เมื่อยักษ์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนสุดท้ายจากไป: ปัญหาประวัติศาสตร์ชาติกระแสหลักที่ไม่เคยมีมนุษย์อยู่ในความทรงจำ

เรื่อง: ณัฏฐวรรธน์ คล้ายสมมุติ

ช่วงสายของวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 2025 ในเมืองไทยได้รับข่าวการจากไปของยักษ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอนโทนี รีด (Anthony Reid 1939-2025) นักวิชาการผู้บุกเบิกความรู้ด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา

นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักประวัติศาสตร์และปัญญาชนผู้ล่วงลับ เคยกล่าวถึงยักษ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่ามีทั้งหมด 3+1 คนคือ 1. เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน(Benedict Anderson 1936-2015) นักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเชียใต้ ที่เสนอว่าชาติคือ ชุมชนในจินตนาการ (Imagined community) 2. เจมส์ ซี. สก็อต (James C. Scott 1936-2024) นักมานุษยวิทยาและรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล มีอิทธิพลอย่างมากในสายชนบทศึกาษา โดยเฉพาะบริบทเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เสนออาวุธของผู้อ่อนแอ  (Weapons of the Weak) 3. คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ (Clifford Geertz 1926-2006) นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันผู้ทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการตีความหมายเชิงวัฒนธรรม ซึ่งมีผลต่อการศึกษาสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย และความหมายของวัฒนธรรมในชีวิตประจำวัน

และคนสุดท้ายที่จากไปในวันนี้ แอนโทนี รีด เป็นนักประวัติศาสตร์ผู้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา โดยเสนอให้มองภูมิภาคนี้ในฐานะพื้นที่ที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตนเอง ไม่ใช่เพียงชายขอบของอารยธรรมจีนหรืออินเดีย หนึ่งในผลงานสำคัญของเขาคือแนวคิด “ยุคทองแห่งการค้า” (Age of Commerce) ที่ชี้ให้เห็นการเติบโตของเมืองและตลาดในภูมิภาคนี้ระหว่างปี ค.ศ.1450–1680 ซึ่งเกิดจากพลังภายในของภูมิภาคเอง มากกว่าจากอิทธิพลของชาติตะวันตก รีดยังเน้นการศึกษาประวัติศาสตร์จากล่างขึ้นบน โดยให้ความสำคัญกับชีวิตของผู้คนทั่วไป ระบบความเชื่อ และเครือข่ายทางสังคมข้ามพรมแดน ผ่านการใช้หลักฐานจากหลากหลายแหล่งภาษาและวัฒนธรรม ผลงานของเขาช่วยเปิดมุมมองใหม่ต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะพื้นที่ของความหลากหลาย การแลกเปลี่ยน และการต่อรองอำนาจอย่างซับซ้อน ซึ่งมีนัยสำคัญต่อการวิพากษ์แนวคิดเรื่องรัฐชาติและการเขียนประวัติศาสตร์แบบเดิมๆ

หนังสือ Southast Asia in the age of commerce 1450-1680.

มุมมองเช่นนี้เป็นรากฐานของความรู้ที่เปิดพรมแดนการศึกษาประวัติศาสตร์เอเชียตัวันออกเฉียงใต้ และยังสามารถตั้งคำถามต่อความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาในเวลานี้ ท่ามกลางการกลับมาของกระแสชาตินิยมที่ถูกปลุกให้ตื่นในขณะนี้ หากย้อนกลับไปตามแนวทางของรีด เราจะพบว่าพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในอดีตคือพื้นที่ของการแลกเปลี่ยน ผสมผสาน และผู้คนตามแนวชายแดนก็มีเครือญาติที่ไม่อยู่ในเส้นเขตแดนเดียวกัน

การรับรู้ประวัติศาสตร์ในลักษณะนี้ได้แตกต่างจากเรื่องราวประวัติศาสตร์ในแบบเรียนที่รัฐไทยเขียนขึ้น ที่ไม่มีมนุษย์อยู่ในเรื่องราวที่เขียนขึ้นเลย ข้อคิดของรีดยังช่วยสร้างความเข้าใจใหม่ที่เห็นถึงรากเหง้าร่วมของผู้คนในภูมิภาค มากกว่าการเน้นเส้นแบ่งที่รัฐสมัยใหม่ได้ขีดขึ้นภายหลัง

แต่ในความเป็นจริงขณะนี้ สังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับดูเหมือนจะเป็นสังคมที่หลงลืมง่าย ไม่จดจำอดีตอย่างมีวิจารณญาณ และหลายเรื่องราวสำคัญก็มักถูกตัดตอนให้หายไปจากความทรงจำส่วนรวมอย่างเงียบเชียบ ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจของรัฐหรือความเฉยเมยของสังคม ความลืมจึงกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งของอำนาจ

ในประเทศไทย ภาวะนี้ปรากฏให้เห็นชัดเจนผ่านการผลิตซ้ำของข่าวและวาทกรรมในสื่อกระแสหลัก ซึ่งมักโน้มเอียงไปในทางปลุกปั่น ยุยง และประโคมความกลัวต่อ “ศัตรู” ที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน ชนกลุ่มน้อย หรือแม้แต่ประชาชนด้วยกันเองที่คิดต่าง บทสนทนาในสังคมขนานใหญ่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความกระหายการเผชิญหน้า การปะทะ และสงครามทางอารมณ์ มากกว่าการฟังกันอย่างลึกซึ้งหรือการทำความเข้าใจเชิงประวัติศาสตร์ร่วมกัน

สิ่งที่น่าห่วงก็คือ ในขณะที่ “อดีตอันซับซ้อน” ถูกบีบให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่แบนราบและแบ่งขั้วอย่างรุนแรง เรากำลังสูญเสียโอกาสที่จะเรียนรู้จากความหลากหลาย ความคลุมเครือ และการอยู่ร่วมกันที่เคยเป็นวิถีในภูมิภาคนี้มานานหลายศตวรรษ ดังที่แอนโทนี รีด เคยเตือนเราว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่เคยเป็นพื้นที่ของรัฐที่นิ่งสงบ หากเป็นพื้นที่ของการต่อรอง การทับซ้อน และการแลกเปลี่ยน ความเข้าใจเหล่านี้ต่างหากที่ควรได้รับการฟื้นคืน ไม่ใช่ถูกกลบด้วยเสียงตะโกนของสงครามในจินตนาการ

ในทำนองเดียวกัน แอนโทนี รีด เสนอว่าหนึ่งในรากเหง้าของปัญหาภูมิภาคนี้คือการที่รัฐสมัยใหม่พยายามครอบงำความทรงจำและประวัติศาสตร์ ผ่านการสร้างเส้นพรมแดน และการลบเลือนเสียงของชาวบ้านในประวัติศาสตร์ท้องถิ่น รีดชี้ให้เห็นว่า ก่อนรัฐชาติจะสถาปนาตัวเอง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคยเป็นภูมิภาคของความหลากหลาย การค้าข้ามพรมแดน เครือญาติ ศรัทธา และอำนาจที่ไม่ตายตัว ตรงกันข้ามกับภาพที่รัฐพยายามกำหนดว่า “ประวัติศาสตร์ชาติ” ต้องเป็นเรื่องเดียวที่ประชาชนเรียนรู้

ข้อเสนอจากงานวิชาการอันทรงคุณค่าของ แอนโทนี รีด ก็ดูจะห่างไกลมากจากสังคมไทย ณ ขณะนี้ ไปมากพอสมควร ปัญญาคือสิ่งสำคัญของมนุษย์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งต่างๆ มากกว่าความรุนแรง เพราะสิ่งที่หวงแหนกันจากจิตนาการทางประวัติศาสตร์ที่รัฐในแถบนี้ทั้งไทยและกัมพูชาเองได้สร้างขึ้น เป็นแม่บททางประวัติศาสตร์ที่ควบคุมความคิด ความเชื่อของผู้คน มันไม่เคยมีมนุษย์อยู่ในนั้น

รายการอ้างอิง

แอนโทนี รีด เขียน.พงษ์ศิริ เลขะวัฒนะ แปล. 2564. พิมพ์ครั้งที่สอง. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในยุคการค้า ค.ศ. 1450–1680 เล่ม 1 ดินแดนใต้ลม. 

แอนโทนี รีด เขียน.พงษ์ศิริ เลขะวัฒนะ แปล. 2564. พิมพ์ครั้งที่สอง. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในยุคการค้า ค.ศ.1450–1680 เล่ม 2 การขยายตัวและวิกฤตการณ์.

ดูในประเด็นเรื่องยักษ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ngWpXVvkrTA&t=248s

เด็กหนุ่มผู้เกิดในชนบทนครสวรรค์ เติบโตในโรงเรียนประจำ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแถวหนองอ้อ สนใจประวัติศาสตร์ชาวบ้านและชนบทศึกษา ปัจจุบันใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ในภูมิภาคที่ไม่รู้ว่าเป็นภาคเหนือตอนล่างหรือกลางตอนบน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง