ซะป๊ะเพศ เฉดสีล้านนา: คุยกับ ‘หมวย’ ในวาระ 2 ขวบปี Sapphic Riot บาร์แซฟฟิกยืนหนึ่งกลางเมืองเชียงใหม่ ในวันที่ความหลากหลายทางเพศเบ่งบานทั่วบ้านเมือง แต่กับชุมชนชาวแซฟฟิก…อาจจะยังน้า

เรื่อง: ปวีณา หมู่อุบล

11 สิงหาคม อาจเป็นวันธรรมดาๆ สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับ ‘แซฟฟิก’ และผู้ใกล้ชิดกับชุมชนชาวแซฟฟิก-เควียร์ในเชียงใหม่ ก็จะรู้ว่านี่คือวันครบรอบการก่อตั้งร้าน ‘Sapphic Riot’ บาร์แซฟฟิกเพียงหนึ่งเดียวของเชียงใหม่ พื้นที่ปลอดภัยของเหล่าเควียร์ ทั้งไทยและต่างชาติ 

และในวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมานี้ (พ.ศ.2568) ก็ถือเป็นวันครบรอบ 2 ขวบปีของร้าน Sapphic Riot 

แม้ตัวเลข 2 ปี อาจจะถือว่าไม่นานมากพอที่เป็นตำนาน แต่ด้วยการที่บาร์แซฟฟิกยืนหนึ่งของเชียงใหม่ ทั้งยังได้นิยามตัวเองไว้ชัดเจนว่า ‘ไม่ใช่ร้านเหล้าหรือบาร์ค็อกเทลทั่วไป แต่คือพื้นที่ปลอดภัยของชาวแซฟฟิกและเควียร์’  รวมไปถึงความเฉพาะอื่นๆ นับตั้งแต่สไตล์การตกแต่งร้าน ผู้คนที่แวะเวียนเข้ามา ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ ของทางร้าน 

ฉะนั้น ช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาของ Sapphic Riot ก็ถือได้ว่ามีความน่าสนใจ เพราะนัยหนึ่งคือเป็นการสะท้อนให้เห็นภาพและความเป็นไปของชุมชนชาวแซฟฟิกและชาวเควียร์ในพื้นที่เชียงใหม่ แต่เพื่อให้ภาพเหล่านั้นชัดมากขึ้น เราจึงได้ไปคุยกับ ‘หมวย’ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของร้าน Sapphic Riot ในประเด็นดังกล่าว

ที่มาที่ไปของร้าน Sapphic Riot

แน่นอนว่า Sapphic Riot คือบาร์ค็อกเทล ขายเครื่องดื่มทั้งที่มีและไม่มีแอลกอฮอล์ พร้อมทั้งของขบเคี้ยวที่พบได้ทั่วไป แต่ที่มาที่ไปของร้านมีมากกว่าเป็นอีกหนึ่งร้านนั่งชิลยามค่ำคืนของเมืองเชียงใหม่ เพราะถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ชุมชนชาวเควียร์ในเชียงใหม่ 

หมวยเล่าให้ฟังว่าเดิมทีก็ได้ทำกลุ่มกับเพื่อนๆ ชาวแซฟฟิกและเควียร์ในชื่อ Sapphic Pride อยู่แล้ว และมักจะรวมตัวทำกิจกรรมด้วยกันบ่อยๆ  เช่น นัดกันมาร้องคาราโอเกะบ้าง มาดูหนังด้วยกันบ้าง โดยจะใช้สถานที่ของคนใดคนหนึ่งในกลุ่มเป็นที่รวมตัว  ซึ่งโดยมากที่นัดเจอกันก็จะเป็นที่บ้านพักของหมวยเอง ทั้งนี้เพราะทุกคนรู้สึกปลอดภัยมากกว่าร้านนั่งชิลทั่วไป

และนั่นก็ได้จุดไอเดียให้หมวยว่าถ้ามีพื้นที่เฉพาะสำหรับการสังสรรค์และทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ก็น่าจะดี รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของที่มาที่ไปสำหรับร้าน Sapphic Riot

ต่อมาหมวยได้เจอกับ ‘โรส’ ในค่ายอบรมเรื่องเฟมินิสต์ ซึ่งโรสเป็นคนไทย-อเมริกันที่ไปเติบโตเป็นเควียร์เฟมินิสต์คนหนึ่งในอเมริกา ทำให้ได้พบเห็นและรับรู้สถานการณ์เกี่ยวกับชุมชน LGBTQIN+ ที่นั่น ทั้งในด้านดีและด้านที่สร้างความท้อแท้ใจ 

ในค่ายนั้น หมวยกับโรสก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เกี่ยวกับประเด็นประสบการณ์และความฝันในการจะทำเพื่อชุมชน LGBTQIN+ และทั้งสองก็เห็นพ้องต้องกันว่ามันคงจะดีนะ ถ้าแซฟฟิกและเควียร์ในเชียงใหม่ได้มีพื้นที่สังสรรค์เฉพาะเป็นของตนเอง เลยร่วมกันลงทุนลงแรงก่อร่างสร้างร้าน Sapphic Riot ขึ้น ณ กลางเมืองเชียงใหม่ และได้ฤกษ์เปิดทำการบาร์แซฟฟิกอย่างจริงจังในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2566 

ภาพจาก Facebook  Sappgic Riot

ย้อนบรรยากาศขวบปีแรกของ Sapphic Riot

ในขวบปีแรก บรรยากาศของ Sapphic Riot ค่อนข้างมีความเป็นสากล คือเต็มไปด้วยแซฟฟิกและเควียร์ชาวต่างชาติที่บ้างก็เป็นคนที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่อยู่แล้ว บ้างก็เป็นชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวแล้วไถ Google Maps เจอว่าที่เชียงใหม่จะมีบาร์แซฟฟิก ทำให้หลายคนก็ได้แวะเวียนเข้ามาที่ร้าน 

ภาพจาก Instagram Sapphic Riot 

ขณะที่แซฟฟิกและเควียร์ชาวไทยที่มา Sapphic Riot ในช่วงแรก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกพ้องของหมวยกับโรส และเพื่อนของเพื่อน ทั้งที่อยู่ในเชียงใหม่และเพื่อนจากที่อื่น โดยเฉพาะเพื่อนจากกรุงเทพฯ 

“คือมันก็ตอบโจทย์เรื่องการสร้างพื้นที่นะ แต่ความท้าทายก็คือคนไทยไม่เข้ามา (หัวเราะ) อาจเพราะโดยธรรมชาติของแซฟฟิกไทยด้วยมั้ง ที่เวลาจะออกไปเที่ยวที่ไหนสักที่ ก็จะคิดเยอะนิดนึง แล้วบางคนก็มาบอกเราว่า อยากมาที่ร้านนะ อยากมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่กล้า เพราะฝรั่งเยอะ” หมวยกล่าว

นอกจากนี้ หมวยยังบอกด้วยว่านอกจากแซฟฟิกและชาวเควียร์แล้ว ในช่วงปีแรกของ Sapphic Riot ยังมีลูกค้าผู้ชายแวะเวียนเข้ามาด้วย แม้ว่าส่วนใหญ่จะเข้ามาด้วยความรู้สึกเคอะเขิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีปัญหา จากความเป็น “ชายแท้” นั่นเพราะทุกคนที่มาต่างรู้จักที่จะให้เกียรติแก่กันและกัน ไม่ว่าจะเป็นเพศหรือมีเพศสภาพแบบใด

สำรวจบรรยากาศขวบปีที่สอง ในวันที่ Sapphic Riot ยังคงเผชิญกับความท้าทาย 

หมวยบอกกับเราว่าในช่วงปีที่สองของ Sapphic Riot ก็ยังคงตอบโจทย์เรื่องการมีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับแซฟฟิกและชาวเควียร์อยู่ แต่ขณะเดียวกันก็ยังต้องเจอกับความท้าทาย คือแซฟฟิกและเควียร์ชาวไทยยังคงห่างไกลจากสถานที่แห่งนี้

“เรามองว่ามันเป็นเพราะคนไทยเราสังสรรค์หรือออกเที่ยวกันแบบไม่ค่อยมีร้านประจำ ชอบที่จะเปลี่ยนร้าน เปลี่ยนบรรยากาศ หรือไม่บางคนก็อาจจะมีโซนประจำ แต่ไม่ใช่ร้านประจำ คือแบบนักศึกษาก็จะนิยมเที่ยวกันแถวนิมมานฯ ส่วนใหญ่ของแซฟฟิกและเควียร์คนไทยที่มาร้านจะเป็นคนที่มาจากต่างพื้นที่ แบบคนกรุงเทพฯ” หมวยกล่าว

สองคู่รักเลสเบี้ยนชาวต่างชาติที่บอกว่าตั้งใจไว้ว่าถ้าได้มาเชียงใหม่ ก็จะต้องมา Sapphic Riot ให้ได้

แน่นอนว่า Sapphic Riot เป็นสถานประกอบการของคนไทย อยู่ในเชียงใหม่ แต่กลับมีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ ก็ทำให้เลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอภาวะเงียบเหงาโดยเฉพาะช่วงที่ไม่ใช่หน้าไฮซีซั่น 

“ในแง่ของผู้ประกอบการนะ เรามองว่าคนบ้านเรามีความคิดเรื่องการสนับสนุน ธุรกิจ local ค่อนข้างน้อย แต่จะชอบไปสนับสนุนสินค้าหรือร้านที่เป็นกระแสมากกว่า เห็นได้เลยว่าคนบ้านเราติดตามทุกกระแส ทุกเทรนด์ ซึ่งอะไรแบบนี้มันก็ยากนะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย จะมีก็พวกฝรั่งอ่ะ คือพวกเขามีความคิดสนับสนุนกันอยู่แล้ว พอมาเจอว่ามี Sapphic Riot เขาก็มาสนับสนุน แต่มันก็ได้เป็นช่วงๆ หมดหน้าไฮซีซั่น ก็หมดกัน ” หมวยกล่าว 

เพราะมากไปกว่าบาร์ แต่นิยามตัวเองเอาไว้แล้วว่า ‘จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยของแซฟฟิกและเควียร์’  จึงได้เจอกับอีกเฉดหนึ่งของความท้าทายที่ไม่ใช่แค่เชิงธุรกิจ

ตลอดระยะเวลา 2 ปีของ Sapphic Riot ไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงอันเนื่องมาจากความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของ ‘ชายแทร่’ ที่เห็นว่าแซฟฟิกและเควียร์ได้สร้างพื้นที่เฉพาะของตนเองขึ้นมา ซึ่งไอ้ที่ว่าร้ายนี้ก็เทียบเอาจากตัวอย่างเหตุการณ์บุกทำลายบาร์เกย์ แซฟฟิกบาร์อย่างที่เกิดขึ้นหลายที่ หลายเหตุการณ์ในต่างประเทศ

แต่ถึงอย่างนั้นจะกล่าวว่า Sapphic Riot ไม่เจอความรุนแรงจากเหตุดังกล่าวเลยก็คงไม่ได้ เพราะบางครั้งความรุนแรง ก็ไม่ได้แสดงออกเชิงกายภาพเสมอไป

“ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายฝรั่งผิวขาวนะ ผู้ชายไทยนี่ไม่ค่อยมีปัญหาเลย เหมือนพวกเขามาแล้วรู้ตัวว่าต้องทำยังไง ต้องวางตัวยังไง แต่ว่ากลุ่มฝรั่งผิวขาวทั้งคนแก่และวัยรุ่นเหมือนเขาไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยเคารพพื้นที่ แบบบางทีเข้าถึงมาก็มาถามหา ladyboy เลย ถามไม่พอยังมีแบบเข้ามาจับ มาลูบแขนของน้องพนักงานอีก ส่วนกลุ่มวัยรุ่น เวลามาก็ชอบทำเสียงดัง เล่นโหวกเหวกโวยวาย ทำให้ลูกค้าคนอื่นๆ เขารู้สึกไม่ปลอดภัย มีครั้งหนึ่งที่มีกลุ่มวัยรุ่นฝรั่งผิวขาวเข้ามา แล้วพอกลุ่มนั้นออกไป พนักงานร้านก็ไปเจอว่าที่ประตูห้องน้ำมาคำว่า ‘ROT’ เขียนไว้ มันแปลได้ประมาณว่า เน่า บูด ก็คือคำด่าของวัยรุ่นฝรั่งนั่นแหละ” หมวยกล่าว

นอกจากนี้ หมวยยังบอกว่าอีกหนึ่งความท้าทายที่เอาเข้าจริงก็อาจจะไม่ร้ายแรงมากนักเมื่อเทียบกับพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของผู้ชายฝรั่งผิวขาว นั่นคือ ความคาดหวังของลูกค้าที่ว่า Sapphic Riot จะต้องมีปาร์ตี้ มีอีเว้นท์บ่อยๆ และถ้าคืนไหนไม่มีงานพิเศษเช่นนั้น ร้านก็จะเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด

“คือมีลูกค้าทักมาถามบ่อยมากว่า ‘คืนนี้มีงานปาร์ตี้อะไรไหม มีอีเว้นท์อะไรไหม’ ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าฝรั่ง ซึ่งบางทีเราก็จัดได้ แต่การจัดงานปาร์ตี้ งานอีเว้นท์บ่อยๆ มันกินพลังงานมากนะ แต่เราก็เข้าใจว่าเขาคงอยากมาที่แบบปล่อยจอย มาเอามันส์ แต่บางทีเราไปร้านเหล้า ไปร้านค็อกเทล เราไปนั่งชิล ไปนั่งคุยกับเพื่อน หรือไปหาเพื่อนใหม่ๆ ก็ได้นะ (หัวเราะ)” หมวยกล่าว

ภาพจาก Instagram Sapphic Riot 

สิ่งที่เติบโตขึ้นแล้วและสิ่งที่ยังไม่เติบโตสักทีของ Sapphic Riot นับตั้งแต่วันแรกที่ตั้งไข่จนมีอายุได้ 2 ขวบปี  

นับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ร้านมีอายุได้ 2 ปี สิ่งที่ดูเหมือน Sapphic Riot จะเติบโตขึ้นมากคือการได้จัดงาน จัดกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนๆ แซฟฟิกและเควียร์ที่หลากหลายขึ้น ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ 

“ที่ชัดเจนเลยก็พวกกิจกรรม อีเว้นท์ที่ทำกับร่วมกับเพื่อนๆ นะ แบบกับคนไทยเราก็มีเคยทำงานแลกของขวัญช่วงปีใหม่ งานแลกเปลี่ยนเสื้อผ้า คือแบบเอาเสื้อผ้าในตู้มาแลกกัน อารมณ์เหมือนทำตลาดเสื้อผ้ามือสองแต่เราไม่ซื้อขาย เราแลกกัน หรือบางทีก็เป็นงานอ่านไพ่ พวกไพ่ทาโร่ ไพ่ออราเคิลงี้ ส่วนกับคนต่างชาติก็มี ที่ผ่านมาก็เคยมีวงดนตรีเควียร์สไตล์อัลเทอร์เนทีฟจากมาเลเซียมาเล่น ชื่อวง “Shh…Diam!” แล้วก็พวกงานฉายหนัง แบบล่าสุดก็พึ่งมีฉายเรื่อง ‘Rebel Dykes’ เรื่องราวของกลุ่มเลสเบี้ยน “พังก์” กับ “เฟมินิสม์” ในลอนดอนยุค 80s เป็นหนังจากงานเทศกาล Bangkok LGBTQ+ Film Festival” หมวยกล่าว

แม้จะมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมายภายในระยะเวลา 2 ปีของ Sapphic Riot แต่ในอีกด้านก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ควรจะเกิดขึ้นหากแต่ยังไม่เกิด ซึ่งนั่นก็คือ การเข้ามาส่วนร่วมของแซฟฟิกและเควียร์ชาวไทย ที่ยังน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนของแซฟฟิกและเควียร์จากต่างชาติ

“คือพอเขามาจากที่อื่น มาทำกิจกรรม มาทำอีเว้นท์ด้วยกัน มันก็ดีนะ มันทำให้เครือข่ายของพวกเราขยาย แต่มันก็แค่ช่วงสั้นๆ ไง เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องย้ายไปที่อื่นกัน แบบบางคนก็กลับบ้าน บางคนก็ย้ายไปประเทศใหม่ แล้วด้วยอะไรแบบนี้มันก็ทำให้กิจกรรมที่เขาเสนอทำร่วมกับเรามันก็ไม่ใช่ ไม่ตอบโจทย์แซฟฟิกและเควียร์คนไทย เราเคยคิดว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เราสร้างคอมมูนิตี้หรือชุมชนแซฟฟิกและเควียร์คนไทยได้ยากมากๆ ทั้งที่แบบเชียงใหม่คือเมืองแห่งคอมมูนิตี้อ่ะ แต่แบบพอเป็นคอมมูฯ ของเราที่เป็นแซฟฟิก เป็นเควียร์ มีเรื่องสิทธิทางเพศ มีเรื่องความหลากหลายทางเพศเข้ามา คนก็แบบอาจจะยังน๊า (หัวเราะ) ดูย้อนแย้งแปลกๆ เหมือนกัน” หมวยกล่าว

ในช่วงท้าย เราขอให้หมวยอวยพร Sapphic Riot ซึ่งหมวยก็บอกว่า “โชคดีน้า ขอให้รอด” ก่อนจบบทสนทนาด้วยเสียงหัวเราะแห้ง

.

อันที่จริงแล้ว เมื่อมีพื้นที่เฉพาะที่ออกตัวชัดเจนว่าต้องการให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการสังสรรค์ยามค่ำคืนของชาวแซฟฟิกและเควียร์ในกลางเมืองเชียงใหม่ และในทุกวันนี้เรื่องความหลากหลายทางเพศก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องบิดบังเช่นเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ทำไมการไปนั่งชิลในสถานที่แบบนี้จึงดูเป็นเรื่องยากของแซฟฟิกและเควียร์ไทย 

หรืออาจเป็นเพราะจริงๆ กลุ่มแซฟฟิกและเควียร์ไทยเองก็พร้อมที่จะออกไปยังสถานที่แบบ Sapphic Riot กันนั่นแหละ เพียงแต่ต้องเกรงใจสังคม เกรงว่าการไปอยู่ ณ สถานที่เช่นนั้น สถานที่ที่รายล้อมไปด้วยคำว่า ‘sapphic’ ‘เลสเบี้ยน’ ‘เควียร์’ ‘หญิงรักหญิง’ หรือ ‘เฟมินิสต์’ จะเป็นประกาศตัวตนที่ชัดเจนเกินไป ตรงนี้เราเองก็ไม่อาจทราบได้ เห็นทีจะต้องปล่อยไว้เป็นปริศนาให้แก่หมวยและคนที่มีความคิดความเชื่อเช่นเดียวกันได้ขบคิดต่อไป

อ้างอิงจาก

.

โฟลเดอร์รูปภาพ: https://drive.google.com/drive/folders/1cEea7qHFewbYetIVan7ujLcOOSxjKd0M 

ปวีณา หมู่อุบล

อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง