โรคซึมเศร้ายังคงเป็นปัญหาสุขภาพจิตสำคัญของสังคมไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือที่ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (HDC) กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ณ วันที่ 8 กันยายน 2568 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่ได้รับการวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาแล้วสะสมรวมทั้งสิ้น 1,451,467 คน ตัวเลขดังกล่าวคำนวณจากประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป และครอบคลุมทุกเขตสุขภาพทั่วประเทศ (เขตสุขภาพที่ 1–13) ทั้งหมด 55,256,612 คน

โดยในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยสะสมทั้งหมดที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา ในจังหวัด (คนต่อจังหวัด) มีจำนวนสะสมรวมทั้งสิ้น 315,429 คน คิดเป็น 21.73% ของผู้ป่วยสะสมทั้งหมด โดยแยกเป็นรายจังหวัดดังนี้
1.เชียงใหม่ 60,988 คน คิดเป็น 19.33% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
2.เชียงราย 32,591 คน คิดเป็น 10.33% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
3.นครสวรรค์ 30,713 คน คิดเป็น 9.74% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
4.พิษณุโลก 23,071 คน คิดเป็น 7.31% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
5.ลำปาง 17,917 คน คิดเป็น 5.68% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
6.เพชรบูรณ์ 17,638 คน คิดเป็น 5.59% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
7.กำแพงเพชร 16,486 คน คิดเป็น 5.23% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
8.ลำพูน 15,224 คน คิดเป็น 4.83% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
9.สุโขทัย 14,266 คน คิดเป็น 4.52% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
10.พะเยา 13,002 คน คิดเป็น 4.12% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
11.ตาก 11,898 คน คิดเป็น 377% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
12.พิจิตร 11,605 คน คิดเป็น 3.68% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
13.น่าน 11,470 คน คิดเป็น 3.64% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
14.อุตรดิตถ์ 11,091 คน คิดเป็น 3.52% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
15.อุทัยธานี 9,188 คน คิดเป็น 2.91% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
16.แม่ฮ่องสอน 9,172 คน คิดเป็น 2.91 ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
17.แพร่ 9,109 คน คิดเป็น 2.89% ของผู้ป่วยสะสมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ
ทั้งนี้ข้อมูลจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (HDC) กระทรวงสาธารณสุข ยังเผยอีกว่าปี 2568 จำนวนผู้ที่ทำร้ายตนเองจนเสียชีวิตตามจังหวัดหน่วยบริการ (คน) มีทั้งหมด 1,094 โดยในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือพบผู้ที่ทำร้ายตนเองจนเสียชีวิต ทั้งหมด 228 คน โดยจังหวัดเชียงใหม่ยังคงเป็นจังหวัดที่มีจำนวนผู้ที่ทำร้ายตนเองจนเสียชีวิตอยู่มากถึง 63 คน รองลงมาคือจังหวัด นครสวรรค์ 28 และ จังหวัดเพชรบูรณ์ 20 คน
ปัญหาสุขภาพจิตไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพื้นที่ แต่ยังสะท้อนข้อจำกัดเชิงโครงสร้างระดับประเทศ โดยในการอภิปรายร่างงบประมาณปี 2567 สิริลภัส กองตระการ ส.ส. พรรคประชาชน ชี้ว่า กรมสุขภาพจิตได้รับการจัดสรรงบเพียงร้อยละ 1.8 ของงบกระทรวงสาธารณสุข และถูกตัดเกือบ 70% ของที่เสนอ ส่งผลให้การดูแลผู้ป่วยไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและวัยทำงาน เธอยังย้ำว่าทุกวันมีคนไทยพยายามจบชีวิตราว 85 คน ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือชีวิตของใครบางคน จึงควรเร่งทบทวนการจัดสรรงบ บุคลากร และสิทธิการรักษาให้เข้าถึงได้จริง
นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุง และผู้ช่วยอธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยกับ Hfocus ว่า โรคซึมเศร้ามีสาเหตุจากหลายปัจจัย ทั้งสังคม เศรษฐกิจ การแข่งขันสูงขึ้นในกลุ่มวัยทำงาน เยาวชน ไปจนถึงผู้สูงอายุที่ต้องเผชิญปัญหาสุขภาพกาย โรคเรื้อรัง และภาวะการนอนไม่หลับ ส่งผลให้เกิดความทุกข์สะสมและนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ขณะเดียวกันปัจจุบันมีประชาชนสนใจเข้ารับบริการสุขภาพจิตมากขึ้น เนื่องจากตระหนักว่าโรคซึมเศร้าสามารถบำบัดรักษาได้
เสียงคนทำงานเยาวชน ความสัมพันธ์ในชุมชนช่วยลดซึมเศร้า

ด้าน สุรีย์พร ธนะภักดิ์วรนนท์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจกรรมสำนักกิจกรรมกิ่งก้านใบที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนในจังหวัดอุตรดิตถ์ เล่าว่า เวลาพูดถึงปัญหาโรคซึมเศร้าในสังคม มักถูกโยนให้เป็นความรับผิดชอบของตัวบุคคล เช่น มองว่าเป็นคนอ่อนแอ ไม่สู้ หรือควรเข้มแข็งกว่านี้ ทั้งที่จริงแล้วภาวะซึมเศร้าไม่ได้สะท้อนความล้มเหลวของใครคนหนึ่ง แต่สะท้อนโครงสร้างและสภาพแวดล้อมที่ทุกฝ่าย ทั้งครอบครัว โรงเรียน ชุมชน และรัฐ ต้องร่วมกันดูแลและสร้างพื้นที่ปลอดภัย
เธออธิบายว่า สาเหตุที่ทำให้เยาวชนจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพจิตมีอยู่ 3 ประการหลัก คือ ทัศนคติของสังคมที่ยังตีตราโรคซึมเศร้าว่าเป็นความอ่อนแอ ทำให้เด็กไม่กล้าเปิดเผยหรือขอความช่วยเหลือ ระบบบริการที่มีบุคลากรด้านสุขภาพจิตไม่เพียงพอ หลายพื้นที่มีนักจิตวิทยาเพียง 1–2 คน ไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นได้ และการขาดพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการเล่าและการยอมรับ ซึ่งทำให้เด็กจำนวนมากเลือกเก็บปัญหาไว้กับตัวเองมากกว่าที่จะขอความช่วยเหลือจากระบบ
จากประสบการณ์ทำงานกับเยาวชนในพื้นที่ สุรีย์พรพบว่าการสร้างความสัมพันธ์ในชุมชนสามารถช่วยได้จริง เด็กที่เคยถูกผู้ใหญ่ในพื้นที่มองว่า “ไม่เอาไหน” เมื่อได้ทำกิจกรรมร่วมกับคนในชุมชนกลับเกิดการพูดคุยและยอมรับกันมากขึ้น หลังจบโครงการพวกเขาสะท้อนว่าความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เคยมีได้ลดลง เพราะได้ “ความสัมพันธ์คืนกลับมา”
สุรีย์พรจึงอยากชวนให้สังคมมองบทบาทของทุกฝ่ายใหม่ ว่าไม่ใช่เพียงการรักษาทางการแพทย์ แต่คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัย การปฏิสัมพันธ์ และความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกัน เพื่อให้เยาวชนไม่ต้องเผชิญความโดดเดี่ยวและความกดดันเพียงลำพัง
ครม.ชุดเก่ากำหนด ‘เดือนสุขภาพใจ’ รัฐบาลใหม่เอาไงต่อ?
ปัญหาโรคซึมเศร้าในภาคเหนือปี 2568 ไม่ได้สะท้อนเพียงตัวเลขผู้ป่วยที่สูงกว่า 3 แสนคน แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ต้องเร่งจัดการ ทั้งทัศนคติของสังคมที่ยังคงตีตราผู้ป่วย ความไม่เพียงพอของบุคลากรด้านสุขภาพจิต และการขาดพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชนได้เปิดใจพูดคุย แม้รัฐบาลชุดก่อนภายใต้การนำของอดีตนายกฯ แพทองธาร จะเริ่มขยับ อย่างการที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้เดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็น “เดือนแห่งสุขภาพใจ” (Mind Month) เพื่อใช้เป็นจังหวะรณรงค์และสร้างการตระหนักรู้ถึงปัญหาสุขภาพจิต แต่คำถามสำคัญคือ เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ที่ได้ อนุทิน ชาญวีรกูล มาเป็น นายกฯ คนใหม่ นโยบายเหล่านี้จะยังคงถูกสานต่อ และขับเคลื่อนไปสู่ผลลัพธ์จริงในชีวิตผู้คนหรือไม่
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...