“การดิ้นรนของคนจีนในพิษณุโลก” ใต้เงาความเป็นไทย ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงสงครามเย็น

เรื่อง: สุภาพบุรุษสองแคว

“เถียน หมี่ มี่ หนี่ เซี่ยว เตอ เถียน หมี่ มี่, ฮ่าว เซี่ยง ฮัว เอ๋อร์ ไค จ้าย ชุน เฟิง ลี่, ไค จ้าย ชุน เฟิง ลี่” (“หวานปานน้ำผึ้ง เธอยิ้มได้หวานประดุจหนึ่งปานน้ำผึ้ง เปรียบดั่งดอกไม้ที่บานในฤดูใบไม้ผลิ”) — เติ้ง ลี่จวิน

โรงเรียนสิ่นหมิน ที่มา: สองแคววันวาน

เถียนหมี่มี่ (甜蜜蜜) ของ เติ้ง ลี่จวิน (邓丽君 / Dèng Lìjūn) เป็นเพลงที่ผู้เขียนมักได้ยินในเวลาเช้ามืด บนรถเก๋งที่พ่อพาไปส่งโรงเรียนสิ่นหมิน ใจกลางเมืองพิษณุโลก

พอโตขึ้นมาหน่อย ก็ได้ดู People You May Know ในช่องยูทูบ FAROSE Podcast ตอน “PYMK EP59 เติ้งลี่จวิน ตำนานเสียงหวานที่ยังตราตรึง” ซึ่งพูดถึงความเป็น “เติ้ง ลี่จวิน” ว่า

“เป็นช่วงที่ไม่รู้จะบอกว่าฉันเป็นคนจีน เพราะพ่อฉันมาจากจีน และตอนนี้ที่ฉันอยู่ (ไต้หวัน) ก็ยังไม่เป็นประเทศด้วย สรุปฉันเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ คนที่พึ่งเข้ามาถูกมองว่าเป็นคนนอก

บริบทสำคัญในเวลานั้น อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ่งเหล่านี้จึงปลุกความสงสัยใคร่รู้ต่อโรงเรียนสิ่นหมิน ที่ผู้เขียนเคยเล่าเรียนในเยาว์วัยว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สิ่นหมิน อยู่ท่ามกลางกระแส “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย”

สมาคมจีนและสมาคมนักเรียนเก่าสิ่นหมิน ที่มา: พิพิธภัณฑ์ผู้พันไก่ 

คนจีนในพิษณุโลกเป็นกลุ่มคนสำคัญมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนผ่านความเป็นเจ้าของพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดใต้ ระบบคมนาคมอย่างบริษัทพิษณุโลกยานยนต์ และโรงแรมต่างๆ ในตัวเมืองพิษณุโลก

รวมถึงอิทธิพลของบุคคล เช่น ผู้แทนราษฎรคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งแบบปกติ จนถึงผู้แทนในยุคปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน เช่น เกษม ศุขโรจน์ (ขุนประเจตดรุณพันธ์)

อย่างไรก็ตาม การทำให้คนจีนเหล่านี้กลายเป็น “คนไทยเชื้อสายจีน” ได้อย่างเป็นทางการ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการทางนโยบายของรัฐ

ดังนั้น กว่าจะเป็น “คนไทยเชื้อสายจีน” พวกเขาเหล่านั้นต้องผ่านกระบวนการใดบ้างจากรัฐไทย โดยเฉพาะเมื่อมองผ่านยุคสำคัญอย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความเข้มข้นของแนวคิด “รวมคนอื่นให้เป็นเรา” (Pan-Thai) ภายใต้นโยบายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีเป้าหมายเพื่อรวมกลุ่ม “คนไท” จากภูมิภาคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นลาว เวียดนามตอนเหนือ พม่า จีนตอนใต้ รวมถึงประชากรภายในประเทศไทยเอง

ในสมัยต่อมา เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ยุคพัฒนาใต้เงาสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาเข้ามาสนับสนุนการพัฒนาประเทศ ควบคู่กับการต่อต้านภัยคอมมิวนิสต์ โดยมีความเชื่อว่าการจะเปลี่ยนความคิดของผู้คนได้ ต้องเริ่มจาก “สถานศึกษา” ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง ที่รัฐใช้เป็นพื้นที่ในการปลูกฝังค่านิยมใหม่ เปลี่ยนจากค่านิยมของคนจีนให้กลายเป็น “ไทย” อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

คนอื่นในเมืองสองแคว ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม สังคมไทยเผชิญการเปลี่ยนแปลงอย่างเข้มข้นจากนโยบายชาตินิยมและอำนาจนิยมที่มุ่งรวมศูนย์อำนาจรัฐ และสร้างเอกลักษณ์ความเป็นไทยตามแบบของรัฐบาล รัฐได้ใช้สื่อและกฎหมายส่งเสริมวัฒนธรรม “ไทยใหม่” เช่น การแต่งกาย การใช้ภาษา และการเคารพสัญลักษณ์ชาติ

ในขณะเดียวกัน บริบทระหว่างประเทศก็ตึงเครียดขึ้นจากการขยายอำนาจของมหาอำนาจฝ่ายอักษะ โดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยจึงดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบประนีประนอมและพยายามรักษาเอกราช จนกระทั่งเมื่อญี่ปุ่นรุกรานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2484 ไทยจึงจำต้องยอมให้ญี่ปุ่นผ่านดินแดน และเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะในที่สุด

เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองของไทย ที่เชื่อมโยงกับบริบทโลกในช่วงเวลานั้น

แผนที่แสดงเส้นทางการเดินทัพของญี่ปุ่นจากพิษณุโลก

จังหวัดพิษณุโลกถือเป็นเส้นทางสำคัญในการทำสงครามของญี่ปุ่น เพราะมีสถานที่อำนวยความสะดวกพร้อม ได้แก่ โรงพยาบาล โรงเรียน และรถไฟ เป็นต้น ดังจะเห็นได้จากบทสัมภาษณ์ของนายแพทย์สลิล ศุขโรจน์ หลานชายของอาจารย์สังวาลย์ ศุขโรจน์ อดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเฉลิมขวัญ

“ผมได้ทราบว่า กองทหารญี่ปุ่นเข้าไปอยู่ในโรงเรียนเฉลิมขวัญฯ ป้ายังคงอยู่ในโรงเรียน ข่าวนี้สร้างความกังวลห่วงใยแก่ญาติพี่น้องมาก แต่ในที่สุดทุกคนก็เชื่อในความสามารถของป้า เชื่อในความเป็นสุภาพบุรุษของทหารญี่ปุ่น และทุกคนดีใจเมื่อได้ทราบว่าป้ามีลูกศิษย์เพิ่มขึ้นเป็นนายทหารญี่ปุ่น ป้าเองก็พูดภาษาญี่ปุ่นได้รู้เรื่อง ได้แปลหนังสือนิทานญี่ปุ่นเป็นไทย

ป้าเคยพานายทหารญี่ปุ่นมาเยี่ยมพ่อผมที่บ้าน 2 คน ชื่อโอกาดะ และยามาดะ ป้ายังสอนให้หลาน ๆ เรียนภาษาญี่ปุ่น ขณะนั้นพวกเราเขียนชื่อและนามสกุลเป็นภาษาญี่ปุ่น” ​​[1] 

โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี อดีตหน่วยเสนารักษ์ของทหารญี่ปุ่น ที่มา: พิพิธภัณฑ์ผู้พันไก่ 
สถานีรถไฟพิษณุโลก  เมืองพิษณุโลก ปี 2480-2486 อดีตหน่วยสื่อสารประจำการของทหารญี่ปุ่น ที่มา: ผล ศรีสมวงษ์

