สภาฯ ไฟเขียว กฎหมายชาติพันธุ์ฉบับแรกของไทย เดินหน้าคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม

เรื่อง: กองบรรณาธิการ และเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง

ภาพ: เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง

6 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 9 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) มีมติเสียงข้างมาก 421 เสียง เห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ถือเป็นก้าวสำคัญในการรับรองสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ และเป็น ‘กฎหมายชาติพันธุ์’ ฉบับแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

การผ่านกฎหมายฉบับนี้ทำให้ไทยเป็นประเทศที่ 4 ในภูมิภาคอาเซียน ถัดจากมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่มีกฎหมายระดับชาติว่าด้วยการคุ้มครองกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง

โดยร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้มีสาระสำคัญ 5 ประการ ได้แก่

  1. รับรองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ตามรัฐธรรมนูญ ห้ามเลือกปฏิบัติ
  2. จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาตินำโดยนายกรัฐมนตรี
  3. จัดตั้ง “สภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย”
  4. จัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์เป็นข้อมูลกลางของประเทศ
  5. จัดตั้ง “พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” ด้วยแนวทางการจัดการร่วมระหว่างรัฐกับชุมชน

เครือข่ายภาคประชาชนร่วมฉลองชัยชนะ

ภายหลังการลงมติ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หรือ ศมส. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ขับเคลื่อนร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดี โดยย้ำว่า ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลจากพลังความหวังของกลุ่มชาติพันธุ์ ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ร่วมผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่มติ ครม. เมื่อปี 2553 ที่เริ่มต้นการฟื้นฟูวิถีชาวเลและชาวกะเหรี่ยง

ศมส. ยืนยันจะเดินหน้าร่วมกับเครือข่ายทุกระดับ เพื่อให้กฎหมายนี้ขับเคลื่อนเป็นรูปธรรม และสร้างสังคมที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บนฐานของความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเท่าเทียม

ด้าน ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) ก็ได้ออกแถลงการณ์ร่วมเฉลิมฉลองการผ่านกฎหมาย พร้อมทบทวนเส้นทางการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ที่เริ่มต้นจากมติ ครม. ปี 2553 ว่าด้วยการฟื้นฟูวิถีชาวเลและกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นแนวทางนำไปสู่การผลักดันพื้นที่ ‘เขตวัฒนธรรมพิเศษ’ และแนวคิด ‘โฉนดชุมชน’ เพื่อโต้กลับนโยบายรัฐที่ละเมิดสิทธิชุมชน

หมุดหมายสำคัญคือการยื่นร่างกฎหมายโดยประชาชนพร้อมรายชื่อกว่า 16,000 รายชื่อในปี 2564 ก่อนเข้าสู่การพิจารณาโดยกรรมาธิการทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งแม้บางมาตราถูกตัดทอน แต่ P-move ย้ำว่า กฎหมายฉบับนี้ยังมีจุดเปลี่ยนสำคัญ เช่น การรับรองสิทธิในที่ดินและทรัพยากรเป็นครั้งแรกในกฎหมายระดับชาติ และการจัดตั้ง “พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” ที่ยกระดับจากมติ ครม. เป็นกฎหมายที่มีสถานะเทียบเท่ากฎหมายทรัพยากรอื่น

P-move ยังเสนอ 3 ข้อเรียกร้องสำคัญถึงรัฐบาล ดังนี้

  • เร่งออกกฎหมายลำดับรองโดยเปิดให้กลุ่มชาติพันธุ์และภาคประชาชนมีส่วนร่วม
  • ปลดเปลื้องกฎหมายและนโยบายที่ละเมิดสิทธิ เช่น ด้านที่ดิน สัญชาติ และรัฐธรรมนูญ
  • สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคมเพื่อลบอคติและมายาคติ

เสียงจากสภา ก้าวใหม่แห่งสิทธิและความหลากหลาย

ด้าน ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช ส.ส. พรรคเพื่อไทย จากเชียงราย อภิปรายสนับสนุนร่างกฎหมาย โดยย้ำว่า “นี่ไม่ใช่กฎหมายของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่คือกฎหมายของคนไทยทุกคน ที่จะช่วยโอบรับกลุ่มชาติพันธุ์ให้เป็นพลังในการสร้างประเทศบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม” พร้อมชี้ให้เห็นอุปสรรคเชิงโครงสร้าง เช่น การไร้สถานะ ปัญหาการเข้าถึงสิทธิพื้นฐาน ที่ดินทำกิน และการตีตราจากสังคม

ในส่วนของ มานพ คีรีภูวดล ส.ส. พรรคก้าวไกล ระบุว่านี่คือ “วันประวัติศาสตร์ของรัฐสภาไทย” พร้อมเน้นย้ำสาระสำคัญ 3 ประการของ พ.ร.บ. ได้แก่ การรับรองตัวตนกลุ่มชาติพันธุ์กว่า 60 กลุ่ม, การยกระดับคณะกรรมการระดับชาติ และการจัดตั้งเขตคุ้มครองทางวัฒนธรรม

ทั้งนี้ ธีระชัย แสนแก้ว ส.ส. พรรคเพื่อไทย เสริมว่า กลุ่มชาติพันธุ์มีสัดส่วนประชากรกว่า 10% ของประเทศ จึงไม่ใช่กลุ่มเฉพาะ แต่เป็นประชาชนไทยที่สมควรได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมตามรัฐธรรมนูญ

สภาชนเผ่าพื้นเมือง เดินหน้าติดตามการจัดทำกฎหมายลูก

การผ่านกฎหมายฉบับนี้ยังเป็นชัยชนะของภาคประชาชน โดยเฉพาะสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ซึ่งเคลื่อนไหวประเด็นนี้ต่อเนื่องตั้งแต่มติ ครม. ปี 2553

ศักดิ์ดา แสนมี่ และ นิตยา เอียการนา ตัวแทนจากสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย แสดงความขอบคุณต่อฝ่ายนิติบัญญัติ พร้อมย้ำว่า ภารกิจยังไม่สิ้นสุด พวกเขาจะเดินหน้าติดตามการจัดทำกฎหมายลูก และผลักดันการมีส่วนร่วมในทุกกลไกที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสื่อสารกับกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศ และสร้างความเข้าใจกับหน่วยงานรัฐ เพื่อให้กฎหมายนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

“วันนี้คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาในระดับชุมชน และการยกระดับศักยภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ในการมีส่วนร่วมกำหนดอนาคตประเทศ” ตัวแทนจากสภาชนเผ่าพื้นเมืองกล่าวทิ้งท้าย

‘นี่คือกฎหมายที่ยืนยันตัวตนและสิทธิของเรา’ เสียงจากภาคประชาชน

“กฎหมายผ่านแล้ว ตอนนี้ก็รู้สึกดีใจมากเพราะว่ามันเป็นการผลักดันที่ใช้เวลามาเกือบสิบปีของสภาชนเผ่าพื้นเมืองในการขับเคลื่อน พ.ร.บ. ฉบับนี้ และก็อยากเห็น ‘หน้าตา’ ของ พ.ร.บ. ฉบับนี้เมื่อนำออกมาใช้จริงว่า จะเกิดประโยชน์กับพี่น้องชนเผ่าพื้นเมืองแค่ไหน”

ปิ่นสุดา นามแก้ว ตัวแทนภาคประชาชน จากเครือข่ายเด็กและเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมือง (TKN) แสดงความรู้สึกดีใจหลังการผ่านร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยมองว่านี่คือผลลัพธ์ของการผลักดันตลอดเกือบสิบปีของสภาชนเผ่าพื้นเมืองที่สะท้อนความมุ่งมั่นของประชาชน เธอหวังว่ากฎหมายฉบับนี้เมื่อนำไปใช้จริง จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องชนเผ่าพื้นเมืองอย่างแท้จริง และกลายเป็นกลไกที่เชื่อมโยงการมีส่วนร่วมของประชาชนเข้ากับการพัฒนาประเทศอย่างเท่าเทียม

ปิ่นสุดาย้ำว่า กระบวนการหลังจากนี้ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะขั้นตอนการนำร่างกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อขอพระราชทานลงพระปรมาภิไธย และการจัดทำ ‘กฎหมายลำดับรอง’ หรือกฎหมายลูก ซึ่งจะกำหนดรายละเอียดในการบังคับใช้ที่แท้จริง และเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ภาคประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์และเยาวชน จะได้เข้ามามีบทบาทอย่างเป็นรูปธรรม

“สิ่งสำคัญคือ กลุ่มชาติพันธุ์จะมีบทบาทอย่างไรในกฎหมายลูก โดยเฉพาะสิทธิในการเข้าถึงสวัสดิการรัฐ หรือการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เยาวชนไม่ควรถูกทิ้งไว้ข้างหลังในการพูดคุยเรื่องเหล่านี้” 

ขณะเดียวกัน เธอยังสะท้อนถึงความกังวลในระดับสังคม โดยเฉพาะทัศนคติของคนภายนอกที่อาจยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างถ่องแท้ โดยที่ผ่านมาเคยมีการตั้งคำถามในสื่อและโซเชียลว่า ‘กฎหมายฉบับนี้จะสร้างอภิสิทธิ์ให้กลุ่มชาติพันธุ์หรือไม่’ ซึ่งเธอยืนยันว่า ไม่ใช่กฎหมายที่ให้สิทธิพิเศษใดๆ แต่เป็นการยืนยัน ‘สิทธิพื้นฐาน’ ที่กลุ่มชาติพันธุ์ควรได้รับมานานแล้ว เช่น การเข้าถึงสวัสดิการ การมีสถานะบุคคล และการได้รับความคุ้มครองจากรัฐอย่างเท่าเทียม

อีกด้านของความห่วงใยอยู่ที่พี่น้องชนเผ่าพื้นเมืองเอง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งอาจยังไม่รับรู้สิทธิตามกฎหมาย หรือไม่เคยทราบว่าตนสามารถเข้าถึงการคุ้มครองจากรัฐได้ เธอเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสื่อสารอย่างทั่วถึง เพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ปิ่นสุดายังกล่าวอีกว่า หากกฎหมายฉบับนี้ได้รับการบังคับใช้อย่างจริงจัง สังคมไทยจะได้เห็นมิติของ ‘ความสร้างสรรค์’ ที่เติบโตจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไม่ใช่เพียงการกล่าวอ้าง แต่มีพื้นที่ให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้แสดงออกถึงอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจอย่างเต็มที่

“นี่คือกฎหมายที่รองรับตัวตนของเรา และจะช่วยลดการเลือกปฏิบัติจากอคติเดิมๆ คนในสังคมจะเริ่มเห็นพลังบวกจากความหลากหลาย ไม่ใช่แค่ยอมรับ แต่ร่วมกันสร้างอนาคตที่ทุกคนมีบทบาทในการพัฒนาอย่างแท้จริง” 

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง