ฝายดักตะกอนหรือดักชีวิต? เมื่อสิทธิของคนริมกกยังถูกท้าทายด้วยสารพิษและความไม่แน่นอนของรัฐ

Date:

เรื่องและภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

5 ตุลาคม 2568 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คลินิกกฎหมายสิ่งแวดล้อม (ELC CMU) จัดเสวนา ‘Maekok’s Right Matters สิทธิบนสายน้ำกก’ เพื่อเปิดเวทีพูดคุยถึงปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกกจากกิจกรรมเหมืองแร่ในเมียนมา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบของรัฐบาลไทย

‘ทำไมต้องเอาสารพิษมากองไว้ที่เรา’ คนท่าตอนตั้งคำถามโครงการรัฐ ห่วงสารพิษกระทบวิถีชีวิตริมกก

พระอาจารย์มหานิคม มหาภินิกฺขมโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ สะท้อนความกังวลของชุมชนท่าตอนที่มีต่อทัศนคติและการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐในการแก้ไขปัญหา โดยชี้ให้เห็นว่าคนท่าตอนมีความผูกพันกับน้ำกก เพราะอยู่กับแม่น้ำมาตั้งแต่เกิด ทำให้มีมุมมองต่อปัญหาต่างจากหน่วยงานรัฐ

“เราเสียใจที่น้ำกกถูกทำลาย น้ำกกไม่ใช่แค่แม่น้ำ แต่เป็นทั้งวิถีชีวิตและแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค หากคนรุ่นใหม่ไม่สามารถใช้น้ำกกได้ เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ และต้องการให้มีการวางแผนที่ชัดเจน ทั้งในด้านแนวทางปฏิบัติและข้อกฎหมาย” พระอาจารย์มหานิคมกล่าว

ชาญชัย ศรีวชิรพันธ์ อดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าตอน กล่าวถึงสถานการณ์แม่น้ำกกว่า ชุมชนท่าตอนซึ่งมี 15 หมู่บ้านและหลากหลายชาติพันธุ์ พึ่งพาแม่น้ำกกเพื่อการเพาะปลูกและดำรงชีวิตมานาน แต่ปัจจุบันเริ่มได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของสายน้ำ หลังเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อวันที่ 9–10 กันยายน 2567 ที่พัดพาตะกอนและทรายจำนวนมากจนทำให้น้ำขุ่น สาเหตุหลักมาจากกิจกรรมเหมืองแร่เหนือแม่น้ำกก รวมถึงเหมืองแรร์เอิร์ธ 6 แห่ง ส่งผลให้วิถีชีวิต การค้าขาย และประเพณีสำคัญของชุมชนต้องหยุดชะงัก 

เขาระบุว่า วันที่ 5 มิถุนายน 2568 ชุมชนได้ยื่นหนังสือถึงสถานทูตเมียนมาร์และจีนเพื่อให้เร่งแก้ไขปัญหา แม้รัฐบาลเตรียมสร้างฝายดักตะกอน 4 แห่ง แต่เขามองว่ายังไม่ใช่มาตรการที่เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่และการไหลของน้ำกก 

“น้ำกกไหลแรงและพัดตะกอนลงชุมชนอย่างรวดเร็ว เราจึงตั้งคำถามว่า ทำไมถึงต้องเอาสารพิษและตะกอนเหล่านี้มากองไว้ที่พวกเรา” ชาญชัยกล่าว

เสหละ ลิโป ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบจากบ้านผาใต้ ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงผลกระทบที่ชุมชนได้รับจากปัญหาน้ำกกและโครงการสร้างฝายดักตะกอนว่า เมื่อก่อนชาวบ้านมีวิถีชีวิตผูกพันกับแม่น้ำกก ใช้น้ำเพื่อทำการเกษตรและหาปลาเลี้ยงชีพ แต่หลังจากทราบข่าวว่าจะมีการสร้างฝายดักตะกอนบริเวณหน้าบ้าน ก็เริ่มกังวลถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในอนาคต 