ไม่เพียงแต่โรงเรียนเฉลิมขวัญฯ ที่ทหารญี่ปุ่นเข้าไปใช้พื้นที่ ตลอดจนพยายามสร้างความสัมพันธ์ด้วย แต่ยังรวมถึงการยึดสถานที่สำคัญในพิษณุโลกมาเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม เช่น หน่วยประจำสถานีรถไฟ ประจำการ ณ สถานีรถไฟ หน่วยสื่อสาร ประจำการที่โรงเรียนอำนวยวิทย์ (โรงเรียนสิ่นหมินในปัจจุบัน) หน่วยสารวัตรทหาร ประจำตึกเอกชนริมถนนเอกาทศรถ หน่วยรักษาการณ์และหน่วยพลาธิการ ณ โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี หน่วยเสนารักษ์ ณ โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม และกองม้า ณ บริเวณโรงเรียนการช่างสตรี (หรือที่เรียกกันว่า “หัวตะแลงแกง”) [2] เพื่อใช้สนับสนุนมะละแหม่ง แม่สอด ตาก และสุโขทัย ในการทำสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร

ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยรัฐนิยมใช้ชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ ที่มา: ราชกิจจานุเบกษา

จังหวัดพิษณุโลกเป็นจุดสำคัญของศูนย์ข้าราชการในภาคเหนือตอนล่าง ดังนั้น นโยบาย “รัฐนิยม” หรือ “รัถนิยม” ซึ่งมุ่งเน้นความรักชาติและการปรับปรุงวัฒนธรรมให้เหมือนอารยประเทศ[3]  ที่รัฐบาลนำมาใช้และให้ประชาชนปฏิบัติตามจึงราบรื่น โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้มากที่สุดก็คือ “คนจีน” ในพิษณุโลก เนื่องจากความเป็นจีนถูกทำให้เป็น “ต่างด้าว” นโยบายนี้ก่อให้เกิดการปราบปรามความเป็นจีนที่ขัดแย้งต่อความหมายของชาติแบบรัฐนิยม โดยเกิดการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในจังหวัดพิษณุโลก ดังนี้

ด้านการศึกษาและสถานศึกษา

  • การสอนภาษาจีนถือเป็นภัยความมั่นคง ส่งผลให้ครูแอบสอนภาษาจีน เช่น อาจารย์ หูเซ๊ยงหนัน ซึ่งจะสอนให้เด็กๆ ตามป่า [4] 
  • โรงเรียนแชหมิน หรือที่รู้จักกันดีในชื่อโรงเรียนซิ่นหมิน เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนอำนายวิทย์ [5]  ตั้งอยู่บริเวณหอนาฬิกา จังหวัดพิษณุโลก

ด้านการศึกษาและสถานศึกษา

  • ประชาชนผู้มีเชื้อสายจีนในจังหวัดพิษณุโลกต้องเปลี่ยนชื่อ เช่น สมาชิกสภาจังหวัดพิษณุโลกท่านหนึ่งมีนามว่า ฮก ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบุญ และ นายเหล็ง ศุขโรจน์ ซึ่งมีตำแหน่งขุนประเจตดรุณพันธ์ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเกษม [6] 
  • ชาวจีนที่เปลี่ยนชื่อในพิษณุโลกมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน แบบแรก คือลูกหลานเชื้อสายจีนที่เกิดมาใหม่ ใช้ชื่อไทยทันทีที่เกิด เช่น วินัย สมชาย วิโรจน์ พิสิฐ บัณฑิต แบบที่สอง คือ การเปลี่ยนชื่อเดิมจากชื่อจีนมาเป็นแบบไทย เช่น “หวังอุ่ยหมิง” เป็น “อมร”, “กิมเหล็ง” เป็น “เกษม”, “ฮก” เป็น “บุญ”  [7] 
นายเกษม ศุขโรจน์ ขณะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ประเภท 1) ของจังหวัดพิษณุโลก ปี 2476 อายุ 33 ปี ที่มา: อนุสรณ์งานศพพระราชทานเพลิงศพนายเกษม ศุขโรจน์ (ขุนประเจตดรุณพันธ์) ต.ช. ณ เมรุวัดกุฎกษัตริยาราม วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2526

การเปลี่ยนชื่อนี้เห็นได้ชัดจากกรณีที่นายเกษม ศุขโรจน์ (ขุนประเจตดรุณพันธ์) เป็นอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (คนแรก) ของจังหวัดพิษณุโลก [8] (เมื่อปี 2476) ก็คงเป็นหนึ่งคนที่ถูกเปลี่ยนชื่อให้เป็นไทย

การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนจีนต้องยอมรับและจำยอมอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่นั่นก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับ “คำว่าต่างด้าวถูกใช้กับชาวจีนที่อยู่ในพื้นที่” และการบริจาคเงินเพื่อบำรุงสถาบันทางการเมืองอย่างกองทัพที่เป็นสถาบันใหญ่ในจังหวัดพิษณุโลก โดยมีจำนวนผู้บริจาค 59 ราย ใน 46 ราย เป็นคนจีนอย่างเห็นได้ชัดจากชื่อ นอกจากนั้นยังมีชาวมุสลิมอย่างนายไควดัส นูนคาน ซึ่งเป็นชาวมุสลิม เชื้อสายซุนนี ที่ตั้งฐานบริเวณบ้านแขกและเป็นตระกูลที่สำคัญของชาวมุสลิมในจังหวัดพิษณุโลก จำนวนเงินทั้งสิ้น 516 บาท [9] 

คณะละครจีน ที่แสดงเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มา: เอื้อเฟื้อภาพโดย คุณลิ้มควนหยู

ชาวจีนในพิษณุโลก ต้องถูกกดขี่ทั้งวัฒนธรรมและการใช้ชีวิต ช่วงสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น ทำให้ชาวจีนในจังหวัดพิษณุโลกถูกปลดแอกจากนโยบายรัฐนิยมของจอมพล ป. และแสดงออกถึงเสรีภาพจากการกดขี่ผ่านการแสดงละคร การกลับมาให้โรงเรียนจีนกลับมาใช้ชื่อจีนหลังจากที่โรงเรียนแชหมินต้องเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนอำนวยวิทย์ จนปัจจุบันรู้จักกันดีในชื่อโรงเรียนสิ่นหมิน และผู้หญิงที่ต้องใส่กางเกงก็กลับมาใส่ชุดกี่เพ้าจีนอีกครั้ง การฉลองจากรัฐเผด็จการทหารในจังหวัดพิษณุโลกก็ดีได้ไม่นานไหร่ เมื่อสังคมโลกเกิดความผันผวนอีกครั้ง เมื่อพิษณุโลกต้องกลับมาอยู่ในการปกครองจากเผด็จการทหารอย่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 2500

คนไทยเชื้อสายจีนคนในภายใต้สงครามอุดมการณ์

ยุคสงครามเย็นที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำเนินนโยบายแผนพันฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติและการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา จังหวัดพิษณุโลกถือเป็นอีกจุดยุทธศาสตร์ทางการทหารในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ผ่านทั้งวัฒนธรรมชาตินิยมแบบใหม่ที่แอบอิงอยู่กับพระมหากษัตริย์ที่แตกต่างจากยุคจอมพล ป. ที่ต้องการสร้างชาติแบบรัฐนิยม แต่การตรวจตราของภาครัฐก็ได้กำชับเรื่องการสอนของโรงเรียนจีนที่สามารถสอนภาษาจีนได้แต่ต้องไม่ใช่การแฝงอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่มีความหมายของการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ 

ช่วงหลัง 2500 ชาวจีนในพิษณุโลกจึงได้มีการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับการที่จะบ่งบอกถึงความเป็นไทยจึงต้องมีพระมหากษัตริย์อยู่ในนั้นด้วย 

สมาคมชาวจีนในจังหวัดพิษณุโลก เช่น สมาคมจีน สมาคมไหหลำ มีการติดภาพของซุนยัดเซ็น ยังคงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่า ชาวจีนในพิษณุโลกนั้นผูกพันกับจีนแผ่นดินใหญ่อยู่ติดซุนยัดเซ็นเป็นทางเลือกที่เป็นกลางที่สุดในการติดรูปของผู้นำทางอุดมการณ์ทางการเมือง เพราะซุนยัตเซ็นมีภาพที่เป็นกลาง เป็นบิดาแห่งชาติจีน แม้ใน พ.ศ. 2519 รูปซุนยัดเซ็น ยังถูกประดับไว้กลางหอประชุมสมาคมของชาวแคะคู่กับคู่กับพระบาท รูปซุนยัตเซ็น ยังถูกประดับไว้กลางหอประชุมสมาคมของชาวแคะคู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนรูปของซูนยัดเซ็น จะถูกปลดลงในอีก 3-4 ปีต่อมา และถูกแทนที่ด้วย พระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระราชินี [10] 

เหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญคือ การปิดโรงเรียนบริเวณโรงเรียนเซนต์นิโกลัสจากคำบอกเล่าของนายพิสิฐ อาภัสระวิโรจน์ อดีตประธานสภาเทศบาลนครพิษณุโลก ได้กล่าวถึงโรงเรียนที่ถูกปิดไปว่า  “มีโรงเรียนที่อยู่แถวโรงเรียนเซนนิโกลาสก็ถูกปิดตัวไป ที่ได้ยินๆ มาคือโรงเรียนนี้มีความคิดฝักใฝ่ลัทธิเหม๋า” [11]  โดยโรงเรียนที่นายพิสิฐกล่าวก็คือ “โรงเรียนเจี้ยนหมิน” ที่เป็นโรงเรียนนเชื้อสายจีนแคะ ต้องถูกปิดตัวลงเมื่อ ปี 2505 เพราะถูกสันติบาลค้นและสั่งปิด เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ [12] 

การดูแลจากจีนแคะผู้ทำอาชีพชาวสวน ไม่ได้ทำการค้าขายเหมือนกับจีนแต้จิ๋ว ซึ่งจังหวัดพิษณุโลกคนจีนก็มีความคิดทางการเมืองที่แตกต่างไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน จากคำกล่าวของนายพิสิฐก็ไม่ได้สะท้อนความผูกพันใกล้ชิดกับจีนในตลาด หรือจีนไหลหลำกับจีนแต่จิ๋ว โรงเรียนแชหมิน หรือสิ่นหมิน ได้มีการก่อตั้งแตกต่างจากโรงเรียนเจี้ยนหมินที่เกิดจากการก่อตั้งขอองชาวสวน ต่อมากระแสต่อต้านต้านคอมมิวนิสต์ในสงครามเย็นก็เริ่มก่อตัวขึ้นจนนำมาสู่เหตุการณ์สำคัญของพิษณุโลกก็คือ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 

คนจีนล้วนเป็นเติ้งลี่จวินที่หวานและผลิบานจากอดีต

เติ้งลี่จวิน (邓 丽 君/Dèng Lì jūn) 

คนจีนสู่คนจีนเชื้อสายไทยได้เดินทางจากสถานะของการเป็น “ต่างด้าว” สู่ “คนจีนจีนภายใต้ร่มพระบารมี” ไม่ได้ถูกเดินทางมาอย่างราบรื่นเหมือนประโยคที่ว่า “เสื่อผืนหมอนใบ” ที่ชีวิตต้องลำบากทางด้านเศรษฐกิจในการไตเต้าเพื่อถูกยอมรับ แต่คนจีนต้องเดินทางด้วยความเป็นคนอื่นสู่ความเป็นคนกันเอง ผ่านนโยบายรัฐพยายามทำให้ความเป็นจีนหายไปผ่านการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล โดยเฉพาะสถานศึกษาอย่างโรงเรียนสิ่นหมินเป็นอำนวยวิทย์ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือโรงเรียนเจี้ยนหมินที่ถูกปิดไปในยุคสงครามเย็น

คนจีนสามัญชนล้วนมีบาดแผลจากอดีตไม่ได้เหมือนเพลง “วิหคพลัดถิ่น” ของวงคาราบาวที่ขับร้องว่า 

“หลากธรรมเนียมหลายที่มา

กี่ภาษาเชื้อชาติใดใด

ฟากฝั่งฝายังผืนดินไทย

ย่อมเป็นไทย ผองไทยทั้งสิ้น

เกิดจากแดนแคว้นเมืองไกล

หากวันใดไร้สิ้นชีวิน

อยากฝากกายวิหคพลัดถิ่น

ใต้แผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวฯ”

เพื่อบอกถึงความเป็นจีนที่ได้รับการยอมรับอย่างไร้ซึ่งบาดแผล แต่คนจีนเราล้วนเป็น “หวานปานน้ำผึ้ง เธอยิ้มได้หวานประดุจหนึ่งปานน้ำผึ้ง, เปรียบดั่งกับดอกไม้ที่บานในฤดูใบไม้ผลิ” จากเพลงเถียนหมี่มี่ (甜 蜜 蜜) ของเติ้งลี่จวิน (邓 丽 君/Dèng Lì jūn) เราหวานปานน้ำผึ้งด้วยการรับรู้ว่า “เราต้องดูแลกัน” และดั่งดอกไม้ที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ เพราะเรารู้ว่า “อดีตเราเป็นใคร” อดีตทำให้เราสามารถจินตนาการถึงอนาคตและต่อรองกับนโยบายรัฐมากกว่าการถูกทำให้ต้องพึ่งพิงใคร หรือเสื่อผืนหมอนใบอย่างไร้ซึ่งอำนาจ

อย่างไรก็ตาม รัฐพยายามตัดตอนความเป็นจีนมากเพียงใด แต่ปัจจุบันจังหวัดพิษณุโลกกลุ่มที่มีบทบาทก็ยังเป็นคนจีนไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิประสาทบุญสถาน การเลือกตั้งนายกเทศบาลนครพิษณุโลก และการเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎร เป็นต้น

อ้างอิง

[1] จิราภรณ์ สถาปนะวรรธนะ. ความสัมพันธ์ชาวเมืองเหนือล่างกับทหารญี่ปุ่น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484- พ.ศ. 2488), พิษณุโลก : สาขาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2550 หน้า 54.

[2] เรื่องเดียวกัน, หน้า 78.

[3] เสมียนนารี, รัฐนิยม-คำสั่งอมตะ ของจอมพล ป. ที่ใครๆ ยังกล่าวถึง?!?, เข้าถึงเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568,  https://www.silpa-mag.com/history/article_90310.

[4] เกษวดี พุทธภูมิพิทักษ์. “ความเป็นจีนตามนิยามของผู้มีเชื้อสายจีนในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก”, วิทยาพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2545, หน้า 85.

[5] เรื่องเดียวกัน, หน้า  85.

[6] เรื่องเดียวกัน, หน้า 87.

[7] เรื่องเดียวกัน, หน้า 88.

[8] อนุสรณ์งานศพพระราชทานเพลิงศพนายเกษม ศุขโรจน์ (ขุนประเจตดรุณพันธ์) ต.ช. ณ เมรุวัดกุฎกษัตริยาราม วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2526

[9] เกษวดี พุทธภูมิพิทักษ์. “ความเป็นจีนตามนิยามของผู้มีเชื้อสายจีนในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก”, วิทยาพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2545, หน้า 89.

[10]  เรื่องเดียวกัน, หน้า 115.

[11] พิสิฐ อาภัสระวิโรจน์, สัมภาษณ์ 8 พฤจิกายน 2567, ร้านหนังสือสิทธา.

[12] เกษวดี พุทธภูมิพิทักษ์. “ความเป็นจีนตามนิยามของผู้มีเชื้อสายจีนในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก”, วิทยาพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2545, หน้า  121.

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง