จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 เกษตรกรผู้เลี้ยงวัวนมใน อ.แม่ทา จ.ลำพูน รวมตัวกันเทน้ำนมดิบหน้าสหกรณ์การเกษตรแม่ทา จำกัด เพื่อเรียกร้องความช่วยเหลือ หลังบริษัทเอกชนยุติการรับซื้อน้ำนมดิบกะทันหันตั้งแต่ 1 เมษายน ส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถระบายน้ำนมได้ถึงวันละ 7 ตัน
ต่อมามีการประชุมระดับจังหวัด เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 โดยตกลงให้สหกรณ์แม่ทารับซื้อน้ำนมทั้งหมด 32 ราย และส่งต่อให้สหกรณ์โคนมหนองโพ จังหวัดราชบุรี ช่วยระบายผลผลิตช่วง 29 เมษายน –15 พฤษภาคม อีกทั้งยังให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) รับซื้อนมดิบในราคา 18 บาท/กิโลกรัม และจ้างสหกรณ์วังน้ำเย็นผลิตนมผง
ทั้งนี้ แม้จะมีความช่วยเหลือระยะสั้นจากหลายภาคส่วน แต่วิกฤตครั้งนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมนมไทย ทั้งในด้านความมั่นคงของตลาด การพึ่งพาภาคเอกชน และแรงกดดันจากการแข่งขันกับสินค้านำเข้า เกษตรกรยังคงเผชิญความไม่แน่นอน และรอคอย MOU ฉบับใหม่ในวันที่ 15 พฤษภาคม ที่อาจเป็นทางออกสำคัญของปัญหานี้
Lanner ติดตามสถานการณ์ล่าสุดจาก เกียรติศักดิ์ มูลพนัสสัก เกษตรกรผู้เลี้ยงวัวนมอีกรายใน อ.แม่ทา จ.ลำพูน กล่าวว่าตอนนี้สถานการณ์เริ่มเข้าที่เข้าทาง โดยหลังจากได้ทำ MOU ฉบับใหม่นี้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้รับซื้อนํ้านมดิบจากเกษตรกรวันละ 7 ตัน แต่ยังคงเหลืออีก 3 ตันที่ต้องหาแหล่งระบายอยู่ ซึ่งยังไม่มีโควต้ารับซื้อที่แน่นอน หากบริษัทเอกชนรายใดต้องการถึงจะได้ระบาย 3 ตันที่ตกค้างอยู่
อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายมากขึ้น แต่ก็ยังต้องจับตาต่อว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหานี้ในระยะยาวได้หรือไม่ ประจวบกับราคาขายที่ลดลงเรื่อยๆ เกษตรกรเหล่านี้ยิ่งต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนกับรายได้ที่ไม่มั่นคง วิกฤตเช่นนี้อาจเกิดซ้ำอีกในอนาคต และเกษตรกรก็จะยังเป็นฝ่ายที่ต้องแบกรับความเสี่ยงอยู่เสมอ เสียงจากเกษตรกรโคนมแม่ทาจึงไม่ใช่แค่เสียงของคนที่เทน้ำนมทิ้ง แต่คือเสียงที่เรียกร้องให้รัฐเข้ามาจัดการดูแลกับปัญหานี้อย่างจริงจังและยั่งยืน
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...