รวมข้อถกเถียง Rainbow Washing ในงานไพรด์: สงครามระหว่าง LGBTQ+Liberal และเอียงซ้าย

Date:

เมื่อเข้าสู่เดือนมิถุนายนก็เป็นที่รู้กันดีว่าช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองตัวตนของผู้มีอัตลักษณ์ LGBTQIA+ หรือผู้มีความหลากหลายทางเพศได้มาถึงอย่างเป็นทางการแล้ว งาน Pride Parade ที่มีรูปแบบหลักคือการเดินขบวนตามท้องถนนเพื่อป่าวประกาศถึงความภาคภูมิใจของชาว LGBTQ+ สีรุ้งเพื่อให้สังคมตระหนักรู้และยอมรับตัวตนของผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยต้นเหตุของขบวนไพรด์นั้นมาจากเหตุจลาจลระหว่างนักกิจกรรมชายรักชายและตำรวจที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ Stonewall riots ที่ยืดเยื้อตลอดเดือนมิถุนายน ในปี 1969

อย่างไรก็ตาม เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปการเคลื่อนไหวต่อสู้ทั้งในระดับนโยบายให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้คนเพศหลากหลาย การประกอบสร้างภาพจำใหม่ ๆ ของ LGBTQ+ ที่เป็นมิตรและสร้างสีสันบนสื่อสาธารณะ รวมทั้งงานส่งเสริมการตระหนักรู้และเพิ่มพื้นที่ปลอดภัยในการทำกิจกรรมของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ได้กลายเป็นงานหลักที่ขบวนการต่อสู้ทางการเมืองอัตลักษณ์ LGBTQ+ ร่วมกันผลักดันให้คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนดีขึ้น

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยถือว่ามีความก้าวหน้าในเรื่องสิทธิ LGBTQ+ เป็นระดับต้น ๆ ของอาเซียนเนื่องจากประชากรเพศหลากหลายที่มีจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่มีส่วนในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งในทางตรง เช่น ธุรกิจคาบาเร่, แดร็กโชว์, บาร์เกย์ ฯลฯ และทางอ้อมคือบุคคลเพศหลากหลายที่เป็นแรงงานอยู่ในแทบทุกสาขาอาชีพซึ่งเป็นผู้เสียภาษีตามกฎหมาย

เมื่อถึงช่วงเวลาเฉลิมฉลองไพรด์พาเหรด องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับการส่งเสริม ปกป้อง ป้องกันสิทธิ LGBTQ+ ก็ได้เริ่มต้นประชาสัมพันธ์ถึงกิจกรรมหลากหลายอย่างในงานไพร์ดที่ได้ตระเตรียมมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ซึ่งมีแนวโน้มที่งานไพร์ดจะยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากความสำเร็จของงานไพร์ดพาเหรดจากปีก่อน ๆ ซึ่งจัดทั่วประเทศทำให้มีนักท่องเที่ยว LGBTQ+ ทั้งในและนอกประเทศวางแผนเดินทางมาประเทศไทยในช่วงเดือนมิถุนายนเพื่อมาร่วมงานไพร์ดพาเหรดโดยเฉพาะ

ข้อถกเถียงประเด็น Rainbow Washing ในงานไพร์ดพาเหรด

งานไพร์ดพาเหรดในปีนี้เติบโตยิ่งใหญ่มากขึ้นจากการที่ผู้จัดงานได้จัดตั้งองค์กรและทีมงานหลักเพื่อจัดการกิจกรรมไพรด์ครั้งนี้อย่างเป็นทางการ โดยมีการออกแบบกิจกรรมให้ครอบคลุมถึงทุก ๆ ประเด็นเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ เช่น เวทีเสวนา การแข่งขันเฟ้นหาทูตสัมพันธ์ (brand ambassdor) การแสดงแสงสีเสียง บู้ธขายของ ฯลฯ ซึ่งกินระยะเวลาเกือบสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม เมื่อทีมผู้จัดงาน Bangkok Pride ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลการรับบริจาคเพื่อระดมทุนจากผู้สนับสนุนซึ่งเป็นบริษัทนายทุน หรือห้างร้านใหญ่ ๆ ที่อยากเข้ามามีส่วนร่วมผ่านการสนับสนุนเป็นตัวเงิน 800,000-1,500,000 โดยแลกกับการตั้งบู้ธขนาดใหญ่และสิทธิพิเศษรวมทั้วของที่ระลึกมากมายในงานไพร์ดพาเหรด ทำให้ทีมผู้จัดถูกสังคมออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

