เลียบ ลัด เลาะ เจาะอดีต “แม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก” : ประวัติศาสตร์การปักปันเส้นเขตแดนไทย-เมียนมา

Date:

เรื่อง: นวลคำ ขะยอมแดง สุภาพชนคนเมือง


(ภาพ: กาลครั้งหนึ่งเชียงราย)

“แม่สาย” เมืองชายแดนที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือสุดของประเทศไทย เป็นจุดหมายในการเดินทางมาท่องเที่ยวของใครหลายคน เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์เดินทางข้ามแดน มาเลือกซื้อสินค้าราคาถูก ทั้งในพื้นที่ตลาดการค้าชายแดนดอยเวลาและสายลมจอย ที่ตั้งอยู่ในฝั่งประเทศไทย ในทางเดียวกัน เมื่อผ่านพ้นพิธีการศุลกากร เดินเท้าก้าวข้ามลำน้ำแม่สายไปไม่ถึงสองร้อยเมตร เราก็สามารถเข้าสู่พื้นที่ตลาดการค้าท่าล้อ ที่ตั้งอยู่ในฝั่งท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาได้ โดยอนาคตมีทีท่าจะขยายอาณาเขตปริมณฑลทางการค้า ไปสู่พื้นที่ล้อมรอบได้อย่างมากมาย

มากกว่าร้อยละ 80 ผู้คนที่เคยมีประสบการณ์เดินทางไปเที่ยวจุดข้ามแดนไทย-เมียนมา ราว 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา คงจะเคยได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ร่วมกับป้าย “เหนือสุดยอดในสยาม” อันถือได้ว่าเป็นแลนด์มาร์ค (Landmark) สำคัญในการถ่ายรูป หากจะกล่าวให้ทันสมัยเฉกเช่นปัจจุบัน ก็คงเรียกได้ว่า นั่นเป็น “จุดเช็คอิน” พื้นที่ดังกล่าวนั้นได้ถูกจัดสรรและกันพื้นที่โดยรั้วกั้นแยก ออกจากเส้นเดินผ่านหลัก ซึ่งหากตั้งใจที่จะไปถ่ายรูปยังจุดที่ว่านั้น อาจจะต้องเดินอ้อมกลับไป จึงทำให้ป้าย “เหนือสุดยอดในสยาม” อันตั้งอยู่ ณ จุดสำคัญนี้ ได้รับความนิยมน้อยกว่าแต่ก่อน


(ป้ายเหนือสุดยอดในสยาม อันเดิม เครดิตภาพ: tripsabay)
(ป้ายเหนือสุดยอดในสยาม อันใหม่)

แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ทั้งที่เคยถ่ายรูปกับป้ายดังกล่าว หรือรับรู้การตั้งอยู่ของป้ายนี้ อาจไม่เคยล่วงรู้เลยด้วยซ้ำไป ว่าจุดเหนือสุดของประเทศไทยตามระบบพิกัดทางภูมิศาสตร์ที่ถูกต้องนั้น มิได้ตั้งอยู่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแม่สายแห่งที่ 1 ดังที่เห็นในปัจจุบัน 

หากแต่เป็นจุดที่แม่น้ำแม่สายไหลไปบรรจบกับแม่น้ำรวกซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของหมู่บ้านป่าแดงหลวง ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยแม่น้ำรวกนั้น เป็นแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่กว่าแม่น้ำไหลมาจากทางด้านทิศเหนือ มีต้นกำเนิดจากดอยผาเลงทางทิศใต้ของเมืองเชียงตุง โดยไหลผ่านหมู่บ้านแม่ฮวกหรือแม่รวก ซึ่งเป็นชุมชนคนเมืองพลัดถิ่น ก่อนที่จะไหลลงมาเป็นเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเมียนมา และแม่น้ำสายไหลมาจากด้านทิศตะวันตก ซึ่งมีต้นกำเนิดจากทางด้านทิศตะวันตกของดอยตุง โดยมีการไหลย้อนขึ้นทิศเหนือและหักเลี้ยวมาทางทิศตะวันออก ตรงบริเวณหัวฝายถ้ำผาจม

ผู้เขียนไล่เรียงให้เห็นถึงสภาะภูมิศาสตร์ทางกายภาพของ “สองฝั่งลำน้ำแม่สาย” จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ยุคใกล้ในร้อยปีที่ผ่านมา ยังระบุเกี่ยวพื้นที่ชุมชนหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งเป็นถิ่นฐานการอพยพของผู้คนจากถิ่นที่อื่น ๆ เข้ามาอยู่อาศัยทั้งคนยอง จังหวัดลำพูน ที่อพยพย้อนกลับมาอยู่ในพื้นที่แอ่งเชียงแสนหลวง ทั้งในพื้นที่ชุมชนแม่จัน ชุมชนบ้านด้าย ชุมชนป่าสักหลวง ตลอดจนรอบ ๆ ขอบเขตของเชียงแสนเวียงเก่า 

