Highlight – ‘กิ่ง’ ปสุตา ชื้นขจร เลือกก้าวออกจากงานกฎหมาย มาเปิด Anyway Cafe.cnx คาเฟ่-บุ๊คสเปซกลางเชียงใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟ แต่เป็น “บ้านหลังที่สอง” สำหรับศิลปิน นักกิจกรรม และผู้คนหลากหลาย ที่อยากแลกเปลี่ยนประเด็นสังคมผ่านศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ – กิ่งเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มแคมเปญ #ใครปลูกกุหลาบให้ฉัน เปิดเผยความจริงเบื้องหลังแรงงานข้ามชาติในสวนกุหลาบภาคเหนือที่เผชิญสารเคมีและเงื่อนไขไม่เป็นธรรม ผลลัพธ์คือผู้เข้าร่วมกว่า 90% ตระหนักและสนับสนุนให้แรงงานได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย – กิ่งร่วมเป็นพี่เลี้ยงในโครงการ Daybreaker Network ปีที่ 2 เพื่อกระจายโอกาสและทักษะการทำแคมเปญสู่ภูมิภาคต่างๆ พร้อมย้ำว่า “ใครก็เป็นแคมเปญเนอร์ได้” หากมีปัญหาที่อยากแก้หรืออยากเปลี่ยนสังคม |
กลางเมืองเชียงใหม่ ในย่านเก่าสุดชิคอย่างช้างม่อย มีร้านเล็กๆ ชื่อ Anyway Cafe.cnx ซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบสงบ แต่เต็มไปด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์ ที่นี่ไม่ใช่เพียงคาเฟ่ขายกาแฟและหนังสือ แต่ยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด และเป็นบ้านของผู้คนที่มีความหลากหลายทางเพศที่กำลังมองหาคอมมูนิตี้ของตัวเอง พื้นที่ที่คนที่มีความสนใจเหมือนกันสามารถแบ่งปันประสบการณ์ และร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้
‘กิ่ง’ ปสุตา ชื้นขจร นักกฎหมายฟรีแลนซ์ที่เลือกใช้เส้นทางชีวิตแตกต่างออกไป จากโต๊ะทำงานในสำนักงานสู่การสร้าง ‘บ้านหลังที่สอง’ ให้กับผู้คนที่เชื่อว่าศิลปะและการเคลื่อนไหวทางสังคมสามารถเดินไปด้วยกันได้
“เราไม่ได้อยากให้ที่นี่เป็นพื้นที่ที่พูดถึงแต่ศิลปะ แต่เป็นพื้นที่ที่ใครก็สามารถหยิบประเด็นสังคมมาคุยกันได้” กิ่งเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ

ตลอดเวลากว่าปีครึ่งที่ผ่านมา กิ่งและเพื่อนๆ หุ้นส่วนของกิ่งทุ่มแรงกายแรงใจในการทำให้ Anyway Cafe.cnx เป็นมากกว่าร้านกาแฟ พื้นที่เล็กๆ นี้เชื่อมโยงผู้คนหลากหลาย ตั้งแต่ศิลปิน นักสร้างสรรค์ ไปจนถึงนักกิจกรรม และยังเปิดประตูให้คนทั่วไปได้เข้ามาสัมผัสเรื่องสังคมที่อาจดูไกลตัว
ยกตัวอย่างเช่น ประเด็นป่าไม้ ที่หากพูดตรงๆ อาจเข้าใจยาก แต่เมื่อถูกเล่าผ่านงานศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ เรื่องที่ซับซ้อนก็ค่อยๆ กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เข้าใจง่าย และใกล้ตัวกว่าที่คิด
จากนักกฎหมายสู่ ‘แคมเปญเนอร์’
แม้ว่าตั้งแต่เรียนจบกฎหมายมา หน้างานของกิ่งก็เวียนวนอยู่กับงานทางกฎหมาย โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติที่ถูกทำให้เป็นคนที่ไร้ซึ่งปากเสียงและอำนาจต่อรอง การยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการต่อสู้ทางกฎหมายจึงเป็นหนึ่งในความถนัดของกิ่ง แต่กิ่งเองก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่การทำคดีความในฐานะนักกฎหมายเท่านั้น บทบาทของ ‘แคมเปญเนอร์’ ก็เป็นอีกบทบาทที่กิ่งสนใจเพราะเชื่อว่าการสร้างการเปลี่ยนแปลงต้องกว้างกว่าเอกสารในศาล
“แคมเปญเนอร์ไม่ใช่สื่อ แต่ก็ไม่ใช่นักกิจกรรมเสียทั้งหมดหรอก มันคือคนที่ยึดโยงกับประเด็นอย่างแท้จริง ไม่ได้แค่เล่าเรื่อง แต่คิดกลยุทธ์ มีเป้าหมาย และอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงจริงๆ”

“คุณรู้หรือไม่ว่ากุหลาบที่คุณซื้อ ส่วนใหญ่ปลูกโดยแรงงานข้ามชาติ?”
ตัวอย่างหนึ่งที่กิ่งภูมิใจคือ แคมเปญ #WhoMadeMyFlower #ใครปลุกกุหลาบให้ฉัน ซึ่งริเริ่มโดยมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF) เปิดตัวช่วงวาเลนไทน์ปี 2566 แคมเปญเล่าเรื่องแรงงานข้ามชาติที่ทำงานอยู่ในสวนกุหลาบภาคเหนือ โดยต้องเผชิญสารเคมีอันตรายและเงื่อนไขการจ้างไม่เป็นธรรม ผ่านการสื่อสารหลายรูปแบบ ทั้งวิดีโอสั้น อินโฟกราฟิก และกิจกรรมลงพื้นที่ เช่น แจกกุหลาบพร้อมการ์ดรณรงค์ที่ประตูท่าแพและอ่างแก้ว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อชวนผู้คนตระหนักว่า “ดอกกุหลาบที่เรามอบให้คนที่เรารักไม่ได้ผุดขึ้นมาเอง แต่เกิดจากแรงงานที่คอยปลูกและเก็บเกี่ยวอยู่เบื้องหลัง” ข้อเรียกร้องหลักของแคมเปญคือ (1) การคุ้มครองสิทธิแรงงานตามกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำ ชั่วโมงการทำงาน และสวัสดิการ (2) ความปลอดภัยด้านอาชีวอนามัย เช่น การมีที่พักและน้ำสะอาด อุปกรณ์ป้องกันสารเคมี และไม่ตั้งที่พักติดกับแปลงเพื่อลดการรับสาร และ (3) การสนับสนุนให้ผู้บริโภคเลือกซื้อดอกไม้จากธุรกิจที่เป็นธรรมต่อแรงงาน ผลลัพธ์คือผู้คนที่เข้าร่วมกิจกรรมเกือบทั้งหมดต่างสนับสนุนข้อเรียกร้องเหล่านี้และเห็นตรงกันว่าแรงงานควรได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

ผลตอบรับชัดเจน ผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 90% ไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนงานในไร่กุหลาบคือแรงงานข้ามชาติ และเกือบทั้งหมดสนับสนุนให้แรงงานกลุ่มนี้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น ค่าจ้างขั้นต่ำ ชั่วโมงการทำงาน และสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ไปจนถึง ความปลอดภัยด้านอาชีวอนามัย เช่น การจัดที่พักห่างจากแปลง การมีน้ำสะอาด และอุปกรณ์ป้องกันสารเคมี รวมทั้งเรียกร้องให้ผู้บริโภคเลือกซื้อจากธุรกิจที่เป็นธรรมต่อแรงงาน
เสียงจากแรงงานเองสะท้อนตรงกัน ว่าพวกเขาภูมิใจในงานที่ทำ แม้จะเป็นงานที่แทบไม่มีใครเห็นบนภูเขาหรือในไร่ห่างไกล หลายคนเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิหรือค้ามนุษย์ แต่ก็อยากบอกเล่าเรื่องราวชีวิตให้สังคมรับรู้ แม้ต้องปกปิดอัตลักษณ์เพื่อความปลอดภัย
“ข้อมูลแบบนี้หาไม่ได้จากหน้าจอหรือ AI ต้องมาจากการลงพื้นที่จริง เพื่อสร้างความไว้วางใจกับผู้ที่เป็นเจ้าของสิทธิ” กิ่งยังย้ำถึงหัวใจสำคัญของการทำแคมเปญ ซึ่งไม่ใช่แค่การสื่อสาร แต่คือการทำงานกับชุมชนอย่างใกล้ชิด โดยเป้าหมายต่อไปของแคมเปญนี้คือการทำวิจัยด้านสุขภาพแรงงานที่สัมผัสสารเคมีต่อเนื่อง และการผลักดันให้กฎหมายแรงงานครอบคลุมแรงงานภาคเกษตรอย่างแท้จริง
‘สมรสเท่าเทียม’ การต่อสู้ที่สะสมชัยชนะทีละนิด
อีกหนึ่ง movement ที่กิ่งรักและติดตามคือ สมรสเท่าเทียม เพราะกิ่งเห็นว่ามันไม่ใช่แคมเปญระยะสั้น แต่เป็นการต่อสู้ที่สั่งสมมาหลายสิบปี ผ่านความยากลำบาก การต่อต้านด้วยอคติ ความไม่เข้าใจ และกรอบของวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ในสังคมไทย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความเข้าใจในความหลากหลายก็ค่อยๆ เบ่งบานขึ้น กิ่งบอกว่าชัยชนะของการได้มาซึ่งกฎหมายสมรสเท่าเทียมคือการสะสมพลังรุ่นต่อรุ่น ค่อยๆ พูด ค่อยๆ เคลื่อน
“กฎหมายที่เพิ่งผ่านเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นนะ รากของมันคือการต่อสู้ที่ยังไม่จบ เช่น กฎหมายรองรับอัตลักษณ์ทางเพศ การระบบสุขภาพที่ไม่ยอมรับคนข้ามเพศ หรือแม้แต่ระบบการศึกษาที่ไม่พูดถึงความหลากหลายทางเพศเลย”

กิ่งบอกว่าทุกเรื่องสามารถเป็นแคมเปญได้ อยู่ที่ว่าใครจะหยิบไปทำ และกิ่งอยากเห็น ไม่ใช่เพียงองค์กรใหญ่ แต่เป็น คนธรรมดาที่ได้รับผลกระทบจริงๆ ลุกขึ้นมาสื่อสารเรื่องราวของตัวเอง
Daybreaker Network ปีที่ 2 พื้นที่เรียนรู้เพื่อคนอยากเปลี่ยนสังคม
จากประสบการณ์ทำงานจริงในหน้างาน กิ่งกลายมาเป็นหนึ่งใน พี่เลี้ยงของโครงการ Daybreaker Network ปีที่ 2 ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนตุลาคมนี้ ไปพร้อมๆ ความร่วมมือกับ Amnesty International Thailand (AITH) ในการออกแบบหลักสูตร เพื่อให้การสื่อสารของคุณส่งเสียงออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

สิ่งที่พิเศษคือ คลาสเรียนนี้สอนโดย “เจ้าของพื้นที่ เจ้าของประเด็น” จาก 4 ภูมิภาค ได้แก่ ยะลา ชลบุรี เชียงใหม่ และอุตรดิตถ์ เพราะอยากแก้ปัญหาเดิมๆ เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา งานแคมเปญและการสนับสนุนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ ทิ้งให้ข้อจำกัดและความจริงของผู้คนในพื้นที่อื่นๆ มักถูกละเลยหรือมองไม่เห็น การเปิดพื้นที่เรียนรู้ครั้งนี้จึงเหมือนการขยับทรัพยากร ความรู้ และโอกาสออกไปสู่ท้องถิ่น เพื่อให้คนในแต่ละภูมิภาคได้ออกแบบการรณรงค์ที่สะท้อนชีวิตจริงของพวกเขาเอง
คลาสเรียนนี้เป็น คลาสออนไลน์ เรียนได้จากทุกที่ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย และยังมีโอกาสได้รับทุนสนับสนุนทำแคมเปญจริง ร่วมกับโค้ชที่คุณเลือก มูลค่ารวมกว่า 80,000 บาท สนใจสมัครได้ที่นี่
“ไม่จำเป็นต้องเป็นนักกิจกรรมมาก่อน ใครก็เป็นแคมเปญเนอร์ได้ ขอแค่คุณมีปัญหาที่อยากแก้ หรืออยากเรียนรู้วิธีคิดของนักรณรงค์ คุณก็สมัครได้เลย” กิ่งฝากถึงคนที่สนใจ
เรียนรู้ไปด้วยกันกับพี่เลี้ยง 4 คน 4 พื้นที่ 4 ประสบการณ์ 4 รูปแบบการสื่อสารที่ผ่านการนำไปปรับให้ใช้ได้จริง! Daybreaker Network ปีที่ 2 เปิดรับสมัครตั้งแต่ 5 กันยายน – 27 กันยายนนี้ กิ่งและเพื่อนๆ อีก 3 คนกำลังรอคุณอยู่ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักศึกษา คนทำงาน หรือคนที่เพียงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคม คลาสนี้จะช่วยให้คุณมีทั้งเครื่องมือและแรงบันดาลใจในการเริ่มต้น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว กิ่งเชื่อว่า คนธรรมดาก็สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...