“เราไม่ได้ขอความเห็นใจ เราขอพื้นที่ของเราบ้าง” เสียงนักดนตรีผู้พิการทางสายตา กับเชียงใหม่เมืองดนตรีของทุกคน

Date:

เรื่องและภาพ: วรรณวิษา พะเลียง

เชียงใหม่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เมืองดนตรี’ เมืองที่เสียงกีตาร์ แซกโซโฟน หรือแม้แต่ขลุ่ยพื้นบ้าน ต่างมีพื้นที่ให้บรรเลง ตั้งแต่บาร์เล็ก ร้านรวงในย่านท่องเที่ยว ไปจนถึงค่ายเพลงอิสระและเทศกาลดนตรีที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก ที่นี่คือแหล่งบ่มเพาะศิลปินผู้มีฝีมือ และยังเป็นเวทีที่ดนตรีหลากหลายแขนงได้ผสมผสานจนกลายเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยที่มีชีวิตชีวา

แต่เมื่อก้าวออกจากเวทีที่ถูกจัดไว้เพื่อความบันเทิง เราจะพบว่าอีกฟากหนึ่งของเมืองดนตรี กลับเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง ศิลปินที่บรรเลงเพลงริมทางถูกเรียกว่า ‘ดนตรีเปิดหมวก’ ทว่า หากผู้เล่นคือศิลปินผู้พิการทางสายตา การกระทำเดียวกันกลับถูกตีความว่าเป็น ‘การขอทาน’ แทนที่จะเป็น ‘การแสดง’ 

คำถามจึงอยูุ่ที่ว่า การเข้าถึงพื้นที่สาธารณะและการยอมรับในศักดิ์ศรีของศิลปินเหล่านี้ ควรเป็นเรื่องของ ‘ความเห็นใจ’ ที่ใครจะหยิบยื่นให้หรือไม่ก็ได้ หรือแท้จริงแล้วคือ ‘สิทธิขั้นพื้นฐาน’ ที่ทุกคนพึงมีอย่างเท่าเทียม

เส้นทางของศิลปินตาบอดในเมืองเชียงใหม่ เมื่อเสียงดนตรีคือชีวิต

ท่ามกลางเสียงดนตรีที่ขับกล่อมผู้คนในเมืองเชียงใหม่ มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากมุมถนนและเวทีเล็กๆ ของห้างสรรพสินค้า นั่นคือเสียงของ บุญเริง ทิศานุรักษ์ นักดนตรีผู้พิการทางสายตาวัย 54 ปี ที่เลือกดนตรีเป็นทั้งเส้นทางชีวิตและอาชีพตั้งแต่วัยเด็ก

“ตั้งแต่เรียนประถมก็ยึดอาชีพนี้มาตลอดครับ เพราะตอนนั้น คนตาบอดมีอาชีพให้เลือกไม่กี่อย่าง ดนตรี ล็อตเตอรี่ หรือนวดเท่านั้น” 

บุญเริงเล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นที่โรงเรียนสอนคนตาบอดเชียงใหม่ เขาไม่ได้เรียนดนตรีอย่างเป็นทางการ แต่เรียนรู้จากรุ่นพี่ ถ่ายทอดกันแบบปากต่อปาก จนเสียงดนตรีกลายเป็นทั้งทักษะและที่พึ่งพิง

ทุกวันนี้ ชีวิตประจำวันของบุญเริงผูกพันอยู่กับเสียงเพลง เขาเล่าว่าโดยปกติมักจะใช้เวลาศึกษาเพลงใหม่ๆ จาก YouTube ค่อยๆ แกะเนื้อร้องและทำนอง ฝึกซ้อมจนมั่นใจว่าจะเล่นได้โดยไม่สะดุด ก่อนออกเดินทางไปยัง ‘เวที’ ที่ต้องใช้ความพยายามติดต่อขออนุญาต บางแห่งรอเป็นปีจึงได้รับอนุญาต แต่ห้างสรรพสินค้าบางแห่งก็ใจดี เปิดพื้นที่ให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

