่ได้เป็นการผูกขาดที่ชัดเจน ซึ่งส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่บ้านใหญ่หรือกลุ่มการเมืองในพื้นที่เดียวกันสามารถแบ่งออกมาแข่งขันกันเองได้

ตัวอย่างสถานการณ์การเลือกตั้งนายก อบจ. ในพิจิตร ที่สมัยก่อนหน้านี้มีผู้ชนะการเลือกตั้งคือ พ.ต.อ. กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ อดีตนายก อบจ. พิจิตร ตัวแทนจากบ้านใหญ่ตระกูลภัทรประสิทธิ์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากพี่ชายอย่าง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิจิตร 4 สมัย และยังเคยมีบทบาทร่วมกับพรรคภูมิใจไทย แต่แล้วทั้งคู่ก็มีปัญหาภายในจน พ.ต.อ. กฤษฎา ได้แยกตัวออกไปร่วมกับพรรคอื่นในการเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้แทน และนายประดิษฐ์เองก็ได้หันมาสนับสนุนลูกชายของน้องสาวอย่าง นายกฤษฏ์ เพ็ญสุภา อดีตผู้ช่วยเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ ในการลงสมัครเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้ การแข่งขันนี้แสดงให้เห็นถึงการพยายามครอบครองพื้นที่การเมืองระดับจังหวัดอย่างชัดเจน 

พ.ต.อ. กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร (ภาพจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร
ประสิทธิ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีต รมช.คมนาคม-รมช.คลัง (ภาพจาก ThaiCycling Association)
นายกฤษฏ์ เพ็ญสุภา อดีตผู้ช่วยเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ (ภาพจาก  กฤษฏ์ เพ็ญสุภา – Krit Pensupha)

ทางเลือกที่สาม โอกาสสู่การเมืองท้องถิ่นยุคใหม่

ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง การเลือกตั้งครั้งนี้ยังคงอยู่ภายใต้การเมืองแบบดั้งเดิมที่พึ่งพาการทำงานระดับพื้นที่และการคุมคะแนนเสียงในท้องถิ่น และด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างผู้เล่นหลักทั้งสองฝ่ายนี้ เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มี “ทางเลือกที่สาม” ให้ประชาชนได้พิจารณาเพิ่มเติม เพราะอาจช่วยเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้เลือกสิ่งที่แตกต่างจากตัวเลือกเดิมๆ ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง พอตอนนี้เหลือแค่สองทางเลือก ก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นเดียวกับ จังหวัดกำแพงเพชร ที่มีอัตราการไปใช้สิทธิ์เพียงประมาณ 38-40%  วีระยกตัวอย่างว่า หากเขาเป็นคนพิจิตรที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง แล้วเห็นแคนดิเดตแค่ 2 คนแบบนี้ก็คงไม่กลับแล้วเพราะว่าไม่ว่าได้ใครมาก็คงอีหรอบเดิม

“ความแตกต่างของการเมืองท้องถิ่นในโซนภาคเหนือตอนล่างจะต่างจากเหนือบนตรงที่ เหนือบนเช่น เชียงรายหรือเชียงใหม่ที่มีตระกูลหลักผูกขาด แต่ที่เหนือล่าง กลุ่มบ้านใหญ่มีโอกาสแข่งขันกันเอง และบ้านรองที่พร้อมจะแข่งขันกันด้วย หากพื้นที่ไหนมีบ้านใหญ่บ้านเดียว ก็อาจแตกออกเป็นสองสายเหมือนกรณีพิจิตร ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันในระดับพื้นที่ว่าจะได้ใครเป็นตัวแทน แต่ว่าความเข้มข้นในเชิงอุดมการณ์ก็ยังมีไม่มาก หรือเคยมีแล้วถดถอยลงไป ซึ่งสะท้อนผ่านการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งท้องถิ่นใน 29 จังหวัดที่จัดการเลือกตั้งไปแล้ว พบว่าแทบไม่มีจังหวัดไหนที่มีผู้มาใช้สิทธิ์เกิน 50% เลย” 

ทั้งนี้วีระยังได้กล่าวถึงประเด็นการเลือกตั้งในระดับต่างๆ โดยเปรียบเทียบพฤติกรรมของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่ระบุว่า การเลือกตั้งระดับชาติแม้จะมีผู้มาใช้สิทธิถึง 75% แต่ยังมีผู้ไม่ออกมาใช้สิทธิถึง 25% ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นเพียงการไม่กลับมาเลือกตั้ง แต่ยังรวมถึงคนที่ไม่สนใจออกมาใช้สิทธิด้วย ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากการไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้าเท่านั้น แต่สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในลักษณะการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ที่มักจะมุ่งเน้นการเลือกตัวบุคคลมากกว่าอุดมการณ์เพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในพื้นที่

