Lanner Joy: Midnight Rice Fest 2025 สร้างคนและพื้นที่ให้เชื่อมถึงกัน

Date:

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย, ภาพ: คน.ข้าวยาคู้.ช้างม่อย

คืนก่อนวันเพ็ญเดือนสิบสอง แสงทองจากผางประทีปส่องระยิบระยับตามแนวกำแพงในวัดชมพู ย่านช้างม่อย กลิ่นถั่ว งา และกะทิที่คั่วจนหอมฟุ้งอบอวลไปทั่วโรงครัว เสียงกิจกรรมของคนรุ่นใหม่ดังประสานกับจังหวะไม้พายที่ค่อยๆ คนถั่วและงาในกระทะเพื่อเตรียมเป็นวัตถุดิบสำหรับการทำ ‘ข้าวยาคู้’ หรือ ‘ข้าวมธุปายาส’ ที่จะเริ่มกวนตั้งแต่เที่ยงคืน จนถึงรุ่งสางของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 คืนที่ทั้งชุมชน ‘ฮอมคัว ฮอมแรง’ เพื่อแปรแรงศรัทธาให้กลายเป็นรสหวานละมุนแห่งบุญกุศล

ปีนี้ คน.ข้าวยาคู้.ช้างม่อย (Midnight Rice Fest 2025) กลับมาอีกครั้ง ในรูปแบบที่ผสมผสานความดั้งเดิมของพิธีกรรมเข้ากับพลังสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ กลุ่ม Tomorrow.Lab และเครือข่ายศิลปินในเมืองเชียงใหม่ ชวนชุมชน คนอดีตและปัจจุบันเข้าด้วยกันจนเหนียว ให้ข้าวยาคู้กลายเป็นมากกว่าขนมแห่งศรัทธา แต่เป็นเวทีทดลองศิลปะ วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในย่านเก่าแห่งนี้

จากแรงศรัทธาสู่การร่วมมือของคนเก่าใหม่ในชุมชน

‘คนข้าวยาคู้’ คือพิธีดั้งเดิมของชุมชนช้างม่อยเป็นการออมของออมแรงของผู้คน ตั้งแต่เช้าวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 (ตามปฏิทินล้านนา) ชาวบ้านจะนำถั่ว ข้าว งา กะทิ น้ำผึ้ง และวัตถุดิบต่างๆ มารวมกัน ก่อนแยกจัดการแต่ละส่วนให้เหมาะสม พอตกเย็น ก็เริ่มคั่วถั่ว คั่วงา คัดส่วนที่ไหม้ออกจากหม้อ แช่ข้าวเหนียวและตั้งเตานึ่ง และเมื่อเวลาข้ามเที่ยงคืนเข้าสู่วันเพ็ญ 

“วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของปีนี้นี่พิเศษ คือเป็น ‘เป็งปุ้ด’ เป็งปุ้ดคือเป็นวันที่เขาเชื่อว่า ถ้าทำบุญ ‘บูชาพระอุปคุต’ จะได้ไปเจอพระอรหันต์” 

ณัฐพิมล ธนัตถ์สอาดอาวุธ หรือ ป้าจอย ผู้อาวุโสในชุมชนช้างม่อย เล่าให้ฟังขณะที่กำลังช่วยกันคัดถั่วที่คั่วเสร็จแล้ว ตั้งแต่ช่วงกลางวัน ชาวบ้านเริ่มนำของมาฮอมกัน ข้าวสาร ถั่ว งา น้ำตาล น้ำผึ้ง นม เนย น้ำอ้อย

“บางคนบ่าได้เอาอะหยังมาก็ฮอมแก๊สเอา” ป้าจอยหัวเราะเบาๆ “ของทุกอย่างที่มามันคือแรงศรัทธาของแต่ละคน”