หลังปี พ.ศ. 2436 ผลของสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสได้กำหนดว่าสยามจะต้องไม่ก่อสร้างด่านหรือค่ายต่าง ๆ ภายในระยะ 25 กิโลเมตร บนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ทำให้รัฐบาลสยามย้ายที่ทำการปกครองจากในเมืองเชียงแสนมายังบ้านแม่คี (แม่ขิ) แขวงเชียงแสน ปัจจุบันคืออำเภอแม่จัน และการกำหนดเส้นเขตแดนโดยใช้ร่องน้ำลึกแม่น้ำโขง ซึ่งได้ก่อความยุ่งยากในการเดินทางค้าขาย เพราะต้องผ่านเขตแดนของหลายรัฐ อีกทั้งอำนาจของรัฐบาลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ จึงส่งผลให้การค้าในเส้นทางน้ำ และเมืองเชียงแสนในช่วงนั้นซบเซาลง ในขณะที่การค้าขายเส้นทางบกในเขตบ้านแม่คี (อำเภอแม่จันในปัจจุบัน) ที่เชื่อมไปยังชายแดนด้านทิศเหนือติดต่อกับรัฐฉานและเชียงตุงคือ แม่สายได้มีการขยายตัวเติบโตเป็นชุมชนขึ้นมาแทนที่

แม่สายในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ “แอ่งเจียงแสนหลวง” ราวพุทธทศวรรษที่ 2460 หรือในพื้นที่ใกล้เคียงกันในแอ่งเจียงแสนก่อนหน้านั้น ประมาณ 50-80 ปี   ในอนาคตที่ดูเหมือนว่าไม่ได้มีความสำคัญใด ๆ มากนัก จนกระทั่งคลี่คลายและขยายตัวเติบโตขึ้นมาเป็นเมืองชายแดนแห่งการค้า ซึ่งมีพัฒนาการก่อตัวขึ้น พร้อมกับการกำเนิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ และการกำหนดเส้นปักปันเขตแดน (Boundary Line) ระหว่างรัฐบาลบริติชอินเดียแห่งอังกฤษ ได้ทำการยึดครองดินแดนพม่ามาจนถึงราวกลางศตวรรษที่ 19 โดยช่วงเวลาดังกล่าว เป็นยุคสมัยของการแผ่ขยายอำนาจและอิทธิพลของจักรวรรดิอังกฤษเข้ามาสู่พื้นที่ทางตอนเหนือของเมียนมาและรัฐฉาน อันเป็นพื้นที่ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับตอนเหนือของ “เพชรยอดมงกุฏแห่งสยาม”หรือว่าล้านนา 

โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายหลังการเข้ายึดครองดินแดนอาณานิคมพม่าของจักรวรรดิอังกฤษนั้น ได้เริ่มมีการกำหนดอาณาเขตดินแดนขึ้นมาเป็นลายลักษณ์อักษรที่แน่ชัด พร้อมกับอาศัยกลไก ยุทธวิธีทางการเมืองหลากหลายรูปแบบ เพื่อการยึดครองให้ได้มามากกว่าดินแดนที่มีอยู่เป็นจริง ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคสมัยดังกล่าว และเห็นได้ว่าการเจรจาเรื่องเขตแดนอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีอิทธิพลมากในยุคสมัยนั้น ได้ใช้อำนาจและวิเทโศบาย ในทางการเมืองบีบบังคับรัฐสยามให้ยอมรับในข้อตกลงต่าง ๆ ที่อังกฤษเห็นชอบ  รวมทั้งได้มีการตกลงเพื่อปักปันเขตแดนร่วมกับรัฐบาลสยามเพื่อความสะดวกในการปกครองเมียนมา ซึ่งเป็นอาณานิคม 

อีกทั้งเจ้าอาณานิคมอังกฤษเอง มักจะมีข้อตกลงที่มักจะเอาเปรียบรัฐบาลสยามในหลายข้อด้วยกัน ในขณะเดียวกัน กระบวนการต่อรองระหว่างรัฐบาลอาณานิคมอังกฤษและรัฐบาลสยามในฐานะเจ้าอาณานิคมภายในดำเนินไปโดยที่สุด แล้วรัฐบาลสยามเองไม่สามารถขัดขืนอังกฤษได้ 

ในปี พ.ศ.2408 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ของไทย  รัฐบาลอาณานิคมอังกฤษได้ส่งข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำอินเดีย มาติดต่อกับรัฐบาลไทย เพื่อขอดำเนินการปักปันเขตแดน ซึ่งการกำหนดแนวพรมแดนดังกล่าวในระยะเริ่มแรกนั้น ไม่มีหนังสือสัญญาแต่อย่างใด หากแต่เป็นการกำหนดเขตแดนลงบนแผนที่ตามที่ได้สำรวจและปักปันร่วมกัน กล่าวคือเป็น แผนที่ปักปันเขตแดนชื่อ “Burma – Siam Boundary Demarcation Survey” โดยฝ่ายอังกฤษเป็นผู้เขียนและพิมพ์แผนที่ขึ้น  

จากนั้นจึงได้ส่งไปให้ผู้แทนของทั้งรัฐบาลอาณานิคมอังกฤษและรัฐบาลสยาม เป็นฝ่ายทำการตรวจสอบ  โดยเมื่อเห็นว่ามีความถูกต้องแล้ว ก็ได้มีการลงนามกันบนแผนที่และได้มีการจัดทำอนุสัญญาเพื่อรับรองการลงนามดังกล่าวขึ้นที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2411 โดยในอนุสัญญาฉบับนี้กำหนดแนวพรมแดนจากจุดบรรจบกันระหว่างแม่น้ำเมยกับแม่น้ำสาละวินลงมาทางใต้สู่ทะเลอันดามันที่ปากแม่น้ำปากจั่น เมื่อรัฐบาลไทยตรวจสอบแผนที่เขตแดน ที่อังกฤษจัดทำขึ้นมาแล้วเห็นว่าถูกต้อง จึงได้ให้สัตยาบันที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2411 โดยถือได้ว่าเป็นอนุสัญญาเขตแดนระหว่างไทยกับพม่าซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษฉบับแรก

ต่อมา รัฐบาลสยามได้มีการส่งข้าหลวงและพนักงาน ทำแผนที่ไปทำการปักปันเขตแดนร่วมกับข้าหลวงเขตแดนฝ่ายอังกฤษ ในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2436  โดยได้ทำการปักปันเขตแดนต่อจากแนวพรมแดนที่ทำไว้กับอังกฤษในปี พ.ศ.2411  ตามปฏิญญาร่วมกันระหว่างไทยกับพม่าของอังกฤษ ลงวันที่ 17 ตุลาคม  พ.ศ.2437 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ของไทย 

โดยในครั้งนั้นไม่ได้ทำสนธิสัญญาเขตแดนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ใช้วิธีการสำรวจภูมิประเทศและปักปันเขตแดนร่วมกันลงบนแผนที่และให้ทั้งฝ่ายสองฝ่ายยึดถือแทนสนธิสัญญาเดิมในฉบับก่อนหน้า สำหรับผู้ลงนามในสนธิสัญญาปักปันเขตแดนในครั้งที่สองนี้ ฝ่ายรัฐบาลสยาม ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลไทย   

ในขณะนั้นส่วนผู้ลงนามฝ่ายอังกฤษ คือ Sir James George Scott  อุปทูตและผู้ว่าราชการแทนกงสุลใหญ่อังกฤษประจำสยาม เพื่อให้เกิดผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย จึงมีการประทับตราประจำรัชกาลที่ 5 และตราข้าหลวงใหญ่แห่งอินเดียไว้บนแผนที่  โดยสนธิสัญญาปักปันเขตแดนดังกล่าว เป็นผลทำให้แม่น้ำสายและแม่น้ำรวก กลายเป็นเส้นกั้นเขตแดนระหว่างไทยกับพม่าตามกฎหมาย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  อย่างไรก็ตามเมื่อพม่าได้รับเอกราชก็ได้ใช้การเป็นผู้สืบสิทธิในสนธิสัญญาต่างๆที่อังกฤษทำไว้กับไทย รวมไปถึงสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคเกี่ยวกับเขตแดนด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้แม่น้ำสายซึ่งมีความยาวประมาณ 15 กิโลเมตรนั้น ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ในเชิงการคมนาคม แต่เป็นแหล่งน้ำสำหรับใช้ในการทำเกษตรกรรม โดยราษฎรไทยได้จัดทำฝายกั้นน้ำในแม่น้ำสาย เพื่อทดน้ำเข้าไปทำการเพาะปลูกตลอดปี แต่เนื่องจากกระบวนการไหลของแม่น้ำแม่สาย จะไหลผ่านที่ราบดินตะกอนที่มีดินร่วนซุย จึงง่ายต่อการกัดเซาะของน้ำ ไหลผ่านที่ราบดินตะกอน จึงเป็นเหตุให้แม่น้ำสายเปลี่ยนทางเดินตามธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย ถึงกระนั้นก็ตามได้เกิดมีการเปลี่ยนทางเดินน้ำอย่างฉับพลัน ครั้งใหญ่อยู่ 2 ครั้ง ได้แก่

ครั้งที่1 ในปี พ.ศ.2472 แม่น้ำสายได้เปลี่ยนทางเดินเข้ามาในเขตสยาม โดยกระแสน้ำได้ไหลท่วมบ้านเรือนราษฎรพังไป 22 หลัง และได้มีการกัดเซาะตลิ่งฝั่งพม่าจนมีลักษณะเป็นเกาะหรือผู้คนในพื้นที่เรียกว่า “เกาะทราย”  

รัฐบาลทั้งสองฝ่ายจึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่งเพื่อแก้ปัญหา ฝ่ายสยามประกอบด้วย พระยาราชเดชดำรง เจ้าเมืองเชียงรายในขณะนั้นและพระศรีบัญชา รักษาการแทนอธิบดีกรมพิธีการ กระทรวงการต่างประเทศ ส่วนผู้แทนฝ่ายอังกฤษคือ Mr. S.J Mitchell ผู้ช่วยผู้กำกับรัฐเชียงตุง โดยได้ร่วมกันสำรวจพื้นที่และจัดทำแผนที่ขึ้น พร้อมกับมีการจัดประชุมร่วมกันที่จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2474 และได้มีการแลกเปลี่ยนบันทึกข้อตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรและรัฐบาลแห่งอินเดียกับรัฐบาลสยามเป็นความตกลงว่าด้วยเขตแดนระหว่างพม่า(เชียงตุง)กับสยาม ซึ่งมีเนื้อหาสรุปได้ดังนี้ 

“…..แม่น้ำสายได้เปลี่ยนทางเดิน เนื่องจากเกิดอุทกภัยในปีพ.ศ.2472กระแสน้ำได้ทำให้บ้านเรือนราษฎรพังทลายไปถึง 22 หลัง และเกิดร่องน้ำใหม่ขึ้นเข้ามาทางสยาม คณะกรรมการได้พิจารณาแล้วว่าการได้เสียพื้นที่บริเวณนี้มีเพียงส่วนน้อย ไม่น่าจะนำมาเป็นปัญหา แต่เนื่องจากขนาดของแม่น้ำใหญ่เกินไปจึงขอใช้ “ร่องน้ำลึก” ของแม่น้ำสายเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับพม่าของอังกฤษ แทนการใช้ “กลางลำน้ำ” และฝ่ายอังกฤษยังเน้นว่าในกรณีที่แม่น้ำสายเปลี่ยนทางเดินอีกในอนาคต รัฐบาลทั้งสองก็พร้อมที่จะถือเอา”ร่องน้ำลึก” ของแม่น้ำสายเป็นแนวเขตแดนเสมอไปโดยไม่คำนึงถึงการสูญเสียอาณาเขตใดๆซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการนั้น…..”

จากบันทึกความตกลงฉบับนี้ รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนสัตยาบันกัน โดยฝ่ายไทยมีหนังสือ ลงพระนามโดยพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นเทววงศวโรทัย  เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ลงวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2474 และฝ่ายอังกฤษตอบรับโดย Mr. J.F. Johns อุปทูตอังกฤษประจำกรุงสยาม ลงวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2475 ซึ่งเป็นการยอมรับตามบันทึกที่ผู้แทนทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกันไว้ เมื่อวันที่12 พฤษภาคม พ.ศ.2474 ที่จังหวัดเชียงราย

ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2482 แม่น้ำสายได้เปลี่ยนทางเดินอีกครั้ง ทั้งนี้รัฐบาลของทั้งสองฝ่าย จึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นไปตรวจสอบ ซึ่งผู้แทนฝ่ายไทยประกอบด้วยหลวงสิทธิสยามการ พระอนุรักษ์ภูเบศ พระพนมและพระยาประกิตกลศาสตร์ ส่วนฝ่ายอังกฤษประกอบด้วยนายพี.ซี. โฟการ์ตและนายวี.จี.โรแบร์ต 

โดยได้จัดการประชุมที่จังหวัดเชียงรายในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2482 และได้มีการแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจระหว่างกัน สรุปสาระสำคัญได้คือ ตามที่รัฐบาลทั้งสองได้แลกเปลี่ยนสัตยาบันกันเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2474 และ 14 มีนาคม พ.ศ.2475 ได้ตกลงเป็นหลักการไว้แล้วว่า “ต่อไปภายหน้าถ้าแม่น้ำสายเปลี่ยนทางเดินอีกรัฐบาลทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะถือเอาร่องน้ำลึกของแม่น้ำสายเป็นแนวเขตแดนเสมอไป โดยไม่คำนึงถึงการได้เสียดินแดนใดๆอันจะพึงมีขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลงเช่นว่านั้น”

ดังนั้น  การเปลี่ยนทางเดินน้ำใหม่ของแม่น้ำสายในครั้งนี้ ให้ยึดถือร่องน้ำลึกใหม่ของแม่น้ำสายเป็นแนวพรมแดนระหว่างไทยกับพม่าของอังกฤษ และให้เป็นที่เข้าใจกันว่าหลักการ “ร่องน้ำลึก” นี้ จะคงใช้ต่อไปในกรณีที่แม่น้ำสายเปลี่ยนทางเดินอีกในอนาคต ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงทางเดินน้ำของแม่น้ำสายในครั้งใหม่นี้ ยังคงให้ยึดถือร่องน้ำลึกของแม่น้ำสาย ที่เปลี่ยนทางเดินใหม่เป็นแนวพรมแดนระหว่างไทยกับพม่าของอังกฤษ ซึ่งรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนสัตยาบันกันเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2483 

สำหรับหนังสือฝ่ายไทยลงนามโดยพันเอกหลวงพิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายอังกฤษลงนามโดย นายเจ ครอสบี อัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ต่อมาเมื่อพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษแล้ว ได้เกิดมีปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตแดนบริเวณ แม่น้ำสายกับไทยอีกครั้ง เนื่องมาจากในปี พ.ศ. 2500 อำเภอแม่สายได้สร้างฝายปิดกั้นแม่น้ำขึ้นเพื่อทดน้ำเข้าคลองส่งน้ำ ขึ้น 3 แห่งได้แก่ ฝายเหมืองแดง 

บริเวณจุดแรกที่แม่น้ำแม่สายไหลผ่านเข้ามาเป็นเส้นแบ่งพรมแดน เรียกบริเวณนี้ว่า “หัวฝาย”  โดยสร้างเพื่อใช้ประโยชน์ทั้งในพื้นที่การเกษตรในพื้นที่ตำบลแม่สายเพื่อการอุปโภคบริโภคโดยตรง) ฝายเวียงหอม อยู่บริเวณบ้านเหมืองแดง ใกล้สะพานข้ามแม่น้ำ

สายแห่งที่สองโดยทดน้ำเข้าคลองชลประทานและพื้นที่ทำการเกษตรสายเวียงหอม รวมทั้งตำบลแม่สายและตำบลเกาะช้าง และฝายเหมืองงาม ที่อยู่บริเวณบ้านเวียงหอม ทดน้ำเข้าคลองชลประทานและพื้นที่ทำการเกษตรสายป่าซางงาม รวมทั้งพื้นที่ทำการเกษตรกรรมในตำบลเกาะช้าง เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ 

สำหรับเหตุผลที่ต้องสร้างฝายขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวเนื่องจากมีชุมชนอาศัยอยู่มากขึ้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำน้ำมาใช้ทั้งด้านการอุปโภค บริโภค และเพื่อประโยชน์ต่อการเกษตรกรรม โดยฝายที่สร้างขึ้นนั้นมีลักษณะเป็นฝายไม้ไผ่ชั่วคราวเนื่องจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอำเภอท่าขี้เหล็กของพม่าไม่ยอมให้สร้างแบบถาวร

ต่อมาในปีพ.ศ.2510   แม่น้ำแม่สายเริ่มเปลี่ยนทางเดินเข้าไปในเขตพม่าอีกครั้งตรงบริเวณเหนือฝายเหมืองงามไปจนถึงสบสาย จุดร่วมตรงบริเวณที่แม่น้ำสายไหลลงแม่น้ำรวก โดยแม่น้ำแม่สาย เส้นเดิมมีแนวโน้มที่จะแห้งไป เป็นผลให้ไทยได้พื้นที่เพิ่มขึ้นมาประมาณ 1,200 ไร่  ซึ่งเดิมทีรัฐบาลไทยกับรัฐบาลพม่าของอังกฤษได้เคยมีการทำการแลกเปลี่ยนสัตยาบันกันในปีพ.ศ. 2483 ในสาระสำคัญที่ว่า                   

“หากลำน้ำแม่สายเกิดการเปลี่ยนทางเดินใหม่ ให้ใช้ร่องน้ำลึกนั้นให้เป็นแนวพรมแดนโดยไม่คำนึงถึงการสูญเสียดินแดนที่จะเกิดขึ้นกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด”

หากแต่ฝ่ายพม่ากลับไม่ยอมรับร่องน้ำลึกของแม่น้ำสายที่เปลี่ยนแปลงใหม่เป็นแนวพรมแดน โดยอ้างว่าการเปลี่ยนแปลงเขตแดนครั้งนี้ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ตามที่ทั้งสองฝ่ายได้ให้สัตยาบันกันไว้ในปีพ.ศ.2483 แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการกระทำของราษฎรไทยที่ได้สร้างฝายกั้นน้ำในบริเวณแม่น้ำสาย

ดังนั้นในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน พ.ศ.2510 พม่าจึงได้สร้างทำนบดินปิดกั้นบริเวณแม่น้ำสายเส้นใหม่ เพื่อเบนน้ำให้กลับไปทางแม่น้ำสายเส้นเดิม แต่ราษฎรไทยได้รวมกลุ่มกันสร้างคันดินป้องกันไม่ให้น้ำไหลมาบริเวณแม่น้ำสายเส้นเดิม เนื่องจากได้ทำการเพาะปลูกพืชผลในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ จึงเกรงว่าน้ำจะไหลบ่า มาท่วมพื้นที่เพาะปลูกที่ทำไว้ ทหารพม่ากลุ่มหนึ่งจึงตอบโต้การกระทำของราษฎรไทยด้วยการยิงปืนขู่ และเข้ามารื้อถอนคันดินดังกล่าว ตลอดจนได้นำดินมาถมแม่น้ำสายเส้นใหม่โดยเจตนาจะปิดกั้นแม่น้ำสายเส้นใหม่เสีย        

อย่างไรก็ตาม น้ำก็ไม่เบนเข้าทางแม่น้ำสายเส้นเดิม แต่กลับกัดเซาะไปทางแม่น้ำสายเส้นใหม่อีก เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงเสนอรายงานต่อกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงมหาดไทยได้เสนอเรื่องนี้ไปยังคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-พม่า (ฝ่ายไทย) เพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว และได้พบว่าแม่น้ำสายเส้นเดิมได้ตื้นเขินจนหมดสภาพการเป็นแม่น้ำแล้ว เมื่อเกิดปัญหาเขตแดนดังกล่าวขึ้นรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายจึงเห็นพ้องกันที่จะจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-พม่า เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยได้จัดให้มีการประชุมที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 7-14 พฤษภาคม พ.ศ.2511 ซึ่งผลการประชุมสรุปว่าทั้งสองฝ่ายยังหาข้อสรุปในการแก้ปัญหาเขตแดนบริเวณแม่น้ำสายร่วมกันไม่ได้ ประกอบกับพม่ามีปัญหาภายในประเทศในช่วงเวลานั้น จึงทำให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องหยุดชะงักไป

ลักษณะธรรมชาติบริเวณแม่น้ำสาย แต่เดิมเต็มไปด้วยป่าสักที่มีค่า แต่ในปัจจุบันได้ถูกทำลายลงหมดแล้ว ซึ่งแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกเป็นแม่น้ำที่มีลักษณะเชื่อมต่อกันเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทย-พม่า ที่มีความยาวรวมกัน เป็นระยะทางประมาณ 59 กิโลเมตร   ทั้งนี้ราวปี พ.ศ.2482 นั้น แม่น้ำรวกได้มีการเปลี่ยนทางเดินน้ำเช่นเดียวกันกับที่บริเวณแม่น้ำสาย 

ทั้งนี้เนื่องจากแม่น้ำรวกมีความคดโค้งมากและไหลผ่านที่ราบดินตะกอนทำให้แม่น้ำรวกมีการเปลี่ยนทางเดินน้ำอยู่เสมอ โดยช่วงเวลาที่แม่น้ำรวกเปลี่ยนทางเดินจนเกิดปัญหาระหว่างประเทศคือ ในปี พ.ศ. 2482 นั้นแม่น้ำรวกได้เปลี่ยนทางเดินบริเวณใกล้เคียงกับสบมะ แม่น้ำมะไหลลงแม่น้ำรวก เกิดเป็นเกาะขนาดใหญ่กินพื้นที่ประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร ประมาณ 3,125 ไร่ เรียกว่า” เกาะช้าง” หรือ “กอช้าง”  

