ประเทศไทยยังไม่มี ‘บ้านใหม่ใกล้ฉัน’ ที่เป็นของทุกคนอย่างแท้จริง หากรัฐยังคงมองการพัฒนาเพียงเชิงเศรษฐกิจโดยไม่ฟังเสียงคนที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้นจริงๆ
ที่เวทีเสวนา ‘บ้านใหม่ใกล้ฉัน: เหมืองแร่ ป่าคาร์บอน แลนด์บริดจ์ กับความเสี่ยงการไล่รื้อ จัดโดย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ภายใต้งาน Bangkok Climate Action Week 2025 นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน และตัวแทนชุมชนจากทั่วประเทศต่างสะท้อนเสียงเดียวกันว่า
“บ้าน ไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่คือพื้นที่ของศักดิ์ศรี วัฒนธรรม และสิทธิในการดำรงชีวิตที่กำลังถูกคุกคาม”
บ้านที่กำลังหายไปจากภูเขาเหนือ
เสียงจากชุมชนแม่ลาน้อยและลุ่มน้ำลา อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ชี้ให้เห็นภาพจริงของสิทธิที่อยู่อาศัยที่กำลังสั่นคลอน
วิไลพร ขยันกิจเพิ่มพูน เยาวชนเครือข่ายลุ่มน้ำลา กล่าวว่า หมู่บ้านของเธออยู่ห่างจากเหมืองฟลูออไรด์เพียง 300 เมตร และชาวบ้านต้องเผชิญฝุ่น เสียงระเบิด และความกังวลเรื่องน้ำปนเปื้อน

“หมู่บ้านของเราเคยอยู่กันอย่างสงบ แต่ตอนนี้ต้องอยู่กับฝุ่น เสียงระเบิด และน้ำที่ไม่แน่ใจว่ายังดื่มได้ไหม ปู่ย่าตายายเล่าว่าป่าเคยอุดมสมบูรณ์ แต่ทุกวันนี้ป่าถูกทำลายเพื่อเหมือง” เธอกล่าว

สมศักดิ์ โชติเกษตรกุล ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านแม่ลาน้อย เสริมว่า การทำเหมืองในพื้นที่ดำเนินมานานกว่า 30 ปี และทิ้งร่องรอยของปัญหาสารพิษในน้ำ การสูญเสียสัตว์เลี้ยง และปัญหาสังคมจากแรงงานข้ามชาติ
“เราเคยเชื่อว่าเหมืองจะนำความเจริญ แต่สิ่งที่ได้คือโรคภัยและน้ำที่ใช้ไม่ได้ รัฐยังไม่เคยลงมาช่วยเหลืออย่างจริงจัง” เขากล่าว
สิทธิในบ้านคือสิทธิมนุษยชน และกฎหมายที่ยังไม่ปกป้องสิทธิ

ศตพัฒน์ ศิลป์สว่าง เจ้าหน้าที่รณรงค์เชิงนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า สิทธิในที่อยู่อาศัยเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แต่ในไทยยังถูกท้าทายจากโครงการพัฒนาในหลายมิติ ทั้งเหมืองแร่ ป่าคาร์บอน และแลนด์บริดจ์
“รัฐไทยมีพันธกรณีตามกติกาสากลในการจัดหาที่อยู่อาศัยให้ผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนา ไม่ใช่ปล่อยให้ถูกไล่รื้อโดยไร้ที่ไป” พร้อมย้ำว่า สิทธิในที่อยู่อาศัยต้องครอบคลุมทั้งความมั่นคงทางกฎหมาย การเข้าถึงสาธารณูปโภค และสิทธิทางวัฒนธรรมที่ผู้คนสามารถดำรงอัตลักษณ์ของตนเองได้
ผศ.เสาวนีย์ แก้วจุลกาญจน์ จากคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) ระบุว่า กฎหมายไทยยังคงแยก ‘บ้าน’ ออกจาก ‘ที่ดิน’ ทั้งที่สิทธิทั้งสองเชื่อมโยงกันโดยตรง
“สิทธิในการอยู่อาศัยไม่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีสิทธิในที่ดิน ซึ่งยังเชื่อมโยงกับสิทธิในน้ำและสิทธิในอาหาร รัฐจึงต้องมองภาพรวมมากกว่าการถือครองเอกสารสิทธิ”
ขณะที่ พิมพ์ดาว จันทรขันตี จากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในปี 2567 มีคำร้องเรียนเรื่องสิทธิในที่อยู่อาศัย 21 คำร้อง และสิทธิในที่ดิน 35 คำร้อง สะท้อนปัญหาการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการพัฒนา
ด้าน สุมิตรชัย หัตถสาร ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น กล่าวในช่วงท้ายเวทีว่า “รัฐบาลไทยชอบพูดถึงสิทธิมนุษยชน แต่ไม่เคยทำตามกติการะหว่างประเทศได้จริง” เขายกตัวอย่างนโยบาย ‘ทวงคืนผืนป่า’ ที่อ้างความยั่งยืน แต่กลับไปทับที่ทำกินของประชาชน “ที่ดินของรัฐมีถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินของตัวเอง”
จากระนองถึงชายฝั่งอันดามัน
เสียงจากชายฝั่งตะวันตกของประเทศยังสะท้อนความกังวลไม่ต่างกัน รสิตา ซุ่ยยัง จากเครือข่ายรักษ์ระนอง กล่าวถึงโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะถมทะเลกว่า 7,000 ไร่ในจังหวัดระนอง และอีก 6,000 ไร่ในจังหวัดชุมพร

“เราถูกมองว่าเป็นแกะดำที่ขัดขวางความเจริญ ทั้งที่เราปกป้องบ้านของเรา บ้านที่เป็นชีวิตของคนทั้งจังหวัด” เธอกล่าว

ขณะที่ ก้อย ทะเลลึก ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์มอแกนบนเกาะพยาม บอกว่า หากเกิดการระเบิดภูเขาและถมทะเล ชุมชนจะสูญเสียทั้งที่ทำกินและบ้าน “บ้านของเราคือทะเล ถ้ามันถูกถม เราจะเหลืออะไรให้ลูกหลาน”

พิเชษฐ์ ปานดำ จากเครือข่ายประมงพื้นบ้านภูเก็ต บอกว่า หลังยุคเหมืองสิ้นสุด ชาวบ้านพยายามฟื้นฟูป่าชายเลนและทะเลด้วยตัวเอง แต่โครงการคาร์บอนเครดิตที่รัฐผลักดันกลับทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนถูกแย่งสิทธิไปอีกครั้ง “มันเหมือนการฟอกเขียว เปลี่ยนทรัพยากรที่เราดูแลมาทั้งชีวิตให้กลายเป็นสินค้าซื้อขายของบริษัทใหญ่”
บ้านในความหมายของสิทธิมนุษยชน
ธนกฤต โต้งฟ้า จาก EarthRights International ซึ่งทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ กล่าวสะท้อนตอนท้ายว่า ไม่ว่าจะเป็นเหมืองแร่ ป่าคาร์บอน หรือแลนด์บริดจ์ ต่างคือภาพเดียวกันของการพัฒนาแบบไม่ฟังเสียงประชาชน “หลังปี 2540 สิทธิชุมชนในการกำหนดวิถีชีวิตค่อยๆ ถูกลดทอน คนในพื้นที่เคยตัดสินใจได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร แต่วันนี้ถูกผลักให้เป็นเพียงผู้ได้รับผลกระทบ”
เวทีบ้านใหม่ใกล้ฉัน ทำให้เห็นภาพรวมของสิทธิในที่อยู่อาศัยที่ยังเปราะบางในหลายภูมิภาคของไทย ไม่ว่าจะเป็นชุมชนภูเขาในแม่ฮ่องสอน หรือชุมชนชายฝั่งในระนอง ล้วนเผชิญปัญหาคล้ายกัน ถูกผลักให้เป็นเพียง ‘ผู้ได้รับผลกระทบ’ จากนโยบายพัฒนาโดยไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
เสียงจากแม่ฮ่องสอนถึงระนองสะท้อนโจทย์เดียวกัน ประเทศไทยยังไม่มี ‘บ้านใหม่ใกล้ฉัน’ ที่เป็นของทุกคนอย่างแท้จริง หากรัฐยังคงมองการพัฒนาเพียงเชิงเศรษฐกิจ โดยไม่ฟังเสียงคนที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้นจริงๆ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...