พอถึงยามค่ำ ทุกคนมาช่วยกันคั่วถั่ว คั่วงา แช่ข้าว เตรียมวัตถุดิบ ก่อนเริ่มพิธีกวนข้าวตอนเที่ยงคืน พิธีคนข้าวยาคู้เริ่มต้นขึ้นโดยมี ‘สาวพรหมจรรย์’ เป็นผู้เปิดเตา จุดไฟแรกให้กระทะร้อน ก่อนเทส่วนผสมทั้งหมดลงไป แล้วค่อยๆ คนไปอย่างต่อเนื่อง จนข้าวกับกะทิเข้ากันจนเหนียวแน่นเป็นเนื้อเดียว นี่คือคืนที่ต้องพึ่งแรงจากทุกคนในชุมชน โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่ผลัดกันมาช่วยคน บางคนเป็นลูกหลานชาวบ้าน บางคนเป็นศิลปิน นักออกแบบ หรือคนทำงานครีเอทีฟที่ผูกพันกับย่านนี้ ทุกคนมารวมกันโดยมีหม้อข้าวใบเดียวเป็นศูนย์กลาง

“พอเฮากวนข้าวเสร็จ เปิ้นกะจะเริ่มโยงข้าว พอโยงข้าวมธุปายาสหื้อพระพุทธเจ้าแล้วเรียบร้อย ตีสี่เปิ้นก็จะมีการถวาย ถวายเสร็จแล้วตุ๊เจ้าเปิ้นกะจะจุดผางประทีป ถวายผางประทีป กะเป๋นอันเสร็จพิธีทุกอย่าง”

สำหรับป้าจอย การกวนข้าวยาคู้ไม่ใช่เพียงพิธีทำบุญ หากแต่คือภาพของความสามัคคีที่จับต้องได้ ทุกปีเมื่อถึงวันสำคัญ ชาวบ้านทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่จะกลับมารวมตัวกันในลานวัดเดียวกัน หน่วยงานต่างๆ ทั้งจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์มรดกเมือง และชาวช้างม่อยเอง ต่างก็เข้ามาร่วมแรงร่วมใจ เตรียมงานกันช่วยกันตามหน้าที่ เป็นภาพที่ทำให้ป้าจอยอดยิ้มไม่ได้ เมื่อเห็นว่าพลังศรัทธายังทำให้ผู้คนกลับมารวมกันได้เสมอ

“การกวนข้าวยาคู้เนี่ย มันเป๋นเรื่องของความสามัคคี ตอนแรกป้ากะบ่คิดว่าพอถึงวันแต้ๆ แล้วคนจะมากั๋นนัก บ่นึกบ่ฝันว่าทุกคนจะมาร่วมมือร่วมใจ๋กั๋นขนาดนี้”

คน.ข้าวยาคู้.ช้างม่อย (Midnight Rice Fest 2025) ไม่ได้มีเพียงพิธี ‘คนข้าวยาคู้ เท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยกิจกรรมใหม่ๆ ประกอบด้วย

Culture Workshop: เปลี่ยนประเพณีให้กลายเป็นห้องเรียนแห่งวัฒนธรรม ผ่านเวิร์กชอปที่ผสมผสานภูมิปัญญาดั้งเดิมกับความร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้พิธีกรรม การทำเครื่องสักการะ หรือการออกแบบกิจกรรมชุมชนแบบใหม่

Community Ritual: ร่วมพิธีจริงกับชาวชุมชนช้างม่อย ผู้สืบทอดการกวนข้าวมธุปายาสมาหลายสิบปี พร้อมพบปะคนรุ่นใหม่ที่มาช่วย ‘คนข้าว’ ให้โลกได้เห็นว่าความศรัทธาและความสามัคคีในชุมชนยังคงงอกงาม

Street Theater: โรงละครยามค่ำกลางลานวัด กลุ่มละครและศิลปินรุ่นใหม่มาร่วม ‘ทดลองพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์’ ให้กลายเป็นเวทีแห่งจินตนาการ ถ่ายทอดเรื่องราวของย่านเก่าผ่านศิลปะร่วมสมัย

Radio Station: สดจากวัด! คลื่น ‘คนข้าววิทยุ’ ถ่ายทอดเสียงจากดีเจ ศิลปิน และชาวบ้านที่มาร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างเสียงเพลง เสียงหัวเราะ และเสียงไม้พายในหม้อข้าว

City Run: วิ่งรับอรุณหลังงานกวนข้าว กับเส้นทางในเมืองช้างม่อยที่เชื่อมโยงร่างกาย จิตใจ และวัฒนธรรมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