“พื้นที่ ไม่มีครับ ไม่มีพื้นที่ให้เล่น ไม่มีพื้นที่ให้แสดง ที่ได้เล่นเพราะว่าส่งหนังสือไปตามห้างไปตามที่ต่างๆ ที่เราคิดว่าน่าจะเล่นได้ บางที่ก็ไม่ให้”

ตารางการแสดงของเขาแทบจะกลายเป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์ วันจันทร์ที่ตลาดนัดมีโชค ศุกร์ที่โลตัสคำเที่ยง เสาร์ที่ถนนคนเดินวัวลาย และอาทิตย์ที่โลตัสรวมโชค หากช่วงไหนที่ไม่มีคิว เขาก็กลับมานั่งซ้อมเพลงใหม่ เตรียมพร้อมรอวันขึ้นเวทีอีกครั้ง

“ตอนเล่นรู้สึกมีความสุขครับ ที่ได้แสดงความสามารถให้คนฟัง บางคนก็มาชื่นชม บางคนมาสอนเทคนิค” 

เขาเล่าพร้อมอธิบายว่า อาชีพของเขามีรายได้ที่ไม่แน่นอน หากวันไหนโชคดีอาจได้มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำ แต่บางวันก็แทบไม่พอเลี้ยงครอบครัว แม้จะเสริมด้วยเบี้ยผู้พิการเดือนละ 800 บาทที่เขามองว่า “น้อยไปหน่อย” 

สิ่งที่ชวนให้บุญเริงนั้นหนักใจมากกว่าตัวเลขรายได้ คือทัศนคติที่สังคมมีต่อเขาและเพื่อนศิลปินตาบอด 

“นักเรียนนักศึกษามาเล่นดนตรี คนมองว่าเป็นการแสดงความสามารถ แต่พอคนตาบอดมาเล่น ทั้งที่ทำเหมือนกัน กลับถูกมองว่าเป็นขอทาน มันต่างกันตรงไหน?” 

บุญเริงตั้งคำถามชวนให้คิด เขาไม่ได้ต้องการรางวัลหรือคำชื่นชม เพียงแค่อยากให้ผู้คนมองเห็นว่า ‘ศิลปินตาบอดก็คือคน’ คนหนึ่งที่ทุ่มเท ฝึกฝน และทำงานหนักไม่ต่างจากใคร

“ดนตรีอยู่ในจิตวิญญาณของผมจริงๆ ชอบที่สุดแล้ว เพราะมันคืออาชีพที่เลี้ยงทั้งปากท้อง และเลี้ยงครอบครัวได้ ตอนนี้ ถ้ามีกำลังก็จะเล่นไปเรื่อยๆ ถ้ากำลังไม่มีแล้ว คนฟังคนดูไม่ค่อยเท่าไหร่ก็คงหยุด”

สำหรับบุญเริง ดนตรีคือชีวิต และตราบใดที่ยังมีกำลัง เขาจะยังคงบรรเลงต่อไป แม้วันหนึ่งอาจต้องหันกลับไปพึ่งอาชีพนวด แต่เสียงดนตรีก็จะยังสถิตอยู่ในวิญญาณของเขาเสมอ ทั้งในฐานะเส้นทางเลี้ยงชีพ และในฐานะหลักฐานแห่งศักดิ์ศรีความเป็นศิลปินของผู้พิการในเมืองดนตรีแห่งนี้

หากมองภาพรวมของอาชีพที่ผู้พิการสามารถเข้าถึงได้ในปัจจุบัน บุญเริงเล่าว่า แม้ผู้พิการทางสายตาบางคนจะมีโอกาสเข้ารับราชการหรืองานรัฐวิสาหกิจ แต่ก็ยังเป็นเพียงส่วนน้อย เพราะหน่วยงานภาครัฐไม่ได้เปิดโอกาสให้มากนัก คำตอบนี้สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก ไม่ใช่เพราะผู้พิการขาดศักยภาพ หากแต่เป็นเพราะระบบไม่เคยเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่

