Ma Tam Maps: ‘ว้า’ ในโซเมีย ดินแดนไร้รัฐกับพันธมิตรจีน 

เรื่อง: สมหมาย ควายธนู

‘ว้า’ ที่เขียนถึงในที่นี้เกี่ยวข้องกับคนบนพื้นที่สูง หรือที่รู้จักกันว่า ‘ละว้า’ และ ‘ลัวะ’ ซึ่งพูดภาษาตระกูลมอญ-เขมร อาศัยอยู่ในบริเวณหุบเขาทอดยาวสลับซับซ้อนกับที่ราบในลุ่มแม่น้ำสาละวินตอนบนและแม่น้ำโขง เป็นส่วนหนึ่งในบริเวณที่สูงซึ่งนักวิชาการเรียกกันว่า ‘โซเมีย’ โดยว้ามักถูกเข้าใจว่าเป็น ‘นักล่าหัวมนุษย์’ และ ‘ผู้ผลิตยาเสพติด’ รายใหญ่ แต่อาจเปลี่ยนแปลงไปผ่านข้อมูลจากหนังสือ ‘Stories from an Ancient Land: Perspectives on Wa History and Culture’ ของ Magnus Fiskesjö นักมานุษยวิทยาชาวสวีเดนสอนประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกาได้ให้ภาพและชีวิตของ ‘ว้า’ กับอำนาจ ‘จีน’ ในแง่มุมต่างๆ ซึ่งสามารถเพิ่มความเข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในพรมแดนรอยต่อกับประเทศไทยที่คุกรุ่นอยู่ไม่มากก็น้อย

A book cover with a landscape

Description automatically generated
หนังสือ Stories from an Ancient Land: Perspectives on Wa History and Culture โดย Magnus Fiskesjö

ชีวิตของชาวว้า

จำนวนประชากรของชาวว้าในปัจจุบันจากการสำรวจของ Minority Rights Group ประมาณแล้วมากกว่า 1 ล้านคน ชาวว้าราว 40 เปอร์เซ็นต์ตั้งถิ่นฐานอยู่ในมณฑลยูนนานของจีน และอีก 60 เปอร์เซ็นต์อยู่ในรัฐฉานของเมียนมา ชาวว้าที่เหลือส่วนหนึ่งตั้งชุมชนอยู่ในดินแดนรอยต่อรัฐคะฉิ่น ไปจนถึงในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และทางภาคเหนือของประเทศไทย

หากย้อนกลับไปในอดีต ‘ว้า’ มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงอย่างอิสระกับคนในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันเพื่อป้องกันการรุกรานจากภายนอก ขณะเดียวกันชาวว้าก็เลี้ยงชีพด้วยการทำไร่หมุนเวียน ปลูกพืชไร่ล้มลุก ทุ่งข้าวบนไหล่เขา และมีบ้างเหมือนกันที่หาของป่า ทำโลหะ
รวมไปถึงค้าขายทางบก แลกเปลี่ยนสิ่งของจากต่างถิ่นในตลาดดินแดนภายในพื้นทวีปอุษาคเนย์  ทำให้ชาวว้าได้ปรับตัวอาศัยอยู่ร่วมกับกลุ่มคนที่พูดภาษาอื่นๆ อาทิ ชาวฉานหรือชาวสยามที่พูดภาษาตระกูลไต/ไท ชาวจีน ชาวลาหู่ และชาวพม่า ฯลฯ จนพูดได้หลายภาษา แต่ว้าก็ไม่ได้ทำนาดำแบบคนบนที่ราบซึ่งมักคุมอำนาจไว้ ทำให้ยากต่อการเก็บภาษี การถูกเกณฑ์เป็นแรงงานรับใช้ของรัฐ ไปจนถึงการย้ายครัวจากที่สูงลงมาสู่ที่ราบ และเช่นเดียวกับการเร้นกายอยู่ในหุบเขาหลีกหนีการควบคุมของรัฐด้วย