Packaging Lab: ปิดท้ายเช้าวันใหม่ด้วย ‘ห้องทดลองข้าวทิพย์’ ที่เปิดให้ผู้คนได้ร่วมออกแบบบรรจุภัณฑ์ของข้าวมธุปายาสให้ดูร่วมสมัย พร้อมส่งต่อให้กับผู้คนที่มาร่วมฮอมแรง

คนข้าวยาคู้ช้างม่อย เทศกาลของคน เมือง และพื้นที่ที่เโตไปพร้อมกัน

‘คนข้าวยาคู้ช้างม่อย’ คือเทศกาลที่เกิดจากความร่วมมือของคนในชุมชนวัดชมพูและกลุ่มนักวิจัยเชียงใหม่เมืองแห่งการเรียนรู้ (Chiang Mai Learning City) ที่อยากฟื้นประเพณียี่เป็งให้กลับมามีชีวิต ผ่านการ ‘ฮอมคัวฮอมแรง’ หรือการรวมแรงและของเพื่อกวนข้าวยาคู้ร่วมกัน

ภูวา–จิรันธนิน กิติกา อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ร่วมขับเคลื่อนเทศกาล เล่าว่า เขาเชื่อว่าการพัฒนาเมืองต้องเริ่มจาก ‘คน’ ก่อนพื้นที่

“เราเป็นคนเชียงใหม่ ทำงานด้านสถาปัตย์ การได้ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นทำให้เข้าใจว่า การพัฒนาชุมชนเริ่มจากคน แล้วพื้นที่จะพัฒนาไปตามการใช้งานของคน เราเลยมองว่าสถาปัตย์ไม่ใช่การออกแบบพื้นที่ให้คนมาใช้ แต่คือการ ‘สร้างคน’ ที่จะเข้ามาใช้พื้นที่นั้น”

แนวคิดนี้กลายเป็นหัวใจของเทศกาลคนข้าวยาคู้ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อห้าปีก่อนจากการรวมแรงอาสาเล็กๆ จนกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วมของคนในย่าน

“ปีแรกเราแค่มาช่วย แต่เห็นศักยภาพของพื้นที่และผู้คนเลยใช้ทุนวิจัยมาดันให้เทศกาลนี้เชื่อมโยงคนเก่ากับคนใหม่ ปีต่อมาเทศบาลเข้ามาช่วย พอปีที่ 3 คนพร้อมแล้ว เราก็จัดกันเองเต็มรูปแบบ” 

ภูวาเล่าว่าทุกปีเทศกาลจะเปลี่ยนไปตามคนที่มาร่วมสร้างสภาวะใหม่ให้เกิดขึ้น ไม่มีสูตรสำเร็จ แต่สิ่งที่เติบโตขึ้นคือความสัมพันธ์ของผู้คนกับพื้นที่

“ปีแรกเราจัดกาดหลังวัด แม่ๆ ยังไม่เชื่อว่าจะขายได้ เราเลยซื้อของให้มาขายเอง ปีต่อมาเขาทำกันเองหมดเลย”

แม้วันนี้บางร้านจะหายไป แต่สิ่งที่เหลือคือ ‘สภาวะของการร่วมมือ’ ที่คนในและคนนอกชุมชนสร้างขึ้นร่วมกัน สำหรับเขาแล้ว เทศกาลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องศาสนา หากแต่เป็นการสร้าง ‘ประชากรช้างม่อย’ ที่หมายถึงทุกคนที่ได้ใช้พื้นที่และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่

“ถ้าเราได้มารู้จักกันในพื้นที่นี้ เราก็เป็นคนช้างม่อยได้ เพราะความเป็นคนช้างม่อยไม่ได้อยู่ที่กำเนิด แต่อยู่ที่ประสบการณ์ร่วมกันในพื้นที่แห่งนี้”

เทศกาลนี้ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง ‘คนเส้นใน’ อย่างชาวบ้านและวัด กับ ‘คนเส้นนอก’ อย่างร้านค้าและคนรุ่นใหม่ ให้สามารถพูดคุยและตั้งข้อตกลงร่วม เช่น การลดเสียง ดูแลกัน ทำให้ชุมชนกลับมามีความเข้าใจกันอีกครั้ง