ความคิดเห็นของ LGBTQ+ ฝ่าย Liberal VS ฝ่ายเอียงซ้าย

ประเด็นการใช้อำนาจของผู้มีอำนาจ

– กลุ่มสนับสนุนได้ชูประเด็นของการต้องรวมเอาผู้คนนอกขบวนการ LGBTQ+ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น ตัวแทนจากฝ่ายบริหารและบริษัทห้างร้านใหญ่ ๆ ที่มีความพร้อมในการสนับสนุนเงินทุนและการอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมไพร์ดพาเหรดให้มามีส่วนร่วมในการเดินขบวนด้วย ซึ่งจะเป็นการสื่อสารว่าขบวนการนี้สามารถโน้มน้าวให้กลุ่มทุนหรือผู้มีอำนาจมาสนับสนุนตัวตนของชาว LGBTQ+ ได้ โดยใช้วิวาทะว่า “ใช้แสงในทางที่ดี”

– ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ไม่สนับสนุนให้รับเงินทุนใหญ่ก็เล็งเห็นปัญหาเดียวกัน คือขบวนของการเมืองอัตลักษณ์โดยเฉพาะ LGBTQ+ มีจุดอ่อนคือประเด็นปัญหาของคนเพศหลากหลายถูกหยิบยกขึ้นมาเรียกร้องโดยแยกตัวออกจากขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรมในมิติอื่น ๆ จึงมีข้อเสนอว่าการรวบรวมผู้คนนอกขบวนการ LGBTQ+ ให้มามีส่วนร่วมควรจะเป็นกลุ่มการเมืองอื่น ๆ หรือไม่ เช่น กลุ่มคนชาติพันธ์ุ, กลุ่มแรงงาน, กลุ่มครอบครัวและเยาวชน ฯลฯ ซึ่งน่าจะตรงกับแนวคิด Inclusivity มากกว่าที่ต้องรวมเอาผู้คนที่มีอัตลักษณ์ทับซ้อนเข้าไว้ด้วยกันเพื่อสร้างพลังในการต่อต้านต่อรองกับแหล่งอำนาจบริหารและนายทุนที่กำลังกดข่มคนชายขอบอยู่หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอำนาจของฝ่ายศาสนา, กฎหมาย และนโยบายต่าง ๆ ที่ไม่เคยมีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงลดอำนาจการควบคุมเสรีภาพทางเพศและเชิดชูความเสมอภาคของผู้คนเลย ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มนายทุนเงินหนาต่างล้วนเป็นฝ่ายที่ใช้แนวคิดสองกรอบเพศมาเลือกปฏบิบัติกับผู้มีความหลากหลายทางเพศในที่ทำงานและใช้ความรุนแรงกดขี่แรงงานที่มีอัตลักษณ์เป็นคนชายขอบ

ประเด็นของคุณค่าและจุดประสงค์ของงานไพรด์พาเหรด

– จากการสำรวจมุมมองของผู้รับเงินสนับสนุนทุนใหญ่ในงานแถลงข่าวเกี่ยวกับเป้าประสงค์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นจากงานไพรด์พาเหรดพบว่า พวกเขาต้องการให้งานเฉลิมฉลองมีขนาดใหญ่ในระดับสากลเพื่อเป็นหน้าเป็นตาแก่ความก้าวหน้าในการยอมรับตัวตนของผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย ซึ่งเดือนมิถุนายนก็จะเป็นอีกหนึ่งช่วง High Season สำหรับนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมงานไพร์ด รวมทั้ง Soft Power ที่เป็นสื่อบันเทิงในประเทศไทยที่ดังเป็นพลุแตกในอาเซียน เช่น อุตสาหกรรมซีรีย์ Yayoi, T-Pop, Drag Show ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ถูกผลักดันโดยมีผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นเบื้องหลังทั้งสิ้น ดังนั้น หากประเทศรอบข้างในอาเซียนยังคงกดข่มเสรีภาพทางเพศของประชาชนอยู่ งานไพร์ดและอุตสาหกรรมเกี่ยวกับ LGBTQ+ จากไทยจะยังสามารถเติบโตและสร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง

– อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ไม่สนับสนุนการรับทุนก็ยังยืนยันถึงประเด็นการต่อสู้เพื่อความเสมอภาคเท่าเทียมทางเพศที่ควรจะเป็นหัวใจหลักของการเดินขบวนประท้วงเรียกร้องให้สังคมยอมรับตัวตนและหยุดความเกลียดชัง การใช้ความรุนแรง การเลือกปฏิบัติต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ซึ่งในหนึ่งปีมีเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นที่เหล่าองค์กรที่คอยช่วยเหลือ ปกป้องกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศจะได้ออกมาประกาศจุดยืน สนับสนุนข้อเรียกร้องของกันและกันต่อสาธารณะชน ซึ่งการเอากลุ่มทุนใหญ่ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ทำลายสิ่งแวดล้อมที่เน้นการสร้างกำไรจากผู้บริโภคมากกว่าจะออกนโยบายสนับสนุน LGBTQ+ อย่างเป็นรูปธรรม หรือออกมารับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิ์ที่กระทำต่อคนกลุ่มใหญ่ในสังคมซึ่งเป็นคนชายขอบ

ทางออกร่วมที่สังคมและขบวนการ LGBTQ+ ต้องตัดสินใจ

ในท้ายที่สุด แม้บริษัทห้างร้านที่เป็นโจทย์ทางสังคมเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ, ขูดรีดแรงงาน, ควบคุมพฤติกรรมผู้บริโภค ฯลฯ จะเอาเงินมาวางเพื่อสนับสนุนงานเฉลิมฉลองตัวตนผู้มีความหลากหลายทางเพศปีละครั้งเพื่อทำการตลาดกับกลุ่ม LGBTQ+ แต่หากผู้คนในขบวนการ LGBTQ+ ตระหนักรู้ว่า ปัญหาของพวกเราจะไม่ถูกแก้ไขเพียงแค่ได้มาซึ่งกฎหมายสมรสเท่าเทียม, เปลี่ยนคำนำหน้านาม ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่เมื่อเราหันกลับไปมองสังคมที่ยังใช้แนวคิดสองกรอบเพศที่ถูกแช่แข็งอยู่ในวัฒนธรรมไทยและแสดงออกผ่านรูปแบบของกฎหมาย, ศาสนา นโยบาย ที่ถูกนำมาบังคับใช้โดยผู้มีอำนาจเพื่อกดขี่ผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ครอบครัว โรงเรียน ที่ทำงาน และสังคม ที่ได้สร้างบาดแผลในใจให้กับคนเพศหลากหลายเสมอมา ดังนั้น ข้อเรียกร้องเพื่อผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศเหล่านี้ควรจะถูกนำมาป่าวประกาศซ้ำทุกปีจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างมนงานไพร์ดพาเหรดหรือไม่ ? สุดท้ายที่ ผู้เขียนขอเสนอว่าหากกลุ่มผู้จัดงานไพร์ดต้องการต่อยอดการสร้างกำไรจากนักท่องเที่ยว หรือรับการสนับสนุนจากบริษัททุนใหญ่เพื่อจัดงานเฉลิมฉลองก็ควรจัดทำให้เป็น Festival ขายบัตรแบบงานคอนเสริ์ตระดมทุน จะได้ไม่เกิดข้อขัดแย้งจากผู้คนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิ LGBTQ+ ที่ต้องการใช้แสงส่องนำพาสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเพื่อเสรีภาพและความเท่าเทียมอย่างแท้จริง

นักวิชาการอิสระสายสตรีนิยม และผู้ร่วมก่อตั้ง Sapphic Pride(QUEER FEMINIST COMMUNITY) จบปริญญาโทจากศูนย์สตรีศึกษาและเพศภาวะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นนักศึกษาปริญญาเอกสาขา Asian Language and Culture ที่ University of Wisconsin-Madison ประเทศสหรัฐอเมริกา

ณัฐมน สะเภาคำ
ณัฐมน สะเภาคำ
นักวิชาการอิสระสายสตรีนิยม และผู้ร่วมก่อตั้ง Sapphic Pride(QUEER FEMINIST COMMUNITY) จบปริญญาโทจากศูนย์สตรีศึกษาและเพศภาวะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นนักศึกษาปริญญาเอกสาขา Asian Language and Culture ที่ University of Wisconsin-Madison ประเทศสหรัฐอเมริกา

More like this
Related

บทเรียนจากหอยมินามาตะ ถึงปลาน้ำกก รัฐยืนยันปรุงสุก-กินได้ แต่ระยะยาวปลอดภัยแค่ไหน?

เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์ 12 กันยายน 2568  กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย...

แรงงานภาคเหนือ ยื่นข้อเสนอถึงกระทรวงแรงงาน ‘Decent Work’ เรียกร้องยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

24 ตุลาคม 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายแรงงานภาคเหนือเข้ายื่นหนังสือข้อเสนอ Decent Work หรือ งานที่มีคุณค่า...

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เห็ด’ CAC ชวนร่วมกิจกรรมปิดท้าย ‘FUNGI IN YOUR HEADLIGHTS’

พบศิลปิน อานนท์ นงเยาว์ และ NooN Collectiveเสาร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ ณ...

‘บ้านหนองเต่า’ รักษาป่า รักษาวิถีชีวิต ท่ามกลางปัญหาสิทธิที่ดิน

เรื่อง: รัญชิดา อาริกุล ‘บ้านหนองเต่า’ ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวกะเหรี่ยง หรือ...