ตำนานว้าล่าหัวมนุษย์

ดินแดนของว้าถูกเล่าว่าเป็นสถานที่ปิดลับอันตราย เนื่องเพราะเชื่อกันว่า ‘ว้า’ ป่าเถื่อนนิยมล่าหัวของมนุษย์ และฆ่าควายในพิธีกรรมบูชาผี รวมถึงใช้เลือดสดๆ เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลธัญญาหารเป็นประจำทุกปี ในหนังสือ ‘ชาวเขาในไทย’ ของบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ หน้า 108 พิมพ์ครั้งที่ 2 สำนักพิมพ์มติชน ก็ได้เล่าถึงสุภาษิตของชาวไทใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงกับว้าว่า “ถ้ามีวัวมีควาย อย่าขายให้พวกละว้าเป็นอันขาด” ซึ่งกันซีนไม่ให้ชาวว้านำไปเชือดเพื่อบูชาผีบรรพชนและผีไร่ผีนา และเล่าบรรยากาศในการเต้นรำล่าหัวมนุษย์ของชาวว้าไว้อย่างน่าตื่นเต้น

“… การเต้นรำ ของพวกละว้าล่าศีรษะมนุษย์เหล่านี้คล้ายๆ กับพวกอินเดียนแดงกำลังจะออกศึก คือมีจังหวะย่างเท้ากวัดแกว่งมืออย่างรวดเร็วเร่าร้อนเหมือนคนที่เสียสติไม่รู้จักความ เหน็ดเหนื่อย ส่งเสียงโห่ร้องกระทืบเท้าดังสนั่น โดยเฉพาะเวลาดีใจที่ล่าได้ศีรษะมนุษย์มาฉลองชัยชนะและพืชพันธุ์ข้าวไร่ของเขา …

 แล้วพากันกระทืบเท้าไปมารอบๆ คอยสังเกตดูว่าใบหน้าของศพยิ้มหวัวหรือเปล่า ถ้าใบหน้ามองดูแล้วช่างเศร้าโศกเสียใจ มีน้ำเหลืองไหลพรากจากขอบตา แสดงว่าพืชไร่ของเขาปีนี้ไม่ได้ผลดี แค่ถ้าใบหน้านั้นมีร่องรอยแห่งความยิ้มแย้มแจ่มใส ถือกันว่าจะปลูกข้าวไร่ได้ผลดี …”

(ยังมีตำนานว้าล่าหัวมนุษย์อีกหลายสำนวน จากสามัญชนนักค้นคว้าเรื่องชาติพันธุ์ยุคบุกเบิกอย่าง บุญช่วย ศรีสวัสดิ์, บุญสิงห์ บุญค้ำ และเสรี ชมภูมิ่ง ฯลฯ)

แต่แล้วในบทที่ 6 ‘War, Headhunting, and the Erasure of Wa History’ ของฟิสเคสโจ ดูเหมือนจะเลือกถกเถียงเรื่องตำนานการล่าหัวและการกินเนื้อมนุษย์ของชาวว้า จากการที่เขาลงสนามพูดคุยกับชาวว้าที่ล่าหัว โดยถามผู้เฒ่าชาวว้าว่าพวกเขาตัดหัวมนุษย์ไปทำไม? นักรบชาวว้าก็หัวเราะแล้วตอบว่า เขาไม่ได้ฆ่าใครโดยไม่มีเหตุผล การล่าหัวมนุษย์มักเกิดขึ้นจากการสู้รบและสงครามระหว่างกลุ่ม ทั้งบนถนนที่เตียนโล่งและในพื้นที่ของเผ่าพันธุ์ที่ไปตี การเก็บหัวของมนุษย์กลับมาด้วยนั้น เหมือนกับการได้ถ้วยรางวัลล่อใจ แต่หัวมนุษย์ที่แพ้ไม่มีศักดิ์ศรีเพียงพอ จะสามารถนำมาบูชาผีที่หอกลองประจำหมู่บ้านได้

ชายใส่ชุดสูทและถือไม้เท้าโดดเด่นในภาพ คือ Ling Shun-sheng นักชาติพันธุ์วิทยาจากสถาบัน Academia Sinica  เขาจบการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส มีผลงานศึกษาทางด้านชาติพันธุ์ต่างๆ ในพื้นทวีปและหมู่เกาะของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก คาดว่าเป็นเจ้าของภาพถ่ายจำนวนมากในการเจรจาเขตแดนจีน – เมียนมาในทศวรรษ 1930

ผู้เฒ่าหนึ่งในแหล่งข้อมูลของฟิสเคสโจยังเล่าต่อไปด้วยว่าบางกรณีว้ากับลาหู่ ปลูกข้าวและฟักทองในที่ดินติดกัน แต่แล้วฟักทองดันข้ามไปอยู่แดนลาหู่ แล้วพวกลาหู่เก็บกินจนหมด จึงเกิดการทะเลาะกันขึ้น ชาวว้าจึงฆ่าตัดหัว ด้วยเหตุผลว่าทะเลาะกันเรื่องที่ดิน ทรัพยากรพืชผล และการขยายตัวอพยพเคลื่อนย้ายของคนในสถานที่ซึ่งมีประชากรหนาแน่นบนภูเขา ที่มีทั้งญาติพี่น้องชาวว้า จีน ฉาน พม่า หรือแม้แต่ทหารอังกฤษ ที่เข้ามาใกล้ก็เป็นเหยื่อได้ แต่ก็ปฏิเสธอย่างชัดเจนเรื่องการกินเนื้อมนุษย์

ฟิสเคสโจยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับพิธีกรรมบูชาผีที่หอกลอง เสาประจำหมู่บ้าน พิธีกรรมการตัดหางวัว และตรวจสอบเอกสารต่างๆ ซึ่งเขามองว่าการล่าหัวมนุษย์ไม่ได้มีอะไรน่าทึ่ง เพราะจีนเองก็เคยมีการฝึกฝนการล่าหัวในการสงคราม แต่สำหรับเรื่อง ‘ว้า’ ล่าหัวและกินเนื้อมนุษย์นั้น เขาเชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นเพราะอังกฤษและจีนมีมุมมองต่อชาวว้าและถนนที่มีเสาติดหัวกระโหลกรอบหมู่บ้าน เป็นสิ่งที่ไม่ทันสมัยและเป็นพวกไม่มีอารยธรรมในช่วงล่าอาณานิคมนี่เอง​​

เปิดแผนกลืน ‘ว้า’ ของพญามังกร

หมู่บ้านในรัฐว้า ฝั่งเมียนมา ภาพจาก Evangelos Petratos EU/ECHO

แม้ว่าจะดูเสี่ยงในทีแรก แต่แล้วความหอมหวานของทรัพยากรธรรมชาติ ก็อดไม่ได้ที่จะดึงดูดการเดินทางเข้ามาของพ่อค้า นักสำรวจ นักลงทุนและทหารจากรัฐบาลทั้งอังกฤษกับจีน ต่างต้องการเข้าถึงเหมืองโลหะทั้ง ทองคำ เงิน ดีบุก ตะกั่ว ฯลฯ และการควบคุมพืชมียางชั้นดีอย่างฝิ่นที่มักปลูกขึ้นในดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุ บนภูเขาสูงของดินแดนว้าซึ่งพบเจอในตลาดซื้อขายของชั้นดีในจีน ในบทที่ 4 ของหนังสือเล่มนี้ก็ได้เล่าถึงกระบวนการทำเหมือง ปลูกฝิ่น การจัดการระบบทาสและลำดับชั้นทางสังคมของชาวว้าไว้เหมือนกัน เพื่อย้ำว่าในอดีตสังคมของว้าไม่ได้เป็นรัฐมีเพียงกองกำลังและอาวุธเพียงเท่านั้น 

หากย้อนกลับไปถึงการเข้ามาของอังกฤษในการปกครองเมียนมา ‘ว้า’ ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองใดๆ จากทั้งฝั่งจีนและเมียนมา ขณะเดียวกันเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษก็มีความพยายามที่จะกำหนดเขตแดน เมียนมา – จีนครั้งแรกขึ้นแต่แล้วก็ล้มเหลว เมื่อนั้นอังกฤษจึงค่อยๆ เคลื่อนคลายเข้ามาแทรกแซงการจัดการทรัพยากร ถึงขั้นว่ามีความพยายามในการกำหนดเขตแดนเพื่อควบคุมพื้นที่ว้า ในกรณีเหมืองตะกั่วบันฮง (Banhong ใกล้กับเหมืองเงินขนาดใหญ่ Mangleng) ในการบริหารงานของว้าที่สร้างกองตะกรันจำนวนมาก เมื่ออังกฤษเข้ามาแทรกแซงและทำลายหมู่บ้านต่างๆ ตั้งใจจะยึดเหมืองจึงเกิดการต่อต้านจากว้า การสำรวจเขตแดนครั้งที่ 2 ระหว่างจีนกับอังกฤษจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ภาพจาก สำนักงานจดหมายเหตุมณฑลยูนนาน (云南省档案局)(馆) เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 1936 Fang Guoyu นักประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ในมณฑลยูนนาน ได้รวบรวมตราประทับของหัวหน้าเผ่ากาว้าของเทือกเขาว้าในมณฑลยูนนาน ในช่วงการสำรวจชายแดนยูนนาน – เมียนมาร่วมกันระหว่างจีนและอังกฤษ โดยหัวหน้าเผ่ามอบแผนที่ตราประทับให้เป็นของขวัญและเก็บไว้เป็นของที่ระลึก โดยไม่มีใครรู้ว่าตัวอักษรเหล่านี้หมายถึงอะไร แต่พวกเขาบอกว่าได้รับรางวัลจากราชวงศ์ฮั่นและเก็บรักษาไว้หลายชั่วอายุคน (ในงานของ ฟิสเคสโจ กล่าวว่าการเพิ่มคำว่า ‘ka’ ลงไปในหน้าชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ของจีนและฉาน มีความหมายในเชิงเหยียดหยาม)

ในงานของฟิสเคสโจได้เปิดเผยถึงบางสิ่งที่แอบแฝงมาจากการปักปันเขตแดน ระหว่างจีนกับเมียนมา ในช่วงกลางทศวรรษ 1930 ซึ่งเกิดขึ้นโดยคณะกรรมการชายแดนขององค์กรสันนิบาตชาติเป็นผู้จัดหากองทหาร ร่วมฝ่ายจีนและอังกฤษ โดยให้นักวิชาการอย่าง หลิง ชุนเซิง (Ling Shun-sheng) เป็นหนึ่งในนักชาติพันธุ์วิทยาผู้แทนหลักจาก Academia Sinica ไปยังดินแดนว้าได้สำรวจเกี่ยวกับพื้นที่ล่าหัวของมนุษย์และถ่ายภาพจำนวนมาก กับฟาง กัวหยู (Fang Guoyu) อาจารย์แห่งสาขาวิชาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ มหาวิทยาลัยยูนนานร่วมศึกษาพื้นที่ว้าอย่างใกล้ชิด น่าเสียดายที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เข้ามาขัดขวางการเจรจาเขตแดนครั้งที่ 2 จึงจบลง 

ภาพจาก Guangdong Southern Weekend (จากซ้ายไปขวา) Fang Guoyu และ  Lin Chaomin สองนักวิชาการทางด้านประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ มหาวิทยาลัยยูนนาน ในบทที่ 7 ได้เล่าถึงการเดินทางสำรวจข้อมูลในหมู่บ้านว้าแถบชายแดนจีน – เมียนมาของฟาง กัวหยู โดยเขายอมรับในคำนำของงานศึกษาเรื่องว้าในราวทศวรรษ 1930 ว่าเขาไม่สามารถอยู่ได้นานในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเลยภายในเขตของว้า เพราะมักถูกบังคับให้ย้ายออกไปพร้อมกับทหาร

แต่ไม่นานเกินรอ รัฐบาลจีนก็ได้ส่งกองทัพปลดแอกประชาชนมาควบคุม และค่อยๆ เคลื่อนตัวผนวกดินแดนของชาวว้าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลจีนในช่วงต้นทศวรรษ 1950 พร้อมให้การสนับสนุนทีมนักวิชาการเพื่อทำงานร่วมกับทหารได้สร้างการกระตุ้นให้เกิดความรักชาติจีนอย่างเข้มข้น แต่หน้าที่หลักจริงๆ คือการสำรวจความสัมพันธ์ทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในพื้นที่ชายแดน เช่น ชาวว้า ชาวคะฉิ่น ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความกังวลถึงการควบคุมผู้คนในเส้นเขตแดนของจีน

‘ว้า’ ถูกเปลี่ยนเมื่อรัฐ ‘อ่าน’ ออก

หลังจากนั้นในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ระหว่างรัฐบาลจีน และรัฐบาลเมียนมาที่เพิ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษก็มีการลงนามสนธิสัญญาเขตแดน เสร็จสิ้นลง ชาวว้าได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการทั้งในพม่าและจีนในฐานะชนกลุ่มน้อยที่ได้ รับสิทธิปกครองตนเอง พื้นที่ชาวว้าทางฝั่งเมียนมาได้รับการยอมรับในปัจจุบันว่าเป็นเขตปกครองพิเศษหรือรัฐว้า และมีกองกำลังติดอาวุธของตนเอง คือ กองทัพสหรัฐว้า (UWSA)

ในงานของฟิสเคสโจยังเล่าถึงแผนของรัฐบาลจีนต่อโครงการศึกษาชาติพันธุ์ว้าในราวปี 1956 – 1958 มีจุดประสงค์เพื่อควบคุมพื้นที่ของจีนและผลักดันการปฏิรูปทางสังคมและเศรษฐกิจที่วางแผนไว้ โดยครอบคลุมถึงพื้นที่ที่ได้รับการยืนยันในภายหลังว่าเป็นดินแดนของพม่า หรือ รัฐว้า ในปัจจุบัน โดยได้พยายามกลืนกลายผ่านนโยบายต่างๆ แม้แต่เรื่องชื่อบุคคลของว้าก็ให้เปลี่ยนไปเป็นแบบจีนและต่อมามีการส่งออกผู้หญิง และเด็กเข้าไปเป็นแรงงานในบ้านของคนจีน ซึ่งได้ทำลายความสามารถในการมีส่วนร่วมทางการเมืองในฐานะกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอำนาจอธิปไตยอย่างมหาศาล

A group of men shaking hands

Description automatically generated
ภาพจาก Wikipedia (中緬南段未定界) นายพลเนวิน ผู้นำเผด็จการเมียนมาเยือนจีนหารือกับโจวเอินไหล ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในข้อตกลงระหว่างรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนและรัฐบาล สหภาพพม่าว่าด้วยปัญหาเขตแดนระหว่างสองประเทศ และสนธิสัญญามิตรภาพและการไม่รุกรานระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและ สหภาพพม่า ในเดือนมกราคม ปี 1960 

พร้อมกับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไร่ในรัฐว้าให้กลายเป็นพื้นที่ปลูกข้าวสาลีและฝิ่นบนที่สูง และให้ชาวว้าเปลี่ยนอาหารเป็นก๋วยเตี๋ยวและขนมปัง แต่แล้วชาวว้าก็ไม่เต็มใจที่จะทำ เพราะพวกเขากินข้าวไร่เป็นอาหารหลักและยังใช้ในการผลิตเบียร์ข้าวว้าซึ่งมีความสำคัญต่อพิธีกรรมในสังคม  ความน่าสนใจในส่วนนี้อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงพื้นที่อย่างไร่หมุนเวียนที่ตรวจสอบจากรัฐได้ยากนั้นให้กลายเป็นพื้นที่แบบนาขั้นบันไดที่คงที่และมีระบบชลประทานที่แน่นอน พร้อมผลักดันให้คนจีนในที่ราบขึ้นไปอยู่ในพื้นที่สูง ทำให้ดินแดนทางตะวันออกของว้าได้กลายเป็นพื้นที่ขุดเอาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงผู้ประกอบการและนักลงทุนด้านเหมืองแร่ของจีนจำนวนมากต่างก็ฝังตัวอยู่ในรัฐว้าในเมียนมาด้วย

สถานการณ์ปัจจุบัน

ท้ายที่สุดหนังสือ Stories from an Ancient Land: Perspectives on Wa History and Culture ของ Magnus Fiskesjö ได้ชี้ให้เห็นถึงเรื่องของ ‘ว้า’ ชาติพันธุ์ในโซเมียกับการปรับตัวในพรมแดนของรัฐชาติสมัยใหม่จากคำถามว่า ว้ามีอำนาจในการกำหนดชะตากรรมชีวิตของตนเองอย่างไร?

ขณะเดียวกันตั้งแต่ปลายปี 2024 สถานการณ์ชายแดนทางภาคเหนือของประเทศไทย กองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army-UWSA) หรือ ‘ว้าแดง’ ได้เข้ามาตั้งฐานทัพรุกล้ำเข้ามาในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ยังตกลงเจรจาเขตแดนไม่เสร็จสิ้น อีกด้านพรมแดนรอยต่อแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย แม่น้ำที่ไหลจากเมียนมาเข้ามาสู่ประเทศไทย ผ่านจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย เครือข่ายภาคประชาชนได้ตรวจสอบพบโลหะหนักและสารหนูปนเปื้อนในน้ำ ได้สร้างผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และความอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของผู้คนและสรรพสัตว์ที่ใช้น้ำในการอุปโภค บริโภคอย่างมหาศาล

จากการติดตามข้อมูลและการสำรวจภาพถ่ายทางอากาศจากสื่อหลายสำนัก ทำให้เข้าใจว่าการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ตอนบนของแม่น้ำกก เกิดจากการลงทุนของนักธุรกิจชาวจีนจับมือกับกองทัพสหรัฐว้า เพื่อสร้างรายได้จากการค้าทรัพยากรแร่ธาตุ  ซึ่งท่าทีต่อการจัดการปัญหาของรัฐบาลไทยต่อพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย รวมไปถึงนโยบายที่จะนำไปสู่การเจรจาเรื่องเหมืองและสารพิษกับว้า เมียนมา และจีน อย่างจริงจังนั้นยังไม่มี และยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยมาสู่พลเมืองผู้อาศัยอยู่ในดินแดนประเทศไทยได้ 

*ขอบคุณทุกความช่วยเหลือจากนพรุจ ศรีรัตน์สิริกุล และธัญลักษณ์ ทองสุข

*แม้ว่าปัจจุบัน Magnus Fiskesjö จะสนใจติดตามเรื่องราวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของจีนต่ออุยกูร์ซินเจียงเป็นหลัก แต่ทว่าในหนังสือของเขาได้ทิ้งลายแทงชุดภาพถ่ายกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง ว้า, ได, ลาหู่, จ้วง, ไป๋, แม้ว, ทิเบต ฯลฯ ซึ่งถ่ายขึ้นในช่วงเจรจาเขตแดนระหว่างจีนกับพื้นที่เมียนมาในอาณานิคมของอังกฤษ ราวทศวรรษ 1930 – 1950 โดยสามารถเปิดเข้าชมและใช้งานคลังภาพดิจิทัลของสถาบันประวัติศาสตร์และภาษาศาสตร์ (Academia Sinica) ในไทเป ไต้หวัน  สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ndweb.iis.sinica.edu.tw/ 

อ้างอิง

http://www.360doc.com/content/22/0721/22/27794381_1040769836.shtml

http://www.360doc.com/content/21/0912/20/9305059_995212387.shtml

ข่าวที่เกี่ยวข้อง