เราไม่ได้ขอความเห็นใจ เราขอพื้นที่ของเราบ้าง

เบื้องหลังเวทีที่ผู้คนเพลิดเพลินกับเสียงเพลงในเมืองดนตรีเชียงใหม่ กลับซ่อนเรื่องราวและอุปสรรคมากมายที่ศิลปินผู้พิการทางสายตาต้องเผชิญ ธิติชัย ปัญญานาค นายกสมาคมนักร้องนักดนตรีจังหวัดเชียงใหม่ เล่าว่า อุปสรรคที่ชัดเจนที่สุดคือ ‘สายตาของสังคม’ ที่ยังมองผู้พิการในแง่ลบ แม้เวลาจะผ่านไป การทำความเข้าใจและการยอมรับก็ยังต้องใช้เวลาอีกมาก

“ปัญหาหลักคือคนไม่เข้าใจเรา เมื่อก่อนเห็นได้ชัดมาก สมมติว่ามีคนจ้างไปแสดงในงานแต่ง ถ้าเอาคนตาบอดไปเล่นดนตรี บางคนก็กลัวไม่เป็นมงคล”

อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญคือ ‘การเดินทาง’ ที่หลายครั้งศิลปินต้องเสียเงินเกือบครึ่งหนึ่งจากรายได้เพื่อจ้างรถไปส่งตัวเอง แต่ปัจจุบันสมาคมสามารถบรรเทาปัญหานี้ได้บางส่วน ด้วยการจัดสรรงบประมาณซื้อรถและจ้างคนขับให้สมาชิก

“อีกเรื่องคือการเดินทาง ที่ต้องเสียเงินจ้างรถไปส่งตัวเอง พอช่วงหลังเราหางบประมาณได้บ้างก็เลยซื้อรถและจ้างคนขับแทน”

นอกจากการเดินทาง ‘การจำกัดสถานที่สำหรับแสดง’ ก็เป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับนักดนตรีผู้พิการ อีกทั้งกฎหมายพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 ที่แยกศิลปินผู้แสดงความสามารถออกจากกลุ่มขอทาน ทำให้ทุกคนต้องมี ‘บัตรผู้แสดงความสามารถ’ หากใครไม่มีหรือเผลอลืม ก็ไม่สามารถขึ้นเวทีได้

“บางทีแค่เป็นศิลปินตาบอดไปทำการแสดง ยังไม่ทันได้ร้อง ก็โดนตีตราไว้ว่าเป็นขอทาน แต่คนปกติถือว่ามาแสดงความสามารถ ทั้งๆ ที่ใช้วิธีการเดียวกัน สังคมไม่แฟร์สำหรับเรา”

ธิติชัยเล่าว่า กฎหมายนี้ยังเปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถทำบัตรผู้แสดงความสามารถได้ ส่งผลให้การแข่งขันแย่งพื้นที่แสดงเข้มข้นขึ้นไปอีก และเมื่อเจอทัศนคติของสังคมที่ยังไม่เข้าใจนักดนตรีตาบอด โอกาสของศิลปินผู้พิการก็ยิ่งลดน้อยลง ทำให้พื้นที่สำหรับแสดงความสามารถของพวกเขาน้อยลงกว่าเดิม

“ในเชียงใหม่ สถานที่ทำการแสดงยิ่งน้อยลงแบบนับได้เลย ถ้าเป็นวงดนตรีนี่แทบไม่มีเลย ผมเจอแค่แถวถนนคนเดิน และก็ต้องขออนุญาตเทศบาล”

ด้านการสนับสนุน ธิติชัยพูดตรงไปตรงมาว่า ภาครัฐแทบไม่มีบทบาท ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับและภาคเอกชนที่ชื่นชอบจริงๆ คอยติดตามและสนับสนุนงานของศิลปินอยู่เสมอ

“แต่เราก็ไม่ได้ยอมแพ้ พยายามผลักดัน หาพื้นที่แสดงใหม่ๆ ให้เพียงพอสำหรับคนที่อยากแสดงความสามารถ ทุกคนควรมีเวทีของตัวเองที่สามารถโชว์ความสามารถได้เต็มที่ ไม่ใช่ต้องไปแย่งพื้นที่ใครเขา”

