ไกลศูนย์กลาง ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง เพลงลูกทุ่งคำเมืองช่วงนั้นบอกอะไรบ้าง?

Date:

จากบทความ เอาแรงเป็นทุน สู้งานเงินเดือนต่ำ ๆ แรงงานอีสานผ่านบทเพลงลูกทุ่มเมื่อทุกวิกฤตเป็นบทเพลง ในเว็บไซต์ The isaan record ที่ผมได้อ่านสร้างความตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นอารมณ์ของผู้คนอยู่ในบทเพลง บทความนี้เขียนถึงบริบทของการเกิดเพลงลูกทุ่งตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา และวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดต่อมาหลังจากนั้น ทั้งการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคอีสานเข้ามาในหัวเมืองใหญ่ การผลัดถิ่น รวมถึงภาพการต่อสู่ในเรื่องของการกดขี่ขูดรีดแรงงานในภาคอีสาน เพลงอีสานจึงล้อไปกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในอีสานในช่วงเวลาต่าง ๆ ด้วย

แล้วภาคเหนือล่ะ? มีเสียงแบบนี้บ้างไหม เท่าที่นึกออกผมคิดว่าไม่ แต่ถ้าตอบแบบนี้มันกำปั้นทุบดินจนเกินไป ผมเลยตั้งคำถามว่า ทำไมเพลงลูกทุ่งคำเมืองถึงแทบไม่มีเสียงของการต่อสู้ และความเจ็บปวด อย่างอีสานเลย? อย่างไรก็ตาม ผมมิได้จะอธิบายเพลงคำเมืองนั้นป๊อบหรือไม่? เพราะผมคิดว่า เสียงเพลงกับผู้คนมันจะเชื่อมหากันอยู่แล้ว แต่จะเชื่อมหากันขนาดไหนนั้นแต่จะลองอธิบายดูผ่านจินตภาพของเพลงลูกทุ่งคำเมือง  แล้วถอยกลับไปดูวัฒนธรรม เพื่อตอบคำถามต่อบทความเอง

จินตภาพของเพลงลูกทุ่งคำเมืองอยู่ที่หมู่บ้าน (ชนบท) และอดีต

“บ้านบนดอยบ่มีแสงสี บ่มีทีวีบ่มีน้ำประปา” (เพลง บ้านบนดอย – จรัล มโนเพ็ชร) 

ช่วงทศวรรษ 2530 ธุรกิจการท่องเที่ยวกลายเป็นยุทธศาสตร์ของรัฐ[1] ชยันต์ วรรธนภูติ ได้อธิบายตัวตนของคนเมืองในทศวรรษนั้นว่าจังหวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือก็พยายามแข่งขันในการสร้างภาพลักษณ์ของตนให้มีจุดที่น่าสนใจที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างประเทศให้เข้ามาเที่ยวชมภาคเหนือเริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงนี้งานประเพณีที่แสดงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นถูกคิดค้นและรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ให้อลังการ ไม่ว่าจะเป็นงานไม้ดอกไม้ประดับที่จังหวัดเชียงใหม่ งานไหว้สาแม่ฟ้าหลวงที่เชียงราย งานสลุงหลวงที่ลำปาง งานจุดเทียนเผาไฟที่สุโขทัย ฯลฯ ที่น่าสนใจก็คือการแต่งกายด้วยเสื้อผ้า “คนเมือง” ในงานเหล่านี้ รวมทั้งผ้าทอมือของกลุ่มต่าง ๆ (เช่น ของลาวและไทลื้อ) ถูกหยิบขึ้นมาเป็นตัวแทน (Re-presentation) ของผ้าล้านนา (ในขณะที่ผ้าไหมถูกปฏิเสธว่าไม่ใช่)  สิ่งเหล่านี้กลายเป็นรสนิยมใหม่ของชนชั้นกลางที่มักซื้อหาเก็บไว้ในราคาแพงและนำมาใช้ในโอกาสสำคัญ เพื่อสร้างและตอกย้ำตัวตนให้ผูกผันกับท้องถิ่น[2]

ภาพ: มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง Mae Fah Luang University

ในขณะเดียวกัน เพลงสตริงคำเมืองเป็นแนวเพลงที่ได้รับความนิยมขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 2520 ชนิดได้รับเอาอิทธิพลของตะวันตกเข้ามาผสมผสานกับเพลงท้องถิ่น และเกิดการปรับตัวมาตั้งแต่ช่วงระหว่าง พ.ศ.2528-2535 ซึ่งเป็นช่วงที่ยุคดนตรีแนวสตริงและแนวร็อกซึ่งได้รับอิทธิพลจากตะวันตกกำลังแพร่หลายและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในสังคมไทย[4]

นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เสนอจินตกรรมของชาติไว้ในหมู่บ้านของแบบเรียนประถมศึกษาไว้ว่า “… แท้จริงแล้วจินตภาพของหมู่บ้านแทนชาตินั้นทำหน้าที่มากกว่ากลวิธีเพื่อความเข้าใจของเด็ก หากเป็นรากฐานของการอธิบายความสัมพันธ์ตามอุดมคติของชาติไทยทีเดียว”[5]

นิธิได้รับความคิดมาจากเบน แอนเดอร์สัน[6] ในงานอันโด่งดังของเขาเรื่อง Imagined Communities: Reflections on the Origin and Spread of Nationalism ที่ชี้ให้เห็นว่าการสร้างชาติมีองค์ประกอบด้านการศึกษาอยู่ด้วย

น่าสังเกตุว่าจินตกรรมของความเป็นชาติได้ขยับตัวเองจากแบบเรียนมาสู่เพลงคำเมืองและมิใช่เพลงคำเมืองอย่างเดียว เพลงลูกทุ่งในภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคกลางก็มีลักษณะที่คล้าย ๆ กันด้วย เราจะเห็นว่าเพลงทุ่งคำเมืองในช่วงเวลานี้มีลักษณะเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง และไม่มีการเคลื่อนย้ายเหมือนดั่งภาคอีสาน

ดังจะเห็นได้จาก เพลงกุหลาบเวียงพิงค์ – อรวี สัจจานนท์ (2541) เพลงน้ำใจสาวเหนือ – สุนทรี เวชานนท์ (2541) เพลงล่องแม่ปิง – สุนทรี เวชานนท์ (2544) เพลงของกินคนเมืองภาค 2 – จรัล มโนเพ็ชร & สุนทรี เวชานนท์ (2544) และเพลงสาวเชียงใหม่ – จรัล มโนเพ็ชร & สุนทรี เวชานนท์ (2545) เพลงเหล่านี้มักกล่าวถึงความเป็นล้านนาในแง่ที่ครั้งหนึ่งเคยดีงามในอดีต และได้รับอิทธิพลจากภาคกลางสูง อาทิ เพลงพิษรักพิษณุโลก เพลงสาวงามเมืองพิจิตร เพลงพบรักปากน้ำโพ

เพลงที่ยกมานี้แม้จะมีความแตกต่างกันด้านเนื้อหาอยู่บ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ร่วมกันคือ เป็นเพลงต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองให้เข้ามาเยือน หรือทำให้ท้องถิ่นหรือที่ต่าง ๆ มีวัฒนธรรมประเพณีที่แสดงความเป็นอยู่ที่สอดแสรกในบทเพลง[7] (ทัศน์วศิน และพรพรรณ, 2560)  มีความเฉพาะตัวผ่านตัวละครในบทเพลง หรือฉากการบรรยายพื้นถิ่น 