ดังนั้นรัฐบาลไทยและพม่าจึงได้ส่งผู้แทนมาทำการสำรวจร่วม โดยผู้แทนของแต่ละฝ่ายต่างทำรายงานถึงรัฐบาลของตน แต่ไม่ได้มีการทำหนังสือตกลงกันเช่นเดียวกันกับกรณีแม่น้ำสาย และเมื่อรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายพิจารณาเห็นชอบแล้วก็ได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันกันเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2483 ซึ่งสรุปได้ว่า  “แนวพรมแดนระหว่างไทยกับพม่าของอังกฤษตามแม่น้ำรวกนับตั้งแต่นี้ต่อไปจะใช้ ร่องน้ำลึก เป็นแนวพรมแดน แต่ถ้ามีการเปลี่ยนทางเดินของแม่น้ำ การโอนดินแดนจะต้องได้รับคำยืนยันจากรัฐบาลทั้งสองฝ่ายก่อน โดยอังกฤษได้โอนอธิปไตยของพื้นที่ เกาะช้าง ให้มาอยู่ในอธิปไตยของไทยตามที่ได้ลงนามให้สัตยาบันกันไว้

สรุปได้ว่ารัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้ตกลงใช้ร่องน้ำลึกของแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับพม่า โดยไม่คำนึงถึงการได้เสียดินแดนอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนทางเดินของแม่น้ำในอนาคต อย่างไรก็ดีแม่น้ำรวกได้มีการเปลี่ยนทางเดินน้ำอีกหลายจุดในช่วงปีพ.ศ.2497-2521  โดยบริเวณที่เป็นปัญหานั้นอยู่ตรงบ้านศรีชัยภูมิ ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ทางใต้ของพื้นที่เกาะช้างที่พม่าเคยยกให้ไทยมาก่อนหน้านี้ ทั้งนี้แม่น้ำรวกมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทางเดินเข้ามาในเขตแดนอันจะทำให้ไทยเสียพื้นที่ไปประมาณ 250 ไร่ 10 

สาเหตุที่แม่น้ำรวกเปลี่ยนทางเดินนั้นเนื่องมาจากราษฎรไทยขุดคลองส่งน้ำเหมืองงามเพื่อชักน้ำจากแม่น้ำสายเข้ามาใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกโดยได้ขุดให้ปลายน้ำไหลลงแม่น้ำรวกสายที่2 แต่เนื่องจากพื้นที่ทางฝั่งพม่าสูงกว่าฝั่งไทย ดังนั้นเมื่อถึงฤดูแล้งน้ำจึงไม่ไหลลงแม่น้ำรวกสายที่2 แต่กลับเปลี่ยนทางเดินไหลเข้ามาในเขตไทยกลายเป็นแม่น้ำรวกสายที่ 3 ตรงบริเวณที่ไทยได้ขุดให้น้ำจากคลองส่งน้ำเหมืองงามไหลออกแม่น้ำรวกสายที่ 2 ทำให้พื้นที่บริเวณนี้เกิดเป็นเกาะขึ้นสำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นนั้น

ทางจังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนชั่วคราวปิดกั้นแม่น้ำรวกสายที่3 เพื่อบังคับให้น้ำไหลกลับไปตามแม่น้ำรวกสายที่ 2 ตามเดิม แต่ด้วยเหตุที่บริเวณฝั่งพม่าตรงจุดที่แม่น้ำรวกเปลี่ยนทางเดินนั้นไม่มีบ้านเรือนของราษฎรตั้งอยู่เลย ทำให้ไม่เกิดมีปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศดังเช่นกรณีของแม่น้ำสาย

ต่อมาในปีพ.ศ.2524 พม่าได้รื้อฟื้นให้มีการแก้ปัญหาเขตแดนบริเวณแม่น้ำสายขึ้นอีกครั้งทั้งนี้ได้มีการพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้นบริเวณแม่น้ำรวกร่วมด้วย เนื่องจากแม่น้ำทั้งสองสายมีลักษณะเชื่อมต่อกันและยังเป็นแม่น้ำที่เป็นแนวเขตแดนไทย-พม่า ด้านจังหวัดเชียงราย โดยได้เสนอให้ไทยตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-พม่าเกี่ยวกับเขตแดนบริเวณแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกพิจารณาปัญหาเขตแดนไทย-พม่าขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเขตแดนบริเวณนี้ให้เสร็จสิ้น ซึ่งฝ่ายไทยกับพม่าได้จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-พม่าขึ้นทั้งหมด 3 ครั้ง จนในที่สุดทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจายุติปัญหาเขตแดนบริเวณแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวกได้ในปีพ.ศ.2530 ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในความสัมพันธ์ไทย-พม่า ในช่วงทศวรรษของกาเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าของรัฐไทยในช่วงเวลาถัดมา

ข้อเขียนที่นำเสนอมาขั้นตอนว่า พัฒนาการของเส้นเขตแดน เป็นสิ่งที่ก่อรูปขึ้นมาในฐานะเทคโนโลยีทางภูมิกายา (GeoBody) ของสมัยใหม่เรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับเส้นเขตแดนโดยเฉพาะในลักษณะที่เป็นเส้นเขตแดนธรรมชาติอย่างแม่น้ำยังชี้ให้เห็นถึงการขับเคี่ยว แย่งชิง ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของผู้คนที่อยู่ทั้งสองฟากฝั่งเส้นเขตแดนนั้นซึ่งเกิดขึ้นอยู่เรื่อยมาจนกว่าเส้นเขตแดนระหว่างรัฐจะถูกปักปันและจัดสรรพื้นที่ได้อย่างมีสัดส่วนและลงตัว ยิ่งไปกว่านั้นชุมชนที่อยู่ระหว่างสองฟากฝั่งของเส้นเขตแดนซึ่งได้มีพัฒนาการที่เรียนผ่านจากชุมชนเล็กๆมาสู่ชุมชนเมืองชายแดนนั้นผู้คนทั้งสองเมืองชายแดนย่อมมีปฏิสัมพันธ์เชิงพื้นที่ระหว่างการและกัน จึงทำให้เรื่องเล่าและประวัติศาสตร์ของเมืองชายแดนจึงเป็นสิ่งที่มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับพัฒนาการของเส้นเขตแดนระหว่างรัฐนั่นเอง


อ้างอิง

  • กิตยา เกษเจริญ (2545). ความขัดแย้งระหว่างไทย-พม่า : ศึกษาการแก้ไขปัญหาเขตแดนบริเวณแม่น้ำสาย แม่น้ำรวกและแม่น้ำเมย. สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
  • สุภี วิมะลิน (2530). การกำหนดแนวพรมแดนคงที่ระหว่างไทย-พม่า บริเวณแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก. วิทยาลัยการทัพบก. สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง
  • สุรจิตร สิทธิประณีต (2537). สหภาพพม่ากับความมั่นคงแห่งชาติของไทย
  • พยนต์ ทิมเจริญ. วิทยาลัยการทัพบก. สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง. 
  • บันทึกประชุมผู้แทนส่วนราชการในการพิจารณาปัญหาแม่น้ำรวกเปลี่ยนทางเดินประชุมครั้งที่1และครั้งที่2.
  • มร. ดอร์เมอร์ ทูล พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย (2474, 27 สิงหาคม).  การแลกเปลี่ยนหนังสือระหว่างรัฐบาลของพระบาทสมเด็จในสหราชอาณาจักร และรัฐบาลแห่งอินเดียกับรัฐบาลแห่งสยาม ซึ่งประกอบเป็นความตกลงว่าด้วยเขตแดนระหว่างพม่า (เชียงตุง). 

ชนชั้นกลางระดับล่างที่ค่อนมาทางปีกซีกซ้ายในทางเศรษฐกิจการเมือง ร่ำเรียนมาทางด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ชื่นชอบประเด็นทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย เป็นคนให้ความสนใจประเด็นล้านนาคดีทั้งในมิติประวัติศาสตร์ สังคมวัฒนธรรมและวรรณกรรมล้านนา (อยู่บ้างเล็กน้อย) แม้ตัวเองไม่ใช่คนดีย์แต่ยังคงมีการครุ่นคิดและสงสัยว่า ตัวเองนั้นเป็นนักกิจกรรม (Activist) และเป็นผู้นิยมมาร์กซ (Marxist) อยู่หรือเปล่า

นวลคำ ขะยอมแดง สุภาพชนคนเมือง
นวลคำ ขะยอมแดง สุภาพชนคนเมือง
ชนชั้นกลางระดับล่างที่ค่อนมาทางปีกซีกซ้ายในทางเศรษฐกิจการเมือง ร่ำเรียนมาทางด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ชื่นชอบประเด็นทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย เป็นคนให้ความสนใจประเด็นล้านนาคดีทั้งในมิติประวัติศาสตร์ สังคมวัฒนธรรมและวรรณกรรมล้านนา (อยู่บ้างเล็กน้อย) แม้ตัวเองไม่ใช่คนดีย์แต่ยังคงมีการครุ่นคิดและสงสัยว่า ตัวเองนั้นเป็นนักกิจกรรม (Activist) และเป็นผู้นิยมมาร์กซ (Marxist) อยู่หรือเปล่า

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...