“ขอเราจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว“ นักกิจกรรมไทย-เมียนมา จัดกิจกรรมรำลึกครบรอบ 3 ปี รัฐประหารเมียนมา

Date:

1 กุมภาพันธ์ 2567 ภาคีเครือข่ายนักกิจกรรมเมียนมาและไทย จัดกิจกรรม UP AGAINST THE DICTATOR-SHIT เพื่อรำลึกวันครบรอบ 3 ปีของการรัฐประหารในประเทศเมียนมา ตั้งแต่เวลา 17.00 – 19.00 น. ณ ลานอเนกประสงค์ประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

ภายในงานมีการจัดนิทรรศการที่ฉายภาพผู้นำเผด็จการเมียนมา รวมไปถึงความเสียหายจากความรุนแรงที่เผด็จการทหารกระทำต่อประชาชนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ยังมีการอ่านบทกวีจากนักกิจกรรมไทย-เมียนมา และการแสดง Performance Art ที่ฉายภาพความรุนแรงต่อประชาชนเมียนมาต่อเผชิญชะตากรรมตลอด 3 ปีหลังจากการรัฐประหาร และมีการเปิดเวทีให้ประชาชนที่มาเข้าร่วมได้พูดคุยและแสดงออกถึงความอัดอั้นตันใจภายใต้สถานการณ์ของการถูกกดขี่

นอกจากนี้ยังมีการอ่านแถลงการณ์ร่วมของนักกิจกรรมไทย-เมียนมา มีใจความดังนี้

ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ พวกเราขอร่วมรำลึก 3 ปีของการกระทำของเผด็จการทหารเมียนมาที่โหดเหี้ยมและเป็นอาชญกรรมต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ในเมียนมา ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีผู้ถูกจับกุม 25,799 คน ในจำนวนนั้นมี 19,911 กำลังถูกกักขังและตัดสินคดี และมีพลเรือนกว่า 4,341 คนเสียชีวิต จากข้อมูลโดยสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (AAPP)

มีประชาชนกว่า 2.3 ล้านคนถูกทำให้พลัดถิ่นตั้งแต่เกิดรัฐประหาร และมีคน 18.6 ล้านคนที่ต้องการความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน ในจำนวนนี้มีเด็ก 6 ล้านคนรวมอยู่ด้วย กองทัพเมียนมาใช้การโจมตีทางอากาศกว่า 600 ครั้งตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 ถึง มกราคม 2023 ซึ่งพื้นที่สะกายได้รับผลกระทบมากที่สุดโดยถูกทิ้งระเบิดกว่า 90 วัน รวมถึงรัฐคะฉิ่น รัฐคะเรนนี และรัฐกะเหรี่ยงที่ถูกโจมตีทางอากาศเป็นจำนวนมากเช่นกัน ตัวเลขเหล่านี้เน้นให้เห็นถึงผลกระทบในวงกว้างของความขัดแย้งที่กระทบในพื้นที่ 7 รัฐชาติพันธุ์และ 7 แคว้นของประเทศเมียนมาตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารเป็นต้นมา

เมื่อใดก็ตามที่ประเทศเมียนมาประสบกับความขัดแย้งและเกิดความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะประเทศไทยและประเทศอินเดียกลายเป็นพื้นที่ลี้ภัยสำหรับชาวเมียนมา ประเทศไทยที่มีชายแดนและประวัติศาสตร์ร่วมกับเมียนมาและมีบทบาทสำคัญกับประชาธิปไตยเมียนมา อีกทั้งยังเป็นผู้ลงทุนมากเป็นอันดับที่ 3 ในประเทศเมียนมา ดังนั้นความมีเสถียรภาพและพัฒนาการของประเทศไทยจึงเกี่ยวข้องกับความสำเร็จของเมียนมาโดยตรง นอกจากนี้ความเกี่ยวข้องด้านวัฒนธรรมก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์นี้แข็งแกร่งขึ้น ที่ผ่านมาองค์กรนอกภาครัฐ องค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรนานาชาติได้จับตามองสถานการณ์ที่ชายแดนอย่างใกล้ชิดและได้ให้การสนับสนุนความช่วยเหลือที่สำคัญ ซึ่งประเทศไทยทำหน้าที่เป็นพื้นที่กันชนที่สำคัญเอื้อให้เกิดพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์และเป็นที่หลบภัยสำหรับผู้ต้องการลี้ภัยจากความขัดแย้งในเมียนมาโดยรองรับผู้ลี้ภัยมากกว่า 90,000 คน ตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 80 ทั้งนี้ความสัมพันธ์กับประเทศไทยได้เพิ่มมากขึ้นด้วยการรับผู้ลี้ภัยเพิ่มเติ่มกว่า 45,000 คนหลังการรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 เป็นต้นมา ความเอาใจใส่และช่วยเหลือเร่งด่วนจากนานาชาติจึงเป็นที่จำเป็นเพื่อจัดการวิกฤตมุนษยธรรมในภูมิภาคที่สำคัญนี้

พวกเรานักกิจกรรมชาวไทยและเมียนมา, ขอประณามการรัฐประหารและความโหดเหี้ยมโดยระบอบเผด็จการทหารในช่วงสามปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีความกดดันจากนานาชาติแต่ระบอบเผด็จการทหารยังคงดำเนินการกระทำอันโหดเหี้ยมต่อไปเสมือนเชื่อว่าสามารถทำได้โดยปราศจากความรับผิดชอบ พวกเราขอเรียกร้องให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย เช่น นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฏร เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับชายแดน คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศให้ปฏิบัติดังนี้

1.ต้อนรับ ยอมรับและสนับสนุนความช่วยเหลือที่เพียงพอแก่ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่เกิดจากความขัดแย้งและปัญหาการเมือง โดยเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

2.ขอให้ยืนยันในหลักสิทธิมนุษยชนและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้พลัดถิ่นจากเมียนมา

3.ดำเนินการเชิงรุกผ่านการทำงานร่วมกับประชาคมอาเซียนและประชาคมนานาชาติ โดยการสร้างความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บรรลุผลได้อย่างแท้จริง

4.สนับสนุนและปกป้องสิทธิของผู้อพยพรวมถึงผู้ที่ทำงานในประเทศไทยด้วยการขยายมาตรการช่วยเหลือและปกป้องที่ครอบคลุมรอบด้าน

5.สร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับองค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรชุมชนโดยใช้เครือข่ายเหล่านี้เพื่ออำนวยความสะดวกของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมข้ามชายแดนเพื่อร่วมกันจัดการอุปสรรคที่กำลังบีบคั้นอยู่

พวกเราขอเรียกร้องประชาคมนานาชาติให้ดำเนินการดังนี้

1.ยืนยันว่าผู้นำเผด็จการทหารและผู้มีส่วนร่วมก่ออาชญากรรมทั้งหมดต้องรับผิดชอบกับอาชญากรรมที่ได้ก่อขึ้น

2.เพิ่มความพยายามในการคว่ำบาตรต่อระบอบเผด็จการทหารรวมถึงมาตรการตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันและก๊าซเมียนมา (Myanmar Oil and Gas Enterprise: MOGE)

3.หยุดการส่งออกและขายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานให้กับทหารเมียนมา

4.สนับสนุนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้กับผู้ประสบความเดือดร้อนโดยเฉพาะผู้ที่พลัดถิ่นจากความเสี่ยงทางการเมืองและความขัดแย้ง

5.ให้การยอมรับและทำงานร่วมกับผู้ที่มีบทบาทต่างๆ ด้วยความชอบธรรมและให้มีอำนาจควบคุมพื้นที่อย่างเพียงพอ

สุดท้ายพวกเราขอเรียกร้องทุกฝ่ายให้แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับชาวเมียนมาเพื่อแสดงความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้ากับความสำเร็จของการปฏิวัติ เพื่อทำลายระบอบเผด็จการทหารและเพื่อยืนเคียงข้างประชาชนชาวเมียนมาในการดิ้นรนต่อสู้จนกว่าจะได้ประชาธิปไตย ตลอดจนสนับสนุนเจตจำนงของประชาชนและสิทธิมนุษชนให้กลับมาในแผ่นดินของเรา

โดยกิจกรรมสุดท้ายได้มีการจุดเทียนรำลึกและร้องเพลง Closing Solidarity Song เพื่อแสดงความเป็นภราดรภาพร่วมกัน

พื้นที่สื่อสาร สังคมประชาธิปไตย ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

Lanner Editor
Lanner Editor
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

กระทรวงทรัพย์ฯ รุกตรวจคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน กะเหรี่ยงรวมมิตร-ห้วยทรายขาว ยืนยันเบื้องต้นไม่พบสารหนูปนเปื้อน

17 ตุลาคม 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เดินหน้าตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านในพื้นที่จังหวัดเชียงราย หลังประชาชนแสดงความกังวลต่อความปลอดภัยของแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคที่อาจปนเปื้อนสารโลหะหนัก สุชาติ ชมกลิ่น...

‘บางระกำโมเดล’ ก้าวไกลระดับโลก แต่ ‘คน’ โดนทิ้งไว้กลางน้ำ

เรื่อง: ฐิติพร มะโนวรรณา, ภาพ: ตุลา ธารา ‘บางระกำโมเดล’ โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ภายใต้สำนักงานชลประทานที่ 3...

เบื้องหลังเจ้าตลาดแร่แรร์เอิร์ธโลก จีนกับห่วงโซ่อุปทานเหมืองแร่ในเมียนมา

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย, ภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง เบื้องหลังโทรศัพท์สมาร์ตโฟน รถยนต์ไฟฟ้า และกังหันลม ล้วนมีวัตถุดิบสำคัญที่ถือเป็นหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่...

ริมกกซวยซ้ำ! น้ำประปา ผัก ปลา ปนเปื้อนโลหะหนัก ชาวบ้าน 7 รายมีสารในปัสสาวะสูง จี้รัฐเร่งแก้ไข

ผ่านมากว่าครึ่งปีกับวิกฤตสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกกที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อระบบนิเวศของสายน้ำ แต่กระทบไปถึงวิถีชีวิตของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำ เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การประกอบอาชีพอย่างการประมงและการเกษตร กลายเป็นปัญหาใหญ่ข้ามพรมแดนที่ไม่อาจแก้ได้ฝ่ายเดียว นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสายน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนมานับไม่ถ้วนกำลังเผชิญกับหายนะอย่างหนัก แม่น้ำกกมีต้นกำเนิดอยู่ในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลเข้าสู่ประเทศไทยในตำบลท่าตอน...