สิ่งที่เขาอยากเห็นคือ พื้นที่สำหรับศิลปินผู้พิการทางสายตาที่สามารถยืนอยู่บนเวทีได้โดยไม่ต้องตระเวนหาที่เล่น อย่างน้อยอาจมีคนตาบอดสักคนอยู่ในวงเดียวกับคนปกติ หรือมีศิลปินเดี่ยวโฟล์กซองเล่นอยู่ในร้านอาหารหรือบาร์ในตอนหัวค่ำ ธิติชัยเชื่อว่าการรณรงค์หรือแรงผลักดันจากภาครัฐ รวมถึงองค์กรที่เกี่ยวข้อง จะช่วยสร้างโอกาสและพื้นที่ให้ศิลปินมีที่ยืนและเวทีแสดงความสามารถเพิ่มขึ้น

“อยากให้มองคนพิการทุกประเภท ไม่ใช่เฉพาะผู้พิการทางสายตา มีสิทธิทางสังคมเท่าเทียมกัน ต่อให้พิการด้านใดก็ตาม ก็อยากให้มีสิทธิเสรีภาพในการทำงานและใช้ชีวิต” 

เขามองว่า แนวคิดสร้างเมืองดนตรีไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย สิ่งสำคัญที่สุดคือ การไม่ปิดกั้นพื้นที่การแสดงทั้งสำหรับคนทั่วไปและผู้พิการ ธิติชัยย้ำชัดเจนว่า สิ่งที่เขาเรียกร้องไม่ใช่ความเห็นใจ แต่คือ สิทธิและโอกาสเท่าเทียมในสังคม “เราไม่ได้ขอความเห็นใจ เราขอพื้นที่ของเราบ้าง” 

เมื่อเสียงดนตรีไม่ควรถูกจำกัด เราทุกคนต่างต้องการโอกาสเท่ากัน

“คำว่า ‘เมืองดนตรี’ เป็นคำพูดที่ดูสวยหรู แต่ในทางปฏิบัติก็ต้องยอมรับว่ายังไม่ครอบคลุม” 

ภารากร คำเดช อุปนายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย สะท้อนความจริงที่ซ่อนอยู่ใต้คำพูดอันสวยงามนั้น

สำหรับนักดนตรีผู้พิการทางสายตา ดนตรีไม่ใช่แค่เสียงเพลง หากแต่คือชีวิต คือพื้นที่ที่พวกเขาใช้แสดงศักยภาพและความสามารถออกมาให้โลกเห็น ภารากรอธิบายว่า หลังจากผู้พิการทางสายตาได้รับการพัฒนาทักษะต่างๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาควรได้รับคือ ‘อาชีพที่มั่นคง’ ซึ่งในความเป็นจริง อาชีพของผู้พิการทางสายตายังมีให้เลือกเพียงไม่กี่ทาง อาทิ การแสดงความสามารถ การนวดเพื่อสุขภาพ และการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล

ภารากรอธิบายว่า หนทางสู่การมีอาชีพนักดนตรีไม่ได้ราบรื่นนัก เพราะพื้นที่แสดงดนตรีที่เปิดให้ผู้พิการทางสายตายังมีอยู่อย่างจำกัด หลายครั้ง พวกเขายังถูกมองด้วยสายตาแห่งความสงสาร มากกว่าการมองเห็นความสามารถอย่างแท้จริง

“สิ่งที่สังคมยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรา คือเรื่องของเจตคติ ถึงแม้จะมีการแก้ไขกฎหมายแล้ว แต่คนทั่วไปยังมองว่าผู้พิการทางสายตาที่เล่นดนตรีเป็นขอทาน การให้เงินก็ยังมาจากความสงสารมากกว่าการให้คุณค่ากับความสามารถ” 

เขาย้ำว่า การเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนต้องใช้เวลา ต้องอาศัยทั้งการสื่อสารและการสร้างความเข้าใจร่วมกันในสังคม “ไม่ว่าจะเป็นคนตาดีหรือผู้พิการทางสายตา เราทุกคนต่างต้องการโอกาสเท่ากัน”

ภารากรมองว่า หากอยากให้ ‘เชียงใหม่เมืองดนตรี’ เป็นจริงในทางปฏิบัติ ภาครัฐควรเปิดพื้นที่ให้กับนักดนตรีและผู้แสดงความสามารถอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในสวนสาธารณะ ซึ่งสามารถเป็นทั้งพื้นที่สร้างรายได้และพื้นที่แห่งความสุขร่วมกันของผู้คน

“เรารณรงค์ให้สวนสาธารณะเป็นพื้นที่สำหรับนักดนตรี เพราะมันคือพื้นที่ที่คนมาออกกำลังกาย มาพักผ่อน ถ้ามีเสียงดนตรีจากผู้แสดง มันจะช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น”

นอกจากพื้นที่สาธารณะ ภารากรยังเห็นตัวอย่างจากบางห้างสรรพสินค้าที่เริ่มเปิดโอกาสให้นักดนตรีผู้พิการทางสายตาได้แสดง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่สิ่งสำคัญคือการจัดการอย่างมีระบบ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นเจ้าภาพ เช่น หน่วยงานที่ออกบัตรผู้แสดงความสามารถ หรือกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

“คำว่าเชียงใหม่เมืองดนตรี มันจะเป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อมีการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพอย่างเท่าเทียม”

แม้เชียงใหม่ในวันนี้อาจยังไม่ใช่เมืองดนตรีที่สมบูรณ์แบบ แต่เสียงของศิลปินผู้พิการทางสายตาได้สะท้อนให้เห็นว่า ดนตรีไม่ได้ต้องการเพียงเวทีใหญ่หรือสปอตไลท์ หากแต่ต้องการ ‘พื้นที่ที่เท่าเทียม’ สำหรับทุกคนที่มีหัวใจรักเสียงเพลง

หากคำว่า ‘เชียงใหม่เมืองดนตรี’ จะมีความหมายอย่างแท้จริง มันคงไม่ใช่เพียงเมืองที่มีเทศกาลหรือเวทีแสดงมากมาย แต่คือเมืองที่พร้อมเปิดพื้นที่ให้ทุกเสียง ไม่ว่าจะมาจากเวทีใหญ่หรือมุมถนน ได้บรรเลงร่วมกันอย่างเท่าเทียม

ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Lanner Joy Local Storytelling Lab โดยความร่วมมือของ Lanner ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Thai Media Lab และ มหาวิทยาลัยพะเยา

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

1.4 พันล้านบาท สรุปมูลค่าความเสียหายริมแม่น้ำกก-สาย-รวก จากวิกฤตสารพิษเหมืองแร่

แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก เป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ที่กำลังเผชิญกับวิกฤติมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ความกังวลเรื่องคุณภาพน้ำและความปลอดภัยในการใช้ประโยชน์เพิ่มสูงขึ้น พร้อมขยายผลกระทบไปยังโครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาแม่น้ำเหล่านี้ Lanner ประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวิกฤติการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกก...

เมื่อ ‘เมืองน่าอยู่’ ยังไม่พอให้ใจได้พัก เด็กเชียงใหม่กับพื้นที่สร้างสรรค์ที่ยังหายไป 

เรื่องและภาพ: ธัญรดา หยุมปัญญา, ภีมราฎา เชื้อคำฟู, จตุรวิชญ์ แก้ววงค์วาน และอิทธิกร อรุณรัตน์ เชียงใหม่มักถูกพูดถึงเสมอว่าเป็น...

‘สุชาติ’ ลงพื้นที่แม่น้ำกก เร่งคลี่คลายพิษเหมืองแร่ปนเปื้อนด่วน คนริมกกสะท้อนรัฐเร่งเยียวยา ‘กัณวีร์’ แนะใช้กติกาโลกล้อมเมียนมา

ปัญหามลพิษจากเหมืองแร่ฝั่งเมียนมาที่ไหลปนเปื้อนลงแม่น้ำกกกำลังกลายเป็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมและสังคมในพื้นที่ภาคเหนือของไทย สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า 9 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม...

Photo Essay: ‘ข้าวต่อน้ำอ้อย’ เรื่องเล่าจากเสียงเคาะครกถึงหัวใจคนทำขนมบ้านสันปูเลย

เรื่องและภาพ: อภิชาติ พรหมเทศ ใต้ถุนยุ้งข้าวเก่าในหมู่บ้านสันปูเลย อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา กลิ่นหอมของข้าวคั่วลอยคลุ้งไปทั่วพื้นที่ แม่ทองใบ ยอดทน กำลังใช้ไม้พายคนข้าวในกระทะเหล็กบนเตาอั้งโล่อันเก่า...