เรื่อง: สมหมาย ควายธนู

กลางป่าห้วยขาแข้งเคยมีการค้นพบเนินหินรูปวงกลมใหญ่เล็กหลายขนาด ทั้งเรียกว่า ‘สังเวียนไก่’ หรือ ‘วงตีไก่’ เพราะเชื่อว่าในคราวที่มีศึกสงครามระหว่างอยุธยากับพม่า ทหารพม่าได้แวะพักเอาไก่มาชนกันในวงหินเรียกเสียงเชียร์เป็นที่สนุกสนานก่อนเดินทางกลับ อีกเรื่องเล่าก็ว่าเนินหินรูปวงกลมนั้นเป็นหลุมฝังศพของคนโบราณ ซึ่งเพียบพร้อมด้วยสมบัติติดตัวทั้งใบหอก ใบดาบ ข้าวของทำจากสำริด เครื่องถ้วย ไหชาม กระปุก ที่มีอายุร่วมสมัยจากแหล่งเตาในอยุธยา ล้านนา สุโขทัย ไปจนถึงจีนราชวงศ์หมิง โดยมีสภาพที่สมบูรณ์และแตกกระจัดกระจายเป็นหลายส่วน โดยมีให้เห็นในฐานะร่องรอยความตายของผู้คนที่มีการติดต่อสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจระหว่างชาติพันธุ์บนที่สูงกับรัฐที่ราบในช่วงเวลาหนึ่ง ที่มักไม่ค่อยถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์มากนัก
ขณะเดียวกันห้วยขาแข้งซึ่งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เรื่องราวของคนตัวเล็กตัวน้อยกลับถูกทำให้เลือนรางหายไป ในฐานะคนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือไม่มีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่แต่ประการใด ในที่นี้จึงเล่าถึงหลุมฝังศพและสิ่งของที่เกี่ยวเนื่อง

‘วงตีไก่’ ในประวัติศาสตร์ห้วยขาแข้ง
‘วงตีไก่’ มีการค้นพบอยู่ในบริเวณกลางป่าห้วยขาแข้งอยู่ราว 3 – 4 จุดหลักๆ ทั้งอยู่ใกล้กับลำห้วยทับเสลา สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ และหน่วยพิทักษ์ป่ากะปุกกะเปียง แต่เป็นที่รู้จักมากที่สุดอยู่ในบริเวณใกล้หน่วยพิทักษ์ป่าซับฟ้าผ่า อยู่ห่างจากสำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งไปกว่า 10 กิโลเมตร
ในหนังสือ 50 ปี เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ประวัติศาสตร์สู่อนาคต ได้เล่าผ่านบันทึกการสำรวจส่วนตัวของอดีตภัณฑารักษ์กรมศิลปากรและนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์อย่างภูธร ภูมะธน ว่าในราวมีนาคม – เมษายน 2524 ได้เดินทางมาพบกับเนินหินรูปวงกลมอยู่ริมเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ พร้อมบันทึกสีของหินและเส้นผ่าศูนย์กลางของทุกวงไว้อย่างละเอียด รวมถึงข้อสังเกตที่เป็นร่องรอยที่หลงเหลือจากการลักลอบขุด อาทิ ลูกปัด เศษชิ้นส่วนเครื่องถ้วยแบบสุโขทัยและชิ้นส่วนโอ่งไหแบบอยุธยา
ทำให้ภูธรสันนิษฐานว่า วงตีไก่หรือเนินหินวงกลมที่พบเจอในเวลานั้น อาจไม่ได้อยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมหินตั้ง (Megalith) แต่อาจเป็นที่ฝังศพของพวกชาวมอญ ซึ่งภูธรเองก็ไม่พบเมืองโบราณอยู่ใกล้ๆ แต่อย่างใด (เข้าใจว่าเป็นเมืองที่มีคูน้ำคันดิน) แต่เมื่อสำรวจเนินหินรูปวงกลมที่หน้าตาคล้ายคลึงในภาคเหนือทั้งอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก และในจังหวัดเชียงใหม่ จึงทำให้มองว่าเป็นน่าจะเกี่ยวข้องกับการเป็นจุดพักของคาราวานม้าต่างพ่อค้าจีนฮ่อและเงี้ยวในราวพุทธศตวรรษที่ 20 หรือก่อนหน้าเล็กน้อยมากกว่า โดยเส้นทางนี้สามารถเชื่อมผ่านไปยังเมาะตะมะ และเครือข่ายเส้นทางการค้าทางบกที่สัมพันธ์กับเมืองอุทัยธานี ไปจนถึงเครือข่ายผู้คนในแถบลุ่มแม่น้ำมูล และเวียดนามได้ในสายตาภูธร
หลุมฝังศพในวัฒนธรรมหินตั้ง