“เมื่อก่อนเราปลูกข้าวกิน แบ่งให้ญาติพี่น้องและขาย ส่วนใหญ่ก็หากินกับปูปลาตามแม่น้ำ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ ขายก็ไม่ได้ กระทบวิถีชีวิตไปหมด” เสหละกล่าว พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามาดูแลและให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะเรื่องการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมที่ผ่านมา

ฝายดักตะกอนลำน้ำกก โครงการแก้ปัญหาที่อาจสร้างปัญหาใหม่

มนตรี จันทรวงศ์ จาก The Mekong Butterfly เผยว่า โครงการ ‘ฝายดักตะกอนลำน้ำกก’ มีจุดเริ่มจากการตั้งคณะทำงานภายใต้การกำกับของ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เพื่อศึกษาวิธีลดปัญหาน้ำเสียและตะกอนปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกก เดิมโครงการเสนอสร้างฝาย 10 แห่ง และใช้พื้นที่หนองน้ำของชุมชนอีก 8 แห่ง วงเงินกว่า 8,000 ล้านบาท แต่ถูกวิจารณ์อย่างหนักจนต้องชะลอ ก่อนกลับมาผลักดันอีกครั้งในรูปแบบใหม่ สร้างเพียง 4 แห่ง มูลค่ารวมราว 173 ล้านบาท

“ถ้ามองกันแบบง่ายๆ ฝายดักตะกอนก็คือสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งใจให้ชะลอน้ำและดักตะกอนจากแม่น้ำ เพื่อให้ตะกอนตกอยู่ในบ่อพักก่อนที่น้ำจะไหลต่อไปยังพื้นที่ปลายน้ำของเชียงราย แต่คำถามคือ การทำบุญให้ระบบนิเวศปลายน้ำแบบนี้ มันถูกต้องหรือไม่ เพราะคนที่ต้องรับผลกระทบคือชาวบ้านที่อยู่ต้นน้ำ ซึ่งต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของระบบน้ำโดยตรง”

ตามแบบแปลนของกรมทรัพยากรน้ำ ฝายแต่ละแห่งยาวประมาณ 200 เมตร สูงราว 5 เมตร พร้อมติดตั้งม่านและเครื่องสูบตะกอนขึ้นสู่บ่อพักริมแม่น้ำ แต่พื้นที่ก่อสร้างบางจุดอยู่ในเขตน้ำหลาก ซึ่งอาจทำให้เครื่องจักรและบ่อเก็บตะกอนเสียหายได้ หากน้ำท่วมเกินระดับคาดการณ์

มนตรีตั้งข้อกังวลเพิ่มเติมว่า ตะกอนที่สะสมเหนือฝายอาจกลายเป็น ‘ตะกอนพิษ’ เพราะน้ำจากรัฐฉานมีการปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักจากเหมือง เมื่อฝายชะลอการไหลของน้ำ ตะกอนเหล่านี้จะตกค้างมากขึ้นและถูกพัดพาไปยังพื้นที่เกษตรกรรมของเชียงรายในฤดูน้ำหลาก 

“เรารู้แล้วว่ามีสารหนูอยู่ในตะกอนจากแม่น้ำกก แต่ยังมีสารอื่นๆ อีกมากที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ เมื่อฝายสร้างเสร็จ ตะกอนพวกนี้จะตกอยู่ตรงหน้าฝายและเต็มภายในไม่กี่ปี แล้วเมื่อเครื่องสูบทำงานได้เพียงช่วงฤดูแล้ง 4 เดือน ก็ไม่อาจรับประกันได้เลยว่าจะกำจัดสารพิษออกได้มากน้อยแค่ไหน”

อีกประเด็นที่น่ากังวลคือ การจัดการของเสีย เนื่องจากแผนเบื้องต้นระบุว่าจะขนตะกอนไปฝังกลบที่จังหวัดสระบุรี แต่มนตรีตั้งคำถามว่า “ถ้าวันหนึ่งชาวสระบุรีไม่ยอมรับของเสียเหล่านี้ รัฐจะทำอย่างไรต่อ ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเลย”