ปรากฏการณ์จากเพลงลูกทุุ่งเหล่านี้ล้วนนึกถึง “หมู่บ้านไทย” ในบทความ หมู่บ้านไทยในโลกภาพยนตร์ : ชาติไทยแบบ ‘ไมโคร’ หลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง 2540 ของ อิทธิเดช พระเพ็ตร ที่ศึกษาภาพยนต์ช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งพยายามชี้ให้เห็นว่า ช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจและโลกาภิวัตน์ถาโถมสังคมไทยจนตั้งตัวไม่ติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนชนชั้นกลางในเมืองที่ล่มสลายในแง่เศรษฐกิจและจิตวิญญาณ และป้อมปราการด่านสุดท้ายที่คนในสังคมไทยจำต้องปกป้องรักษาจนไปถึงกลายเป็นฐานการต่อสู้ก็คือ หมู่บ้านหรือชุมชนไทย (อิทธิเดช, 2561) ดังเพลงล่องแม่ปิง “คนงามงามต้องงามคู่ความเด่นดี ต้องฮักศักดิ์ศรีของกุลสตรีแม่ย่าแม่หญิง เยือกเย็นสดใสเหมือนน้ำแม่ปิง มั่นคงจริงใจฮักใครฮักจริง สาวเอยสาวเวียงพิงค์ สาวเครือฟ้าเกยซมซาน อีกแม่สาวบัวบานนั่นคือนิทานสอนใจ”

อีกกระแสหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้คือการโหยหาอดีต (Nostalgia) พัฒนา  กิติอาษา[8] ได้อธิบายว่าการโหยหาอดีตเป็นวิธีการมองโลกหรือวิธีให้ความหมายแก่ประสบการณ์ของมนุษย์อย่างหนึ่ง เน้นความสำคัญของจินตนาการและอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนใน “ปัจจุบันขณะ” ที่มีต่ออดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว เหลือเพียงประสบการณ์และความทรงจำที่เราหวนระลึกถึง และโลกที่ว่านี้เราสามารถติดต่อสื่อสารกับมันได้เมื่ออาศัยช่องที่เรียกว่า “จินตนาการ”

เราสามารถสัมผัสหรือจับต้องมองเห็นโลกที่เราสูญเสียไปได้อีกครั้งหนึ่ง หากเราสามารถสร้างภาพตัวแทนโดยการผลิตซ้ำ หยิบฉวยซ้ำซากความทรงจำ ด้วยการย้อนกลับไปจำลองประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาขึ้นมาใหม่[9]

การโหยหาในลักษณะดังกล่าวเป็น “การเรียกหาอดีตที่เลือนหายไปแล้วให้กลับคืนมา” กระแสการโหยหาอดีต และชาตินิยม ผนวกกับการกลับมาของเพลงลูกทุ่ง ส่งผลต่อการกลับมาของโฟล์คซองคำเมืองของจรัล มโนเพ็ชร และสุนทรีย์ เวชานนท์ ที่กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งหลังปี 2540[10] 

วัฒนธรรมเพลงลูกทุ่งคำเมืองของคนเหนือ

วัฒนธรรมการฟังเพลงลูกทุ่งที่เป็นที่นิยมในภาคเหนือนั้นแทบไม่ใช่เพลงคำเมืองเลย จากบทสัมภาษณ์ ดีเจลูกหมู ดีเจ ชื่อดัง  ในจังหวัดเชียงใหม่ ในบทความสวัสดีคุณผู้ฟังทุกท่าน เสียงที่ได้ยินอยู่ขณะนี้คือเสียงของ “ดีเจลูกหมู” นิพนธ์ สุวรรณรังษี กับรายการมาลัยลูกทุ่ง  ได้ทำให้เห็นสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเพลงลูกทุ่งที่เป็นที่นิยมในอดีตอย่างหนึ่งก็คือ เพลงที่อยู่ในลิสต์เพลงการฟังของคนในภาคเหนือของสถานีวิทยุที่เป็นที่นิยมกันตั้งแต่ทศวรรษที่ 2530 อย่างรายการ “มาลัยลูกทุ่ง” ล้วนเป็นเพลงภาคกลางเสียทั้งหมด กลุ่มคนฟังก็มักจะเป็นกลุ่มชาวบ้าน แต่คนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานหน่วนงานราชการ ก็จะฟังเพลงอีกแบบที่ไม่ใช่ลูกทุ่ง 

แต่ถึงอย่างนั้น จากบทความของของ ธิติวุฒิ ถาลายคำ[11] เรื่อง ความเปลี่ยนแปลงด้านวิถีชีวิตและทัศนคติของคนภาคเหนือ ในเพลงคำเมืองในช่วง พ.ศ.2500-2550. ในบทความนี้ได้ชี้ให้เห็นแนวเพลงลูกทุ่งอย่างหนึ่งที่เป็นที่นิยมในภาคเหนือในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งคือ “บทเพลงตลกคำเมือง” เพลงแนวนี้เป็นการสอดแทรกบทพูดตลกเข้าไปในเนื้อหาของเพลง บทเพลงชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากหลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ศิลปินเพลงตลกคำเมืองที่เกิดขึ้นใหม่หลังปี 2540 อย่างเช่น วงการเวก วงการันตี วงบุญศรี วงรัตนัว วงวิฑูรย์ วงใจพรม วงทิพวรรณ วงจันทร์สวย แก้วเริงเมือง และวงเหินฟ้า หน้าเลื่อม 

ภาพ: Chart เพลงฮิต

กระแสความนิยมของเพลงตลกคำเมืองที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการที่ผู้คนในสังคมภาคเหนืออยู่ในสภาวะวิตก จากความไม่แน่นอนของชีวิต เพลงตลกคำเมืองจึงเป็นดั่งอาการคลายเครียดทางอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะผู้ที่ถูกออกจากงานในเมืองใหญ่และต้องกลับเข้าสู่ภาคชนบท อย่างเพลงข้าวใหม่ปลามัน และเพลงบริการปวงชน[12]

ในแง่หนึ่งอาจจะเห็นว่าวัฒนธรรมการฟังเพลงลูกทุ่งในภาคเหนือนั้นมีสองแบบ แบบหนึ่งเป็นเพลงลูกทุ่งภาคกลาง ดูได้จากการติดชาจการฟัง เช่น พลงสมศรี 1992 ของยิ่งยง ยอดบัวงาม เพลงสั่งนาง มนต์สิทธิ์ คำสร้อย  เสียน้ำตาที่คาเฟ่ ศรเพชร ศรสุพรรณ และเพลงลอยแพ พรศักดิ์ ส่องแสง[13] และเพลงตลกคำเมืองที่กล่าวไปข้างบน น่าสนใจที่ว่าทำไมผู้คนถึงไม่ฟังเพลงลูกทุ่งถึงแทบไม่ติดชาร์ตการฟังเพลงของคนเหนือเลย

ย้อนคิดเพลงลูงทุ่งคำเมืองในช่วงต้มยำกุ้งตกลงแล้วมันจะบอกอะไร?

หากคุณนึกถึงบรรยากาศในภาคเหนือ ภาพที่ออกมาก็คงคล้าย ๆ กันคือภาพแห่งภูเขา ทัศนียภาพที่สวยงดงาม จากการผลิตซ้ำที่กล่าวไปข้างต้ย แต่ในความเป็นจริงภาพเหล่านี้มักบดบังความความเป็นจริงและออกห่างชีวิตของผู้คนมากไปทุกที เนื่องจากในภาพใหญ่ของสังคมไทยช่วงเวลานั้น วิกฤตเศรษฐกิจต้องหันไปพึ่งพา imf (กองทุนเงินระหว่างประเทศ) ทำให้ประเทศไทยเป็นลูกหนี้ก้อนโตและก่อให้เกิดความรู้สึกการเสียเอกราชในทางเศรษฐกิจ [14]

ในแง่หนึ่ง ผมกลับนึกไม่ออกว่าเพลงลูกทุ่งคำเมืองในช่วงเวลาวิกฤตนั้นมันฟังก์ชันกับผู้คนระดับล่างในภาคเหนืออย่างไร แต่มันฟังก์ชั่นในแง่หนึ่งที่ว่า ช่วงทศวรรษ 2540 หลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ได้หันไปสู่กระแสการโหยหาอดีต และได้นำไปสู่การสร้างจินตกรรมของหมู่บ้านชนบท เนื่องจากมันเป็นการปลอบประโลมผู้คนจากความผิดหวังให้หันไปมองโลกอีกแบบหนึ่งที่สวยงามได้

บทความนี้อาจจะไม่ตอบคำถามข้างบนสักเท่าไหร่ว่าทำไมไม่มีน้ำเสียงของการต่อสู้และความเจ็บปวดของผู้คน แต่มันชี้ให้เห็นมโนภาพอย่างหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้เงื่อนไขของสภาวะวิกฤต ที่สร้างภาพจำต่อภาคเหนือทั้งในเรื่องจินตภาพหมู่บ้าน (ชนบท) และอดีต ที่แช่แข็งจนเป็นภาพที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันก็ได้


  • [1] อ้างถึงใน ชยันต์ วรรธนะภูติ, “คนเมือง” : ตัวตน การผลิตซ้ำสร้างใหม่และพื้นที่ทางสังคมของคนเมือง, ใน อานันท์ กาญจนพันธุ์บรรณาธิการ. อยู่ชายขอบมองลอดความรู้ รวมบทความเนื่องในวาระครบรอบ 60 ปี ฉลาดชาย รมิตานนท์, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2549).
  • [2] เรื่องเดียวกัน.
  • [3] ธิติวุฒิ ถาลายคำ. ความเปลี่ยนแปลงด้านวิถีชีวิตและทัศนคติของคนภาคเหนือ ในเพลงคำเมืองในช่วงพ.ศ.2500-2550. วารสารประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระดับปริญญาตรี. ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2566).
  • [4] เรื่องเดียวกัน.
  • [5] นิธิ เอียวศรีวงศ์. ชาติไทย เมืองไทย แบบเรียน และอนุสาวรีย์. กรุงเทพฯ: มติชน. 2539.
  • [6] เบน แอนเดอร์สัน, ชุมชนจินตกรรม: บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, บรรณาธิการแปล. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2552.
  • [7] ทัศน์วศิน ธูสรานนท์ และ พรพรรณ ประจักษ์เนตร. พัฒนาการในการสื่อสารของเพลงลูกทุ่งผ่านการเล่าเรื่องตามค่านิยมของสังคมไทย จากอดีตสู่ปัจจุบัน. วารสารนิเทศศาสตร์และนวัตกรรม นิด้า. ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม- ธันวาคม 2560).
  • [8] พัฒนา กิติอาสา. มานุษยวิทยากับการศึกษาปรากฏการณ์ โหยหาอดีตในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร องค์การมหาชน. 2546.
  • [9] เรื่องเดียวกัน, บทนำ.
  • [10] ธิติวุฒิ ถาลายคำ. ความเปลี่ยนแปลงด้านวิถีชีวิตและทัศนคติของคนภาคเหนือ ในเพลงคำเมืองในช่วงพ.ศ.2500-2550. วารสารประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระดับปริญญาตรี. ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2566).
  • [11] เรื่องเดียวกัน.
  • [12] เรื่องเดียวกัน.
  • [13] อ้างถึงใน ธันยชนก อินทะรังษี. สวัสดีคุณผู้ฟังทุกท่าน เสียงที่ได้ยินอยู่ขณะนี้คือเสียงของ “ดีเจลูกหมู” นิพนธ์ สุวรรณรังษีกับรายการมาลัยลูกทุ่ง. Lanner.
  • [14]อิทธิเดช พระเพ็ชร, จาก “โหยหา” ถึง “โมโห”: อ่านอาการสังคม ในภาพยนตร์ไทยหลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง (พ.ศ. 2540-2546), วารสารประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์, ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2561).
ป.ละม้ายสัน

ชอบอ่านวรรณกรรม โดยเฉพาะวรรณกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวของคนธรรมดา และงานวรรณกรรมวิจารณ์ ตื่นเต้นทุกครั้งที่อ่าน มาร์กซ์ ฟูโกต์ และแก๊ง post modern ทั้งหลาย ใช้สมุนไพรเป็นเครื่องช่วยเยียวยาจิตใจในโลกทุนนิยมอันโหดร้าย

ป.ละม้ายสัน
ป.ละม้ายสัน
ชอบอ่านวรรณกรรม โดยเฉพาะวรรณกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวของคนธรรมดา และงานวรรณกรรมวิจารณ์ ตื่นเต้นทุกครั้งที่อ่าน มาร์กซ์ ฟูโกต์ และแก๊ง post modern ทั้งหลาย ใช้สมุนไพรเป็นเครื่องช่วยเยียวยาจิตใจในโลกทุนนิยมอันโหดร้าย

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...