อย่างไรก็ตามเมื่อสำรวจและพิจารณารูปร่างลักษณะของวงตีไก่ รวมถึงตรวจสอบหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ตามแนวเทือกเขาตะนาวศรี – ถนนธงชัย ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่าวงตีไก่น่าจะเป็นหลุมฝังศพในวัฒนธรรมหินตั้งและเกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ลัวะ หรือละว้า อาจจะแตกต่างไปจากภูธร ภูมะธนอยู่ประมาณ 4 ประการ
ประการแรก ลักษณะของการนำหินมาเรียงกันเป็นวงกลมของวงตีไก่นั้น ดูจะสอดคล้องกับสิ่งที่ศาสตราจารย์ ชิน อยู่ดี นักโบราณคดีที่ค้นคว้าเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ เคยอธิบายรูปร่างของหินตั้ง หินใหญ่ในวัฒนธรรม Megalith ไว้หลายลักษณะ ในส่วนของเนินหินหรือหินตั้งวงกลมที่เห็นว่าน่าจะคล้ายวงตีไก่นั้นมีศัพท์เรียกในภาษาอังกฤษว่า ‘Stone circle’, ‘Rings’, ‘Cromlech’ ฯลฯ โดยอ.ชินเชื่อว่า หินตั้งเป็นวงกลมน่าจะเกี่ยวข้องกับหลุมฝังศพของผู้คนที่มีการทำตั้งแต่ยุคสำริดตอนต้น และในประเทศไทยก็เคยมีการพบในบริเวณป่าแถบแม่สะเรียง ฮอด และอมก๋อย โดยอ.ชินได้เล่าไว้ว่า ในสมัยโบราณเมื่อพวกละว้าตาย จะมีการฝังศพและนำหลักหินมาปักไว้ แต่บางแห่งมีร่องรอยการล้มเอียงเพราะกะเหรี่ยงที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงมักมาลักลอบขุด เพราะเชื่อว่าพวกละว้ามักจะฝังสิ่งของมีค่าของผู้ตายเอาไว้
ประการที่สอง สำหรับวงตีไก่ในการเป็นหลุมฝังศพ มีคำยืนยันจากนายแพทย์สุด แสงวิเชียร ที่จับมือกับผู้ช่วยอย่างคุณวัฒนา สุภวัน นักโบราณคดีทำรายงาน ‘การตรวจวัตถุและโครงกระดูกที่อยู่ในไหสองใบที่ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี’ เป็นการวิเคราะห์สิ่งของหลากประเภทที่มาจากบริเวณที่คนเรียกกันว่า ‘วงตีไก่’ พบว่าไหใบแรกบรรจุกระดูกมนุษย์ผู้ใหญ่ทั้งชายและหญิง ส่วนใบที่สองพบเป็นโครงกระดูกเด็กในวัยประมาณ 15 ปี โดยเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับประเพณีการฝังศพครั้งที่ 2 ที่มีการเคลื่อนย้ายโครงกระดูกมาจากสถานที่อื่นและนำมาบรรจุในไหอีกครั้ง ด้วยความก้าวหน้าทางหลักฐานโบราณคดีในทศวรรษ 2520 ทำให้หมอสุดเชื่อว่าครั้งนั้นเป็นการพบหลักฐานการฝังศพครั้งที่ 2 ที่ทำขึ้นในสมัยสุโขทัยและอยุธยาตอนต้นครั้งแรกของประเทศไทย ยังบันทึกต่อไปว่าที่บริเวณฟันบนของศพมีร่องรอยการฝนที่สืบเนื่องจากตั้งแต่ยุคหินใหม่ด้วย

ประการที่สาม นักมานุษยวิทยาที่เคยสำรวจวงตีไก่และแหล่งโบราณคดีแถบอำเภอลานสักในราวทศวรรษ 2520 มาแล้วอย่างอ.ศรีศักร วัลลิโภดม เขียนไว้ใน ‘ลัวะ ละว้า และกะเหรี่ยง : ของเผ่าในที่สูงกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ – การเมืองกับรัฐในที่ราบ’ ไม่นานได้อัพเดทล่าสุดในบทความ ‘วัฒนธรรมหินตั้ง’ ในนิตยสารเมืองโบราณ ตีพิมพ์ราวปี 2563 ว่าหลักฐานการฝังศพบนเนินดินที่มีหินตั้งแสดงขอบเขตหรือที่เรียกว่า ‘วงตีไก่’ ตั้งแต่ตามแนวจังหวัดทางภาคกลางแถบตะวันตกและภาคเหนือที่เจอเครื่องถ้วยที่น่าจะอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 21 นั้น เป็นหลุมฝังศพของหัวหน้าเผ่าพันธุ์อย่างลัวะ แสดงให้เห็นถึงการนับถือผีบรรพชนยังคงอยู่ แม้ว่าในที่ราบจะพัฒนาการเป็นรัฐและมีการนับถือพุทธศาสนาแล้วก็ตาม และหินตั้งหลายแห่งก็ถูกสร้างทับด้วยเจดีย์หรือวัดในพุทธศาสนาด้วยเหมือนกัน ลัวะเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่มีพัฒนาการเป็นบ้านเมืองที่สำคัญในลุ่มแม่น้ำปิงและรัฐอย่างล้านนามาตั้งแต่ 2,500 ปีมาแล้ว