แม้โครงการนี้จะไม่เข้าข่ายต้องทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เพราะขนาดไม่ถึงเกณฑ์ตามกฎหมาย แต่มนตรีเห็นว่า หน่วยงานรัฐควรจัดทำรายงานอย่างโปร่งใสและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอย่างแท้จริง “ไม่ใช่แค่เชิญผู้นำไม่กี่คนไปประชุมแล้วถือว่าเป็นประชาคม”

เขาย้ำว่า ปัญหาหลักของแม่น้ำกกอยู่ที่ ‘ต้นทาง’ จากเหมืองในรัฐฉาน ไม่ใช่ ‘ปลายน้ำ’ ที่เชียงราย “เรากำลังสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ที่ไม่แน่ใจว่าจะได้ผล ทั้งที่สิ่งจำเป็นคือการเจรจากับฝั่งเมียนมาและบริษัทเหมือง เพื่อหยุดปล่อยของเสียตั้งแต่ต้นทาง”

มนตรีเสนอข้อพิจารณา 4 ประการ คือ

  1. รัฐต้องศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการอย่างรอบด้าน พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นของชุมชนอย่างแท้จริง
  2. ต้องเปิดเผยงบประมาณทั้งหมดอย่างโปร่งใส โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการจัดการตะกอนและการชดเชยผลกระทบ
  3. ต้องมีข้อมูลชัดเจนว่าฝายสามารถลดตะกอนและสารโลหะหนักได้จริงในสัดส่วนเท่าใด รวมถึงต้นทุนการกำจัดตะกอนต่อหน่วย
  4. โครงการทุกแห่งต้องประเมินผลกระทบต่อพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตร และสุขภาพของประชาชน เนื่องจากฝายจะทำให้น้ำไหลช้าลงและเกิดการตกตะกอนเพิ่มในพื้นที่เกษตรน้ำท่วมถึง

มนตรีทิ้งท้ายว่า โครงการนี้อาจกลายเป็นเพียง ‘การทดลองทางเทคนิคของรัฐ’ ที่ใช้ชีวิตและสิ่งแวดล้อมของชาวบ้านเป็นเดิมพัน “ชีวิตของผู้คนและระบบนิเวศไม่ควรถูกใช้เป็นสนามทดลองของนโยบายที่ยังไม่มีข้อมูลรองรับ” เขากล่าว

ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ข้อสังเกตต่อห่วงโซ่อุปทานและการตรวจสอบย้อนกลับเหมืองแรร์เอิร์ธจากเมียนมา

กรกนก วัฒนภูมิ จาก EarthRights International (ERI) เปิดเผยถึงความซับซ้อนของ ‘ห่วงโซ่อุปทานแร่แรร์เอิร์ธ’ ที่เชื่อมโยงตั้งแต่เหมืองในรัฐฉานของเมียนมา ไปจนถึงโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์พลังงานสะอาดในจีน ยุโรป และสหรัฐฯ

“เรามักคิดว่าพลังงานสะอาดคือสิ่งดีต่อโลก แต่เบื้องหลังของมันอาจไม่สะอาดอย่างที่คิด” เธอกล่าว พร้อมอธิบายว่าแร่หายากกว่า 17 ชนิด เช่น ดิสโพรเซียม (Dysprosium) และ เทอร์เบียม (Terbium) ถูกใช้ในแทบทุกสิ่งรอบตัว  ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม ไปจนถึงอาวุธยุทธภัณฑ์

แต่ในขณะที่ผู้บริโภคทั่วโลกชื่นชมเทคโนโลยี ‘สีเขียว’ คนต้นน้ำกลับต้องเผชิญมลพิษรุนแรง จากผลตรวจน้ำและดินบริเวณแม่น้ำกกโดยทีมของ อาจารย์ธนพล เพ็ญรัตน์ มหาวิทยาลัยนเรศวร พบ ‘รอยนิ้วมือของธาตุดิสโพรเซียม’ ที่ตรงกับแร่จากเหมืองในรัฐคะฉิ่น เมียนมา ถือเป็นหลักฐานชัดว่ามลพิษได้ข้ามพรมแดนมาถึงไทยแล้ว

กรกนกระบุว่า จีนควบคุมเหมืองแรร์เอิร์ธทั่วโลกกว่า 70% และเป็นผู้ดำเนินกระบวนการสกัดกว่า 85% ก่อนส่งวัตถุดิบไปยังโรงงานในยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยเฉพาะเยอรมนีซึ่งเป็นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลม “จีนไม่เพียงเป็นผู้ผลิต แต่ยังเป็นผู้ใช้รายใหญ่ของโลก แร่เหล่านี้อยู่ในรถยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เราถืออยู่ทุกวัน”

อย่างไรก็ตาม เส้นทางของแร่เหล่านี้ยัง ขาดระบบตรวจสอบย้อนกลับที่โปร่งใส ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญต่อ ‘หลักการธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UNGP)’ โดยเฉพาะข้อ 17 ที่กำหนดให้ทุกบริษัทต้องทำ ‘การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence)’ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนตลอดห่วงโซ่การผลิต

ประเทศในยุโรปเริ่มออกกฎหมายรับมือ เช่น เยอรมนีมี Supply Chain Due Diligence Act ที่บังคับให้บริษัทตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกและเปิดช่องให้ผู้ได้รับผลกระทบร้องเรียนได้ ขณะที่สหภาพยุโรปเตรียมบังคับใช้ Corporate Sustainability Due Diligence Directive (CSDDD) ในปี 2027 รวมถึงกฎหมายเฉพาะด้านแบตเตอรี่ เพื่อให้ตรวจสอบได้ว่าแร่ที่ใช้มาจากแหล่งที่รับผิดชอบ

ในเอเชีย จีนมีกฎหมาย Rare Earth Management Regulation บังคับให้ผู้ผลิตรายงานข้อมูลการผลิตทุกเดือน แต่กฎหมายนี้ใช้ได้เฉพาะภายในประเทศ ไม่ครอบคลุมเหมืองของบริษัทจีนในต่างแดน เช่น ในเมียนมา 

“นี่คือปัญหาหลักของระบบกำกับดูแลที่ไม่ข้ามพรมแดน เพราะมลพิษจากเหมืองไม่ได้หยุดอยู่ที่ชายแดน แต่ส่งผลต่อชีวิตผู้คนในประเทศเพื่อนบ้านด้วย” กรกนกกล่าว

เธอเสนอให้ประเทศในภูมิภาค รวมถึงไทย ต้องมี ‘กลไกข้ามพรมแดน’ เพื่อจัดการผลกระทบจากการลงทุนและอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขงและชายแดนไทย–เมียนมา 

“ระบบตรวจสอบย้อนกลับต้องไม่ใช่เรื่องสมัครใจของเอกชน แต่รัฐควรกำหนดเป็นมาตรฐาน และเปิดช่องให้ประชาชนร้องเรียนหรือฟ้องร้องได้”

กรกนกทิ้งท้ายว่า บริษัทปลายน้ำที่ได้กำไรจากสินค้าเทคโนโลยีต้องร่วมรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชนต้นน้ำ พร้อมฝากถึงผู้บริโภคทั่วโลกว่า

“อย่าดูแคลนสิทธิของผู้ซื้อ ถามกลับไปยังบริษัทว่า คุณแน่ใจหรือไม่ว่าสินค้าที่อยู่ในมือคุณ ไม่ได้มาจากเหมืองในรัฐฉานที่กำลังทำลายชีวิตผู้คนอยู่ตอนนี้”

สิทธิของแม่น้ำข้ามพรมแดน หน้าที่รับผิดชอบของรัฐและกลไกฟื้นฟูแม่น้ำสายโขง

อริศรา เหล็กคำ จากสำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่า ขณะนี้พบการปนเปื้อนในแม่น้ำปก ลำน้ำระหว่างประเทศที่เชื่อมโยงถึงแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงในจังหวัดเชียงราย โดยค่ามลพิษบางจุดสูงเกินมาตรฐาน จนนำไปสู่คำถามสำคัญว่า แม่น้ำเองมีสิทธิได้รับการคุ้มครองหรือไม่ และ รัฐที่ปล่อยให้เกิดมลพิษไหลข้ามแดนควรรับผิดชอบเพียงใด

เธออธิบายว่าแนวคิด ‘สิทธิของแม่น้ำ (Rights of Rivers)’ กำลังได้รับความสนใจทั่วโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เกิดจากการเคลื่อนไหวของชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมืองที่ต้องการให้ธรรมชาติได้รับการคุ้มครองในฐานะ ‘สิ่งมีชีวิต’ ไม่ใช่เพียงทรัพยากรที่ถูกใช้ประโยชน์ฝ่ายเดียว

ตัวอย่างสำคัญคือ นิวซีแลนด์ ซึ่งออกกฎหมายรับรองสิทธิของ ‘แม่น้ำวังกานุย’ (Whanganui River) ในปี 2017 ให้มีสถานะทางกฎหมายเทียบเท่ามนุษย์ พร้อมแต่งตั้ง “ผู้พิทักษ์แม่น้ำ” จากทั้งรัฐและชุมชน ภายใต้ปรัชญา “I am the river, and the river is me – ข้าคือแม่น้ำ และแม่น้ำก็คือข้า”

ขณะที่ โคลอมเบีย และ สเปน ก็มีคำพิพากษาและกฎหมายรับรองสิทธิของแม่น้ำและระบบนิเวศเช่นกัน หลังเกิดมลพิษจากเหมืองทองและการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนที่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก กระแสนี้ขยายสู่ระดับสากล เมื่อเครือข่าย Earth Law Center ผลักดัน “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิของแม่น้ำ (Universal Declaration of the Rights of Rivers)” กำหนดสิทธิพื้นฐาน 6 ประการ ได้แก่

1. สิทธิในการไหลตามธรรมชาติ

2. สิทธิในการคงความสมบูรณ์ทางนิเวศ

3. สิทธิที่จะปราศจากมลพิษ

4. สิทธิในการหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างยั่งยืน

5. สิทธิในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ 

6. สิทธิในการฟื้นฟูสภาพ

“แนวคิดนี้ทำให้เรามองธรรมชาติไม่ใช่เพียงทรัพยากร แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกับมนุษย์” อริศรากล่าว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน กฎหมายระหว่างประเทศยังไม่รับรองสิทธิของแม่น้ำในระดับข้ามพรมแดน มีเพียง ‘หลักการไม่ก่อให้เกิดความเสียหายข้ามแดน’ (No-Harm Principle) ที่ถือเป็นจารีตระหว่างประเทศ กำหนดให้รัฐมีสิทธิใช้ทรัพยากรของตนได้ ตราบเท่าที่ไม่สร้างผลกระทบต่อรัฐเพื่อนบ้าน

หลักการนี้ถูกยืนยันผ่านหลายคดีของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เช่น คดี Trail Smelter ระหว่างสหรัฐฯ กับแคนาดา ที่สั่งให้รัฐชดใช้มลพิษข้ามแดน, คดี คอสตาริกา–นิการากัว ที่ศาลตัดสินให้ชดใช้ค่าเสียหายจากการเบี่ยงทางน้ำโดยไม่ทำรายงาน EIA และคดี โรงงานกระดาษอุรุกวัย–อาร์เจนตินา ที่ศาลย้ำว่าการทำ EIA เป็นพันธกรณีระหว่างประเทศ

“กรณีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉานก็สามารถใช้หลักการเดียวกันนี้ เพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐเมียนมาหรือผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานได้” เธอกล่าว พร้อมเน้นว่าการจัดทำฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อใช้พิสูจน์ความเสียหายและผลักดันกระบวนการชดเชยหรือฟื้นฟู

อริศราเสนอให้ไทย ผลักดันประเด็นมลพิษข้ามพรมแดนเข้าสู่เวทีอาเซียน โดยเฉพาะการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมเดือนตุลาคมนี้ เพื่อสร้างนโยบายร่วมว่าด้วยการจัดการแร่และมลพิษข้ามแดนให้สอดคล้องกับหลักสากล และจัดตั้งกลไกตรวจสอบร่วมระดับภูมิภาค

“การเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมชายแดนไม่ควรเป็นภาระของชุมชนเพียงลำพัง รัฐต้องร่วมรับผิดชอบในฐานะภาคีของแม่น้ำสายเดียวกัน” เธอกล่าว พร้อมเสนอแนวคิด กองทุนฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาค และ ‘ผู้พิทักษ์แม่น้ำข้ามพรมแดน’ เพื่อปกป้องทั้งสิทธิของแม่น้ำและสิทธิของผู้คนที่ผูกพันอยู่กับสายน้ำ

กฎหมายภายในกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม: ผลกระทบจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธเมียนมายังไทย

ดร. สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ จากคลินิกกฎหมายสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงการจัดการมลพิษในแม่น้ำกก ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ว่า ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเฉพาะของเชียงรายหรือเชียงใหม่เท่านั้น แต่เป็นปัญหาระดับชาติและระดับโลก เพราะทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมเป็นทรัพยากรร่วมของมนุษยชาติที่ไม่อาจแบ่งด้วยเส้นพรมแดนได้

สงกรานต์อธิบายว่า การแก้ปัญหามลพิษต้องพิจารณาในหลายระดับกฎหมาย ตั้งแต่สิทธิมนุษยชนสากล รัฐธรรมนูญ ไปจนถึงกฎหมายภายในประเทศ โดยมีหลักสำคัญคือ ‘สิทธิในการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี’ ซึ่งองค์การสหประชาชาติได้รับรองเป็นสิทธิมนุษยชนสากลในปี 2565 และไทยก็ระบุสิทธินี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 รวมถึงพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ

อย่างไรก็ตาม สิทธิเหล่านี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อรัฐทำหน้าที่อย่างจริงจัง สงกรานต์ระบุว่า รัฐไทยมีหน้าที่อนุรักษ์ ฟื้นฟู และจัดการทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงต้องรับฟังความคิดเห็นประชาชนก่อนดำเนินโครงการที่อาจกระทบสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการสร้าง ‘ฝายดักตะกอน’ เพื่อแก้ปัญหาน้ำปนเปื้อน ซึ่งควรต้องมีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA/HIA) อย่างรอบด้าน

นอกจากนี้ กฎหมายยังบังคับให้รัฐเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชนอย่างโปร่งใส หากพบความเสี่ยงจากมลพิษ ต้องรีบแจ้งวิธีป้องกันตนเอง “รัฐมีข้อมูลและทรัพยากรมากกว่าประชาชน จึงต้องใช้ศักยภาพนั้นเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนจริงๆ” เขากล่าว

สงกรานต์เสนอว่า ขณะนี้กฎหมายไทยมีเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้ได้ทันที อย่างน้อยสามมาตรการสำคัญ ได้แก่

1. อำนาจนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม เพื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านมลพิษ

2. การประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา 43 เพื่อจำกัดกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดมลพิษ เช่น การดูดทราย

3. การประกาศเขตควบคุมมลพิษ โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อจัดทำแผนป้องกันและฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ

เขาย้ำว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กฎหมายไม่มี แต่คือ ‘กลไกที่ไม่ทำงาน’ และ ‘หน่วยงานที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่’ ทั้งที่กฎหมายให้อำนาจไว้แล้ว เช่น กรมควบคุมมลพิษที่ควรประสานงานมลพิษข้ามพรมแดน กรมทรัพยากรน้ำที่สามารถเสนอมาตรการฉุกเฉิน และกรมชลประทานที่ต้องมีแผนป้องกันน้ำปนเปื้อน

“สิทธิในกฎหมายจะไม่มีความหมาย ถ้าเราไม่เรียกร้องให้รัฐทำหน้าที่” สงกรานต์กล่าว พร้อมเสนอให้ประชาชนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 43 รวมตัวกันเข้าชื่อเรียกร้องให้รัฐดำเนินการ เช่น ขอให้ศึกษาผลกระทบก่อนสร้างฝาย หรือให้ยุติโครงการที่อาจสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม

เขาเสนอเพิ่มเติมว่า ในระยะสั้น รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลสถานการณ์การปนเปื้อนให้ประชาชนรับรู้ เพื่อจะได้วางแผนการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม ขณะที่ในระดับนโยบาย ควรผลักดันให้รัฐบาลไทยเจรจากับเมียนมาอย่างจริงจังผ่านกลไกอาเซียนและความร่วมมือระหว่างประเทศ

“ไม่มีใครเข้าใจปัญหาได้เท่ากับคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง การแก้ปัญหาจะเกิดผลจริงได้ ก็ต่อเมื่อรัฐเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น มิฉะนั้นการแก้ปัญหาอาจกลายเป็นการสร้างภัยใหม่ซ้ำเติมสิ่งแวดล้อมเสียเอง”

สุขภาพชุมชนบนเส้นทางน้ำ: การเฝ้าระวังผลกระทบจากเหมืองแรร์เอิร์ธรัฐฉาน

สมพร เพ็งค่ำ จากสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน กล่าวในเวทีแลกเปลี่ยนว่า ปัญหามลพิษจากการทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา กำลังกลายเป็น ‘ภัยเงียบข้ามพรมแดน’ ที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก–แม่โขง โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่

สมพรระบุว่า ระบบการติดตามผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน และต้องให้ชุมชนมีบทบาทเป็น ‘ศูนย์กลางการเฝ้าระวัง’ เพราะ “ไม่มีใครรู้จักบ้านเราและชีวิตเราดีเท่าตัวเราเอง” การเฝ้าระวังสุขภาพจึงไม่ควรเป็นหน้าที่ของรัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยข้อมูลจริงจากพื้นที่เพื่อผลักดันการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ

เธออธิบายว่า การประเมินผลกระทบต้องมองทั้งระบบ ตั้งแต่ แหล่งกำเนิดมลพิษ, การเคลื่อนที่ของมลพิษ ไปจนถึง กลุ่มประชากรที่ได้รับผลกระทบ โดยเหมืองในรัฐฉานตั้งอยู่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำสายและแม่น้ำโขง ทำให้มลพิษจากการทำเหมืองสามารถไหลลงสู่ลำน้ำที่เชื่อมต่อกับฝั่งไทย

กระบวนการสกัดแรร์เอิร์ธในพื้นที่ภูเขาใช้สารเคมีเข้มข้น ฉีดลงในดินเพื่อดึงโลหะหายากออกมา ซึ่งนอกจากจะละลายแร่เป้าหมายแล้ว ยังดึงโลหะหนักอื่นๆ เช่น ตะกั่ว แคดเมียม และสารพิษในชั้นหินออกมาด้วย น้ำเสียจากกระบวนการจึงปนเปื้อนและไหลกลับลงสู่แม่น้ำ ทำให้เกิดการสะสมของมลพิษอย่างต่อเนื่อง

สมพรระบุว่า บ่อพักตะกอนและฝายกักเก็บน้ำในพื้นที่เหมืองจำนวนมากตั้งอยู่บนภูเขาโดยไม่มีระบบป้องกันรั่วไหลที่รัดกุม สารเคมีจึงมีโอกาสไหลลงแม่น้ำโดยตรง โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมชี้ว่าเหมืองหลายแห่งอยู่ห่างจากต้นน้ำฝั่งไทยเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตร

“ถ้าเราออกแบบระบบผิด ผลกระทบจะย้อนกลับมารุนแรงกว่าที่คิด” เธอกล่าว พร้อมเตือนว่าการสร้างฝายดักตะกอนโดยไม่เข้าใจเส้นทางมลพิษ อาจทำให้สารพิษตกค้างในดินและตะกอนสะสมในระยะยาวจนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร

ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษชี้ว่า น้ำในพื้นที่ชายแดนมีโลหะหนักหลายชนิด “แม้ยังไม่เกินมาตรฐาน แต่แนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง” สมพรเตือนว่า “ค่ามาตรฐานในวันนี้ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้จะปลอดภัย” เพราะสารพิษสามารถสะสมในสิ่งแวดล้อมและส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว โดยพบผลกระทบแล้วในบางพื้นที่ เช่น ความผิดปกติของระบบประสาท การพัฒนาการล่าช้าในเด็ก และโรคจากโลหะหนัก ซึ่งกลุ่มเสี่ยงสูงคือ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ

เธอยังชี้ว่า ‘ข้าวและน้ำ’ คือช่องทางหลักที่สารพิษเข้าสู่ร่างกาย เพราะเป็นสิ่งที่คนบริโภคทุกวัน จึงควรตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลผลิตทางการเกษตรอย่างสม่ำเสมอ

ในเชิงนโยบาย สมพรเสนอให้รัฐพัฒนา ‘ระบบเฝ้าระวังสุขภาพโดยชุมชน’ ผ่านเครื่องมือออนไลน์ของกรมควบคุมโรค เพื่อให้ประชาชนสามารถกรอกข้อมูลสิ่งแวดล้อม น้ำ และอาหารในพื้นที่ตนเอง จากนั้นหน่วยงานรัฐสามารถนำไปตรวจสอบยืนยันเพิ่มเติม เช่น ตรวจปัสสาวะหาสารโลหะหนัก

อย่างไรก็ตาม เธอยอมรับว่าระบบเฝ้าระวังในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะองค์กรปกครองท้องถิ่นที่ขาดงบประมาณและบุคลากร เช่น อบต. หรือเทศบาลขนาดเล็กที่ยังไม่สามารถจัดการน้ำเสียหรือตะกอนปนเปื้อนได้

“การแก้ปัญหาไม่อาจเกิดจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐ นักวิชาการ และชุมชน เพื่อสร้างระบบเฝ้าระวังสุขภาพที่ยั่งยืน” สมพรกล่าว พร้อมทิ้งท้ายว่า “มลพิษไม่รู้จักพรมแดน น้ำที่ไหลจากเขาในรัฐฉานคือสายน้ำเดียวกับที่เราดื่มกินในเชียงรายและเชียงใหม่”

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

More like this
Related

1.4 พันล้านบาท สรุปมูลค่าความเสียหายริมแม่น้ำกก-สาย-รวก จากวิกฤตสารพิษเหมืองแร่

แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก เป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ที่กำลังเผชิญกับวิกฤติมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ความกังวลเรื่องคุณภาพน้ำและความปลอดภัยในการใช้ประโยชน์เพิ่มสูงขึ้น พร้อมขยายผลกระทบไปยังโครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาแม่น้ำเหล่านี้ Lanner ประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวิกฤติการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกก...

เมื่อ ‘เมืองน่าอยู่’ ยังไม่พอให้ใจได้พัก เด็กเชียงใหม่กับพื้นที่สร้างสรรค์ที่ยังหายไป 

เรื่องและภาพ: ธัญรดา หยุมปัญญา, ภีมราฎา เชื้อคำฟู, จตุรวิชญ์ แก้ววงค์วาน และอิทธิกร อรุณรัตน์ เชียงใหม่มักถูกพูดถึงเสมอว่าเป็น...

‘สุชาติ’ ลงพื้นที่แม่น้ำกก เร่งคลี่คลายพิษเหมืองแร่ปนเปื้อนด่วน คนริมกกสะท้อนรัฐเร่งเยียวยา ‘กัณวีร์’ แนะใช้กติกาโลกล้อมเมียนมา

ปัญหามลพิษจากเหมืองแร่ฝั่งเมียนมาที่ไหลปนเปื้อนลงแม่น้ำกกกำลังกลายเป็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมและสังคมในพื้นที่ภาคเหนือของไทย สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า 9 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม...

Photo Essay: ‘ข้าวต่อน้ำอ้อย’ เรื่องเล่าจากเสียงเคาะครกถึงหัวใจคนทำขนมบ้านสันปูเลย

เรื่องและภาพ: อภิชาติ พรหมเทศ ใต้ถุนยุ้งข้าวเก่าในหมู่บ้านสันปูเลย อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา กลิ่นหอมของข้าวคั่วลอยคลุ้งไปทั่วพื้นที่ แม่ทองใบ ยอดทน กำลังใช้ไม้พายคนข้าวในกระทะเหล็กบนเตาอั้งโล่อันเก่า...