Ma Tam Maps: พระยานครพระราม “ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้สะสมเครื่องถ้วย !” 

Date:

เรื่อง: สมหมาย ควายธนู

พานเคลือบสีเขียว ขูดสลักและขูดขีดลายใต้เคลือบ ผลิตจากแหล่งเตาศรีสัชนาลัย ราวพุทธศตวรรษที่ 20 จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานเครื่องถ้วยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในมุมมองของนักสะสม นักศึกษาค้นคว้าเรื่องของเก่าๆ ทั้งไทยและนานาชาติ ‘เครื่องสังคโลก’ และเครื่องถ้วยในภาคเหนือของประเทศไทย ดูเหมือนจะเป็นที่รู้จักอยู่ถ้วนทั่วทุกหัวระแหง ในฐานะเครื่องปั้นดินเผาที่มีลักษณะอันโดดเด่น ด้วยเหตุผลว่าเป็นของมีค่า สะท้อนฐานะและความเฉพาะตัวของผู้ครอบครอง แถมยังบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ แผ่ขยายอยู่ตามตู้จัดแสดงไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ของทางราชการ ห้างร้านเอกชน ท้องถิ่น วัด ฯลฯ รวมไปถึงมีศิลปิน นักออกแบบนำเอาแรงบันดาลใจไปใช้ดีไซน์สิ่งใหม่ๆ อยู่เหมือนกัน

หากลองพลิกมุมดูหน่อย เจ้าเครื่องเคลือบเซลาดอน หรือแม้แต่เศษชิ้นส่วนเล็กๆ ที่เชื่อว่าจะสามารถบอกความเก่าแก่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งได้นั้น อาจจะเป็นผลผลิตของความคิดทางสังคมของชนชั้นนำในช่วงเวลาหนึ่ง ที่มีนัยต่อความทรงจำทางสายตาของใครหลายๆ คนก็ได้

สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้จึงเป็นเรื่องของคนเล่นเครื่องถ้วย พ่วงด้วยตำแหน่งอดีตข้าราชการระดับสูงในกระทรวงมหาดไทย อย่างพระยานครพระราม (สวัสดิ์ มหากายี) ทั้งเหตุผลในการค้นคว้าเรื่องเครื่องถ้วยสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และเวียงกาหลง รวมถึงอำนาจในการจัดการพื้นที่แหล่งผลิตเครื่องถ้วยในยุคแรกเริ่ม

พระยานครพระราม (สวัสดิ์ มหากายี) ภาพจาก เครื่องถ้วยไทย (กรุงเทพ: กรุงเทพบรรณาคาร, 2481).

พระยานครพระราม (สวัสดิ์ มหากายี, 2427 – 2480)

ชื่อของนายสวัสดิ์ มหากายี ถูกพูดถึงมากที่สุดคงเป็นเรื่องการออกแบบสุขภัณฑ์ในยุคที่รัฐสยามกำลังเปลี่ยนแปลงระบบสุขาภิบาลและสนับสนุนการปลดปล่อยสิ่งที่บริโภคอย่างถูกสุขอนามัย 

แต่ประวัติคร่าวๆ นั้นในหนังสือ ‘เครื่องถ้วยไทย’ หรือ TAI POTTERY ซึ่งตีพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพของเขาเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2481 ถูกเขียนขึ้นโดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีใจความว่า สวัสดิ์ เกิดที่กรุงเทพ ราว พ.ศ. 2427 มีบิดาเป็นขุนนางมีบรรดาศักดิ์ชั้นหลวง เคยผ่านการเรียนหนังสือจากโรงเรียนวัดมหรรณพาราม จนล่วงเข้าสู่ พ.ศ. 2443 ก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนมหาดเล็กที่จัดตั้งโดยรัชกาลที่ 5 ซึ่งให้ความสำคัญกับวิชาภูมิศาสตร์ การทำแผนที่ และวิชาพงศาวดาร ฯลฯ ก่อนจะแยกไปแผนกต่างๆ (อันจะพัฒนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปัจจุบัน)

หลังจากสวัสดิ์จบการศึกษาก็ได้ฝึกหัดเป็นมหาดเล็กตรวจราชการมณฑล และขยับตำแหน่งเติบโตขึ้นในหัวเมืองของกระทรวงมหาดไทย เช่น พิษณุโลก สวรรคโลก ลพบุรี ฯลฯ มีบ้างเหมือนกันที่เข้ามาอยู่ในส่วนกลาง จนถึงจุดสูงสุดที่ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก ในราว พ.ศ. 2472 – 2476 โดยได้รับการยอมรับว่าเป็นข้าราชการฝีมือดีและสามารถถ่วงดุลอำนาจของข้าราชการในท้องถิ่นกับข้าราชการรุ่นใหม่ที่มาจากส่วนกลางได้อย่างลงตัว ก่อนจะมีการยกเลิกและเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองมณฑลเทศาภิบาลใน พ.ศ. 2476

พื้นที่เตาทุเรียงใต้อำนาจมหาดไทย

ข้าราชบริพารของรัชกาลที่ 6 กำลังขุดหาเครื่องถ้วยจากเตาทุเรียง เมืองสวรรคโลก ภาพจาก เที่ยวเมืองพระร่วง: พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและเรื่องสืบเนื่อง (กรุงเทพฯ: มูลนิธิเพชรรัตน-สุวัทนา, 2559)

ในช่วงเวลาก่อนหน้าการตั้งกรมศิลปากรขึ้น กระทรวงมหาดไทยมีภารกิจในการเก็บรวบรวมโบราณวัตถุและค้นหาสถานที่สำคัญในเมืองต่างๆ พร้อมกับสอดส่องดูแล รักษา พื้นที่เมือง ป้อมค่าย ไปจนถึงปราสาทราชวังวัดเหล่านั้น เพื่อส่งต่อให้ราชบัณฑิตยสภาทำบัญชีขึ้นทะเบียนโบราณสถานและกำหนดจุดลงบนแผนที่ ซึ่งช่วงเวลาเมื่อสวัสดิ์รับราชการในกระทรวงมหาดไทย ประวัติศาสตร์แม่บทของชาติที่ให้ความสำคัญกับกรุงสุโขทัยและปลูกฝังความทรงจำต่ออดีตที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ได้ก่อตัวขึ้นมาแล้ว

ในพื้นที่ของมณฑลพิษณุโลก จากกรณี นายเส็ง พานิชกิจ ที่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ เปิดร้านค้าของเก่า เนื่องจากของเก่าของร้านนายเส็งนั้นเหลือเพียงเล็กน้อย ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นเครื่องถ้วยสังคโลก ตามหาซื้อจากชาวบ้านก็ไม่ได้ จึงขออนุญาตขุดค้นเตาทุเรียง จำนวน 2 หลุมโดยขนาดกว้างหลุมละ 5 x 5 วา ซึ่งพระยาสุนทรพิพิธ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก รักษาการสมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลกให้อนุญาตขุดค้นได้ แต่หนังสือก็ถูกส่งมาที่ราชบัณฑิตยสภา 

พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร เป็นนายกราชบัณฑิตยสภาในช่วงราว พ.ศ. 2475 ได้เขียนหนังสือราชการบอกพระยานครพระราม สมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลกว่าไม่ควรอนุญาตให้ขุดเพื่อว่าในอนาคตจะมีคนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง และราชบัณฑิตยสภายังไม่มีโอกาสสำรวจขึ้นทะเบียนในพื้นที่สยามได้ทั่วถึงว่าพื้นที่ไหนบ้างควรสงวนไว้สำหรับโลก

สำหรับคำตอบของสวัสดิ์ต่อนายกสภาราชบัณฑิตยสภาได้เล่าถึงสภาพพื้นที่ของแหล่งเตาเผาเก่า ทั้งในเขตสุโขทัยและสวรรคโลก มีอาณาเขตกว้างกว่าแห่งละ 200 ไร่ โดยมีชาวบ้านได้ใช้งานเป็นที่ทำกินไปแล้ว จึงเสนอให้ราชบัณฑิตยสภาสำรวจและกันเป็นเขตหวงห้ามในส่วนที่สำคัญ และบางส่วนก็ปล่อยให้ชาวบ้านได้ใช้ทำกิน “ด้วยเวลานี้ทางเตาสุโขทัยราษฎรเข้าปกครองทำไร่เสียมากกว่าครึ่งแล้ว หากแต่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้สะสมเครื่องถ้วย เพื่อทราบความจริงตามประวัติกาล จึงไม่กล้าออกความเห็นมาแต่เบื้องต้น จะเป็นว่าเพื่อประโยชน์อยากได้” [อ้างและสรุปความจากเอกสารในสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (4) ศธ 2.1.1.316 ขออนุญาตขุดหาของเก่าที่จังหวัดสวรรคโลก (8 – 26 ส.ค. 2475)]

แผนที่สังเขปเตาทุเรียงในเมืองสวรรคโลก หรือ ศรีสัชนาลัยในปัจจุบัน แนบมาพร้อมกับจดหมายของนายเส็ง พานิชกิจ ลงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2475 โดยขออนุญาตขุดหาของเก่าตามหมายเลข 8 และหมายเลข 13 ภาพจาก หอจดหมายเหตุแห่งชาติ

วัฒนธรรมการสะสมและการบริโภคสินค้าแบบตะวันตก

ขณะเดียวกันภายหลังออกจากตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก สวัสดิ์ได้แสดงความสนใจค้นคว้าและสะสมเครื่องถ้วยจากแหล่งเตาต่างๆ จนสามารถบันทึกค้นคว้าเรื่อง ’เครื่องถ้วยไทย’ เอกสารประกอบนิทรรศการจัดแสดงเครื่องถ้วยและการบรรยายที่บ้านของเขาได้ในราว พ.ศ. 2477 ตามคำชักชวนของสยามสมาคมฯ (The Siam Society) ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนของข้อมูลข่าวสารความรู้ที่นิยมในหมู่ชนชั้นนำสยาม และชาวต่างชาติ ซึ่งค้นคว้าเรื่องราวของสยามและพื้นที่ใกล้เคียงในขณะนั้น 

อย่างไรก็ตามในการพิจารณาการสะสมสิ่งของของชนชั้นนำสยาม ในงาน ปฏิวัติการบริโภค: จากสิ่งของฟุ่มเฟือยมาสู่สิ่งจำเป็น ของธเนศ วงศ์ยานนาวา ชวนให้เข้าใจถึงสำนึกต่อเวลายามว่างของผู้ดีในอังกฤษ ที่มักนั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจในห้างร้านค้าปลึก ซึ่งมีการจัดแสดงสิ่งของให้ดูดีผ่านตู้กระจกใส ทำให้ผู้คนสามารถสังเกตลักษณะอันโดดเด่นของสินค้าประเภทต่างๆ และความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศการค้าขายในเมืองนั้นได้ 

รวมถึงวิธีการจัดแสดงสินค้าดังกล่าว ทำให้ผู้ชายได้เปลี่ยนแปลงจากการซื้อสินค้าเพียวๆ มาเป็นการสะสมสิ่งของที่ดูจะไม่ค่อยมีประโยชน์ในการใช้สอยเท่าไรนัก เน้นเล่นสนุกเพลิดเพลิน และแสวงหาความรู้เพื่อการค้นพบใหม่ๆ เป็นบางครั้ง โดยต่อมาการสะสมก็ได้พัฒนาความสำคัญกับการมองเห็นและการรับรู้ผ่านรูปลักษณะ เรื่องเล่าที่มา การพิสูจน์หาความเก่าแท้ และการจัดประเภทชั้นอายุสมัยเกี่ยวกับสิ่งของ ซึ่งมีส่วนสำคัญผ่านตลาดประมูลสินค้า

นี่จึงเป็นต้นตอหนึ่งของความรู้สึกอยากมีและสะสมสิ่งของไม่ว่าจะเป็นเครื่องถ้วย พระเครื่อง หนังสือ ข้าวของเครื่องใช้ของผู้คนที่แตกต่างทางวัฒนธรรม หรือแม้แต่สินค้าต่างๆ หากกลับไปดูสังคมของชนชั้นนำสยามพวกเขาก็ได้พยายามปรับเปลี่ยนรสนิยมผ่านการบริโภคสินค้าต่างๆ ในระบบอุตสาหกรรมการผลิตในตลาดสินค้าของโลก และการจัดงานแสดงหรือการประชันของสะสมระหว่างราชวงศ์กับขุนนางในเชิงเปรียบเทียบสิ่งของต่างๆ จากเอเชียและยุโรปอยู่เช่นกัน 

เตาทุเรียง หมายเลข 61 ในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย คำอธิบายของพระยานครพระราม เตาทุเรียงน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า ‘ชะเลียง’

เครื่องถ้วยของพระยานครพระราม

กลับมาที่ความรู้สึกของสวัสดิ์กับความภาคภูมิใจในการสะสม เขาได้เล่าไว้ใน ‘เครื่องถ้วยไทย’ ว่า  “… ข้าพเจ้าเป็นคนไทยที่จะนำพาแขกไปดูก็ควรรู้จักเมืองไทยและภาชนะที่ไทยใช้ นับเวลาตั้งแต่ต้นถึงบัดนี้ได้ 6 ปี มีสัมภารกอยู่ในบ้านกว่า 1500 ชิ้น แถมเศษแตกมากกว่า 20 คนหาบ ใครเห็นบ้านเข้าก็ร้องว่าเหมือนร้านขายของ ที่ว่าเก็บของแตกเหมือนร้านโปเกก็มี [โปโก (poke) ในที่นี้น่าจะหมายถึงร้านขายของเก่า – สมหมาย]

โดยเหตุการณ์ก่อนการค้นหาเศษภาชนะจำนวนดังกล่าวถึง 6 ปี สวัสดิ์ได้เล่าความคับอกคับใจ ขณะพาชาวต่างชาติไปชมเตาเผาเครื่องถ้วยอย่าง Mr.Reginald Le May นักการทูตชาวอังกฤษ ซึ่งภายหลังมีร่องรอยการสะสมชิ้นส่วนเครื่องถ้วย พระพุทธรูป และเงินตราต่างๆ เป็นคอลเลกชันของบริติช มิวเซียมกว่า 295 ชิ้น ส่วนอีกคนนั่นก็คือ Mr.Bourke Burrowes ที่ปรึกษากรมป่าไม้ของสยาม แต่มีบิดาทำธุรกิจค้าขายเครื่องลายครามและของเก่าอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ดังนี้

 “… เมื่อไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสวรรคโลก จึงมีหน้าที่เป็นเจ้าของบ้านพาพวกทูต, กงสุล และ นักโบราณคดีไปยังเตาโบราณที่ทำเครื่องถ้วย และมีความเข้าใจในครั้งนั้นตามเขาว่าๆ พ่อขุนรามคำแหงเสด็จไปเมืองจีนแล้วพาช่างจีนเข้ามาทำเป็นครั้งแรก แต่ก็ขัดกับความเห็นของนักโบราณคดีและผู้ที่สนใจบางคน ซึ่งมีความเห็นว่า ไม่เหมือนของจีนไม่ใช่ช่างจีนเข้ามาทำ จึงเป็นเครื่องหนักอกแก่ชาวไทยผู้เป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งไม่ทราบความจริงเพราะต้องเป็นเพียงลูกขุนพลอยพยักไปกับเขา ถ้าไม่คิดก็ไม่เห็น … ในเมื่อเราเป็นเจ้าของบ้านแต่ไม่รู้ว่า บรรพบุรุษของเราทำอะไรใช้อะไรในบ้านเมืองเรา ส่วนคนต่างประเทศต่างถิ่นกลับรู้ดีเสียยิ่งกว่า …

ทำให้สวัสดิ์ค้นคว้าเรื่องเครื่องถ้วยผ่านการซื้อจากผู้พบในท้องทุ่งที่ราบใกล้เมืองเก่าร้าง เพื่อพิสูจน์จากเนื้อดิน ลวดลาย น้ำเคลือบ และกรรมวิธีในการผลิต เพื่อไล่เรียงลำดับอายุสมัยของเครื่องถ้วยในบางแห่ง รวมถึงค้นคว้าเรื่องราวของเมืองเชลียง เมืองเชียงแสน แหล่งเตาสวรรคโลก สุโขทัย และลงมืออกตามหาและขุดค้นเองดังเช่นในกรณีเวียงกาหลง ในอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย

เครื่องถ้วยลายสีดำจากแหล่งเตาเวียงกาหลง ราวพุทธศตวรรษที่ 20 – 21 จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานเครื่องถ้วยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยสวัสดิ์เชื่อว่าเศษเครื่องถ้วยที่พบในเมืองทุ่งยั้ง อุตรดิตถ์ ไม่ได้ผลิตขึ้นจากเตาสวรรคโลก(ศรีสัชนาลัย) หรือสุโขทัย จึงคิดว่าต้องมีแหล่งเตาผลิตที่อื่นๆ “ตามทางสันนิษฐานวัตถุประกอบพงศาวดารหรือประวัติศาสตร์ ชาติไทยร่นหนีจีนมาแต่ทางเหนือ เมืองที่คิดว่าจะเก่าก็คือในเขตต์เชียงรายบัดนี้ จึงเขียนจดหมายขอเศษกระเบื้องโดยวิธีขุดไปยังเพื่อนที่เมืองนั้น” เพื่อนจากเชียงรายของสวัสดิ์ก็ได้ส่งจดหมายตอบกลับพร้อมถ้วยใส่เกลือและตะเกียงแตกที่เจอบนผืนดินจากการปรับพื้นที่สนามบินที่มาให้ เมื่อเห็นแน่ชัด สวัสดิ์จึงออกประกาศให้คนตามหาเตาในเชียงราย โดยให้รางวัลเป็นเงิน 30 บาท และได้พบเจอเตากาหลงในที่สุด

บทส่งท้าย

เรื่องราวของเครื่องถ้วยและช่วงชีวิตของพระยานครพระราม หรือ สวัสดิ์ มหากายี ไม่ได้เป็นเพียงบันทึกของอดีตข้าราชการผู้สนใจสะสมของเก่าเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นพลวัตของอำนาจรัฐและบทบาทของชนชั้นนำไทยในกระบวนการสร้าง “ความรู้” และ “ความทรงจำ” เกี่ยวกับชาติ ผ่านการจัดการโบราณวัตถุและโบราณสถาน

ในฐานะข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย พระยานครพระรามมีอำนาจในการควบคุมพื้นที่หัวเมือง และยังมีบทบาทในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการจัดตั้ง “ชาติไทยสมัยใหม่” ซึ่งกำลังสร้างนิยามของอดีตผ่านการกำหนดแหล่งโบราณคดี การทำแผนที่ และการขุดค้น เพื่อยืนยันความรุ่งเรืองของอาณาจักรโบราณอย่างสุโขทัยในฐานะรากฐานของรัฐชาติร่วมสมัย ท่ามกลางการแข่งขันกับ “สายตา” ของตะวันตกที่เริ่มเข้ามาสำรวจ สะสม และตีความอดีตของสยามด้วยตนเอง

ในมิติหนึ่ง การที่สวัสดิ์เริ่มเก็บสะสมเครื่องถ้วย และศึกษาเรื่องแหล่งเตาโบราณด้วยตัวเอง จึงไม่ใช่แค่ความสนใจส่วนบุคคลของข้าราชการคนหนึ่ง แต่เป็นการตอบสนองต่อภาวะความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์ของชนชั้นนำไทยที่รู้สึกว่าตนเอง “เป็นเจ้าของบ้าน แต่กลับไม่รู้เรื่องบ้านของตัวเอง” ความรู้สึกดังกล่าวสะท้อนผ่านข้อความในหนังสือ เครื่องถ้วยไทย ที่เขาเขียนว่า “ถ้าไม่คิดก็ไม่เห็น” นั่นคือ หากไม่ตั้งคำถามกับอดีตด้วยตนเอง ก็จะกลายเป็นเพียงผู้พยักหน้าตามความเข้าใจของฝรั่งอยู่ร่ำไป

ขณะเดียวกัน การสะสมเครื่องถ้วยของพระยานครพระรามก็ไม่อาจตัดขาดจากกระแสการบริโภคแบบตะวันตก ซึ่งเริ่มซึมลึกในหมู่ชนชั้นสูงไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นสมัยใหม่ สิ่งของเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงรสนิยมและสถานะ แต่ยังกลายเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ชนชั้นนำใช้ต่อรอง ต่อสู้ และแสดงตนบนเวทีโลกและเวทีภายในประเทศ ทั้งผ่านการจัดแสดง การเขียนตำรา หรือแม้กระทั่งการเปรียบเทียบกับคอลเลกชันของนักสะสมชาวต่างชาติ

จึงอาจกล่าวได้ว่า เครื่องถ้วยที่อยู่ในตู้โชว์ หรือแม้แต่เศษชิ้นส่วนที่ฝังอยู่ในดิน ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งของโบราณเท่านั้น แต่เป็น “เครื่องมือ” ในการจัดการอดีต และเป็นเวทีที่ชนชั้นนำสยามในยุคหนึ่งใช้แสดงบทบาทของตนต่อทั้งโลกภายนอกและประวัติศาสตร์ของตนเอง

สุดท้าย ความรู้ที่พระยานครพระรามสั่งสมไว้ แม้จะยังอยู่ในกรอบของชนชั้นนำแบบเก่า แต่ก็เปิดทางให้เกิดการศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ เครื่องถ้วย และโบราณคดีในเวลาต่อมา นักวิชาการในรุ่นหลัง เช่น สืบแสง พรหมบุญ, พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ และศรีศักร วัลลิโภดม จึงสามารถต่อยอดและตีความอดีตได้อย่างหลากหลายขึ้น ไม่ยึดติดกับตำนานพระร่วงหรือความเข้าใจเดิมแต่เพียงเท่านั้น

สมหมาย ควายธนู
สมหมาย ควายธนู
เต้นหน้าร้านชำ

มาตรการลงทะเบียนซิมด้วย Liveness Detection ถูกตั้งคำถาม กระทบคนไร้สัญชาติ–แรงงานข้ามชาติ ‘ตี่ตาง’ ชี้จำกัดสิทธิสื่อสาร แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

จากกรณีที่ สำนักงานคณะกรรมการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ เเละกิจการโทรคมนาคมเเห่งชาติ (กสทช.) ประกาศใช้เทคโนโลยี Liveness Detection เมื่อวันที่...

พ่อหมอกฤตไท ร้องหยุดดองร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ด้านสภาลมหายใจ เเถลงไม่ควรเอื้อนายทุน

หลังจากเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ในวาระสามด้วยคะแนนเห็นด้วย 309 เสียง...

ให้คะแนนรัฐบาลอนุทิน ‘สอบตกยกแผง’ แก้ปัญหาน้ำกก–สายรวก–โขงปนเปื้อนโลหะหนัก จากเหมืองแร่ในรัฐฉาน

สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประเมินการทำงานของรัฐบาลไทยในการรับมือปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ระบุว่า ‘สอบตกยกแผง’ พร้อมแจกแจงการประเมินเป็นรายบุคคลต่อผู้นำฝ่ายบริหารสามตำแหน่ง นายกฯ...

Lanner Joy: LOLA Gallery DRIP แรงบันดาลใจจากความฝันเล็กๆ สู่รากกาแฟห้วยตองก๊อที่เติบโตอย่างแข็งแรง

เรื่องและภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย ยามบ่ายต้นเดือนพฤศจิกายนที่ลานกว้างของโครงการจริงใจมาร์เก็ต เชียงใหม่ เสียงแจ๊สลอยแผ่วเบาเคล้ากลิ่นกาแฟที่เพิ่งบดใหม่ เทศกาล Jazz Arabica กลับมาอีกครั้งในปี...