และประการที่สี่ หลายครั้งมักเข้าใจกันว่า การฝังศพที่มีการนำก้อนหินมาวางเรียงเป็นวงกลมหรือปักไว้เป็นขอบเขตหลุมฝังศพ ต้องอยู่ในช่วงเวลาจากการพบร่วมกับสิ่งของที่อยู่ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์เพียงเท่านั้น แต่ในสังคมร่วมสมัยก็ยังมีการปรากฏหลักฐานการฝังศพแบบที่มีก้อนหินมาจัดวางอยู่ด้วยเช่นกัน ปากคำของบุษกร จีนะเจริญ อดีตภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ในราวปี 2548/2549 เธอเคยมีโอกาสเดินทางไปร่วมงานศพของพ่อหลวงเสริฐ ผู้ใหญ่บ้านชาวม้งแห่งหมู่บ้านมณีพฤกษ์ก็มีการเลือกสรรสถานที่ฝังศพที่ต้องมีการข้ามลำห้วยไปยังที่ราบบริเวณสันเขา โดยระหว่างทางไปยังสถานที่ฝังก็มีผู้ร่วมงานแบกหินหลากหลายขนาด เพื่อนำไปวางบนหลุมฝังศพของหัวหน้าชุมชนที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
สิ่งของและผู้คนจากห้วยขาแข้ง
กลับมาที่สิ่งของในหลุมฝังศพคนลัวะอย่างวงตีไก่ ถ้ามองเฉพาะสิ่งของที่มีการควบคุมโดยรัฐอย่างอยุธยา เช่น เครื่องถ้วยจากแหล่งเตาศรีสัชนาลัย แหล่งเตาสุโขทัย แหล่งเตาบ้านบางปูน จ.สุพรรณบุรี และแหล่งเตาแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี เครื่องถ้วยในหลุมฝังศพจึงน่าจะมีการแลกเปลี่ยนทรัพยากรของป่า อวัยวะของสัตว์ การถลุงโลหะทั้ง เหล็ก ดีบุก ตะกั่ว (จากแหล่งโบราณคดีในประเทศไทยเล่ม 1 กับเล่ม 2 และฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีในวัฒนธรรมบ้านเก่า) และพื้นที่เดียวกันเมื่อถึงในช่วงราวสมัยรัชกาลที่ 3 เคยเป็นตำบลที่มีการเก็บส่วยทั้ง เร่ว และ กระวาน หรือเกณฑ์แรงงานจากบริเวณพื้นที่ป่าผ่านการแต่งตั้งหัวหน้าชุมชนในยศหรือตำแหน่งทางราชการ
อีกเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การกลมกลืนกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้กลายมาเป็นประชากรในเมืองหรือรัฐอยุธยา ในหนังสือว่างแผ่นดิน ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ หน้า 28 อธิบายว่าภาษาไทยอยุธยาได้กลายมาเป็นแกนกลางที่เข้าใจในหมู่คนหลากหลายชาติพันธุ์ภาษาในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ชนเผ่าพื้นเมืองหลายๆ พวกที่ถูกเรียกรวมกันว่า ‘ละว้า’ จึงถูกกลืนผ่านผู้นำในชุมชนเป็นข้าไพร่ของอยุธยา และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยในส่วนใดส่วนหนึ่ง ประกอบกับเนื่องด้วยเมืองในสมัยอยุธยาประชากร น่าจะตั้งบ้านเรือนกระจุกตัว อยู่ตามลำน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่เป็นตัวเมืองเพื่อการเพาะปลูกและทำเกษตรกรรมอย่างการทำนา ซึ่งอำนาจของเจ้าเมืองในขณะนั้นคงจะครอบคลุมในพื้นที่เขตรอบเมืองและพื้นที่เกษตรกรรมใกล้กันกับเมืองเพียงเท่านั้น การสัมพันธ์กับหัวหน้าชุมชนทั้งในบริเวณตามแนวลำห้วยทับเสลาเองที่บริเวณต้นน้ำก็มีหลุมฝังศพวงตีไก่ ส่วนบริเวณกลางน้ำก็มีเมืองก่อตัวขึ้นและปลายน้ำก็สามารถไปเชื่อมต่อกับแม่น้ำสะแกกรังได้
วงตีไก่ที่ห้วยขาแข้ง จึงเป็นร่องรอยหลักฐานของคนที่กลายมาเป็นคนไทยในปัจจุบัน


สมหมาย ควายธนู
เต้นหน้าร้านชำ