การเลือกตั้งระดับชาติ มีเขตเลือกตั้งที่ขนาดเล็กกว่า จากการแบ่งจังหวัดออกเป็นหลายเขต แต่ในการเลือกตั้งท้องถิ่น อย่างการเลือกตั้งนายก อบจ. เขตเลือกตั้งมีขนาดใหญ่มากกว่า ซึ่งทำให้ต้องอาศัยการสร้างพันธมิตรระหว่างกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ จนเกิดเป็นพันธมิตรชั่วคราวขึ้น การแข่งขันในระดับนี้จึงมีความได้เปรียบสำหรับผู้ที่คร่ำหวอดในวงการการเมืองท้องถิ่นมากกว่าผู้สมัครที่เน้นอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นหลัก

“ในการเลือกตั้งท้องถิ่น มีความน่าสนใจตรงที่เวลาเราเลือกผู้นำในท้องถิ่น คนที่ได้มาอาจจะพัฒนาท้องถิ่นหรือสร้างประโยชน์ในพื้นที่ แต่ในเมืองรองที่ไม่มีโรงงาน ไม่มีอุตสาหกรรม หรือโอกาสงานเอกชน คนในพื้นที่เหล่านี้มักจะย้ายไปทำงานในเมืองใหญ่ เช่น ชลบุรี ระยอง หรือกรุงเทพฯ และปริมณฑล พวกเขามองว่า ต่อให้ทะเบียนบ้านอยู่ในต่างจังหวัด การกลับมาเลือกตั้งก็ไม่มีผลกระทบอะไรต่อตัวเขา เพราะสุดท้ายก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ และนักการเมืองที่เขาเลือกก็ยังคงทำงานในพื้นที่ที่เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุให้หลายคนเลือกที่จะไม่กลับมาเลือกตั้งท้องถิ่น แต่กลับมาเฉพาะระดับชาติแทน เพราะระดับชาติยังมีผลต่อพวกเขามากกว่า” 

การตัดสินใจเลือกตั้งของคนในแต่ละพื้นที่มักมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องออกไปทำงานหรือเรียนในพื้นที่อื่น เมื่อเทียบกับคนที่ยังคงอาศัยอยู่ในท้องถิ่น เช่น ผู้สูงอายุ และคนทำงานในภาคเกษตรกรรม กลุ่มคนเหล่านี้มักมีพฤติกรรมการเลือกตั้งที่แตกต่างจากกลุ่มชนชั้นกลางที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนหรืองานรับจ้างทั่วไป ทำให้นักการเมืองคนไหนก็ตามที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้สูงอายุ และคนทำงานในภาคเกษตรกรรมได้จะมีความได้เปรียบในการเลือกตั้งท้องถิ่นสูง

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการที่ใน 29 จังหวัด หาเสียงโดยใช้นโยบายที่เจาะกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น การให้บริการโรงพยาบาลท้องถิ่นหรือสถานพยาบาลที่รองรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อย่างการฟอกไตในจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น นโยบายเหล่านี้ดึงดูดผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ย้ายถิ่นฐานไปไหน ต่างจากลูกหลานที่ย้ายออกไปทำงานในเมืองใหญ่ นักการเมืองจึงมุ่งเน้นนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของผู้ที่ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเลือกตั้ง

ถึงแม้ว่าหลังการเลือกตั้ง มักมีคำถามจากบางกลุ่มว่าเหตุใดผู้คนจึงไม่เลือกตัวเลือกที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหรือการพัฒนาใหญ่ๆ คำตอบก็คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนไม่มองเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในขณะนั้น ทำให้นโยบายที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของกลุ่มคนในพื้นที่ยังคงเป็นสิ่งที่มีน้ำหนักมากกว่าในการตัดสินใจเลือกตั้ง

“กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นสามารถจับทางได้ดีในการเจาะกลุ่มผู้สูงอายุและคนทำงานในภาคเกษตรกรรม ซึ่งกลุ่มนี้เป็นฐานหลักของการเลือกตั้งท้องถิ่น คิดเป็นสัดส่วนผู้ใช้สิทธิประมาณ 40% ในแต่ละครั้ง การเลือกตั้งของกลุ่มคนเหล่านี้แตกต่างจากชนชั้นกลางในเมืองที่มักตัดสินใจเลือกตั้งในฐานะปัจเจกบุคคล แต่ในชนบทคนในเครือข่ายจะเลือกตั้งโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ และการช่วยเหลือในเครือข่ายเป็นหลัก นักการเมืองท้องถิ่นที่มักมุ่งดูแล และสร้างเครือข่ายเหล่านี้ให้แน่นแฟ้น โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า จักรกลการเมือง ในการดึงคะแนนเสียง วิธีการนี้ทำให้สามารถคาดการณ์จำนวนคะแนนเสียงจากแต่ละหมู่บ้านและตำบลได้อย่างแม่นยำ รวมถึงวางแผนเจาะกลุ่มคะแนนเสียงจากพื้นที่เป้าหมายได้อย่างเป็นระบบ แม้ว่าลักษณะการเมืองเช่นนี้จะสะท้อนถึงความเป็นการเมืองแบบดั้งเดิมแต่มันไม่ใช่เก่าแบบเดิม” 

อย่างไรก็ตาม การกล่าวโทษว่าการเลือกตั้งในท้องถิ่น ใช้เงินเป็นปัจจัยหลักในการชนะนั้น วีระชี้ว่าถือเป็นการมองปัญหาที่ผิวเผิน เพราะปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ วิธีมองประโยชน์ที่จะได้รับหลังการเลือกตั้งของประชาชน เพราะหากประชาชนมองว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น น้ำประปาสะอาด เป็นสิ่งสำคัญ และมีค่ามากกว่าจำนวนเงินที่ได้รับ ก็จะเลือกตามความคาดหวังนั้น แต่หากสิ่งเหล่านี้มีมูลค่าในสายตาพวกเขาน้อยกว่าเงิน 500, 800 หรือ 1,000 บาท ก็ยากที่จะโทษประชาชนได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ผู้สมัครได้เสนอมานั้น ไม่สามารถตอบโจทย์หรือดึงดูดพวกเขาได้มากพอ

“การมองว่าคนในชนบทหรือผู้สูงอายุเลือกตั้งด้วยเงินนั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว หรือหากเป็นจริง อย่างน้อยก็ยังมีเหตุผลที่ชัดเจนกว่าการเลือกตั้งในกรุงเทพฯ ที่บางครั้งถูกชี้นำด้วยอารมณ์ และการปลุกกระแส ตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มีกรณีที่การเผาป้ายหาเสียงในช่วงอาทิตย์สุดท้ายส่งผลให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเปลี่ยนใจจากพรรคหนึ่งไปอีกพรรคหนึ่ง โดยไม่มีเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหรือประโยชน์ที่แท้จริง ซึ่งสิ่งนี้อาจแย่กว่าการเลือกตั้งที่มีการใช้เงินด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ประโยชน์ที่จะได้รับหลังการเลือกตั้งเลย”

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กลุ่มรักษ์เชียงของยื่นฟ้องนายกฯ–กฟผ. ปมเขื่อนปากแบง หวั่นแม่น้ำโขงกลายเป็น ‘อ่างตะกอนพิษ’

12 พฤศจิกายน 2568 กลุ่มรักษ์เชียงของ พร้อมประชาชน นักวิชาการ และทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ฟ้องนายกรัฐมนตรี...

ทหารเกณฑ์ดับในค่ายพิษณุโลก มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจี้สอบเหตุละเมิดสิทธิ

11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ กรณี พลทหารเกณฑ์รายหนึ่งเสียชีวิตภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก หลังเข้ารับการฝึกเพียงไม่ถึง 10...

เครือข่าย กก สาย รวก โขง ยื่น 5 ข้อ แก้ปัญหาน้ำปนสารพิษ ด้านรัฐบาลยืนยันยุติโครงการฝาย

ภาพ: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต 11 พฤศจิกายน 2568 ที่หอประชุมคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กรมทรัพยากรน้ำจัดเวทีประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชน เพื่อทบทวนและกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย  การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 300...

มติเอกฉันท์ คนท่าตอน ‘ไม่เอาฝายดักตะกอน’ ชี้ต้องการ ‘น้ำสะอาด’ เร่งด่วนกว่า

10 พฤศจิกายน 2568 ที่หอประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กรมทรัพยากรน้ำจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชน เพื่อทบทวนแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย ท่ามกลางความสนใจของประชาชนกว่า...