“เราไม่ได้ตั้งคณะกรรมการ ไม่ได้ติดตั้งอะไรเลย แต่ ‘สร้างสภาวะ’ ให้เกิดขึ้นจากการร่วมมือของทุกคน คนข้าวยาคู้ช้างม่อย ไม่ใช่แค่เทศกาล แต่มันคือสภาวะเวลาที่คนมาร่วมกัน นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่ามันจะไปต่อได้ เพราะมันเกิดจากคน ไม่ใช่ใครมาจัดตั้ง”

คนข้าวยาคู้ช้างม่อยจึงไม่ใช่เพียงพิธีในยี่เป็งของวัดชมพูหรือชุมชนช้างม่อยเท่านั้น หากแต่เป็นภาพสะท้อนของการฟื้นคืน ‘ชีวิตเมือง’ ที่ค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับผู้คน ทีละแรง ทีละใจ ภายใต้สภาวะที่เรียกว่า ‘การฮอม’ ของชาวช้างม่อย

รากวัฒนธรรมที่ยังเติบโตในใจคนรุ่นใหม่

ประเพณีคนข้าวยาคู้ ของชุมชนช้างม่อย เดิมเป็นกิจกรรมที่ชาวบ้านจัดกันเองในวัดมานานหลายสิบปี เพื่อสืบสานความเชื่อและความสามัคคีในชุมชน ก่อนจะมีการจัดกิจกรรมจริงจังครั้งแรกเมื่อปี 2563 แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2566 เมื่อเทศบาลนครเชียงใหม่ร่วมกับ นักวิชาการด้านเมืองและกลุ่มศิลปินท้องถิ่น เข้ามาช่วยฟื้นฟูงานให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

กันต์กวี อินทธิรา อดีตสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ เล่าว่า ปี 2566 ถือเป็นครั้งแรกที่มีการปรับรูปแบบกิจกรรมให้ร่วมสมัยมากขึ้น มีแสง สี เสียง และการเล่าเรื่องผ่านกิจกรรมต่างๆ แต่ยังคงเคารพรากเดิมของประเพณี หลังจากนั้น ประเพณีคนข้าวยาคู้จัดต่อเนื่องมาทุกปีจนถึงปัจจุบัน โดยไม่ได้อยู่ภายใต้เทศบาลโดยตรงอีกต่อไป แต่ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายในชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ร่วมแรงกันสานต่อ

“ตอนนั้นเราเห็นการเชื่อมต่อระหว่างรุ่นสู่รุ่น คนเฒ่าคนแก่ที่รู้พิธีเก่ามาร่วมกับเด็กๆ ในชุมชนและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ โดยมีอาจารย์ภูเป็นตัวเชื่อม งานปีนั้นเลยสวยงามมาก เพราะมันคือภาพของการต่อยอดวัฒนธรรมที่ยังมีชีวิต”

หลังจากนั้น คนข้าวยาคู้ก็จัดต่อเนื่องมาทุกปีจนถึงปัจจุบัน แม้เทศบาลจะไม่ได้เป็นผู้จัดโดยตรง แต่ชุมชนและกลุ่มผู้ประกอบการในย่านช้างม่อยก็ยังรวมตัวกันจัดเอง “เราพยายามทำให้ของเก่ายังอยู่ แต่ดูเข้าถึงง่ายขึ้น สดชื่นขึ้น ฝรั่ง นักท่องเที่ยวก็สนใจมาดูเยอะขึ้น มันพิสูจน์ได้ว่าความทันสมัยกับรากเหง้ามันไปด้วยกันได้” กันต์กวีกล่าว

ในมุมของ นันท์นภัสร์ ปฐมเดชภัทรคุณ สมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ ซึ่งดูแลแขวงนครพิงค์ เธอมองว่าช้างม่อยเป็นชุมชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว “ที่นี่อยู่ใกล้โซนเศรษฐกิจ คนในพื้นที่มีความคิดสร้างสรรค์ อยากทำอะไรของตัวเองเยอะมาก และช่วยกันดีมาก”

เธอเล่าว่า เคยเสนอ ‘วาระช้างม่อย’ ให้เทศบาลพิจารณา เพื่อผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ที่จอดรถ ท่อระบายน้ำ และฟุตปาธให้ดีขึ้น เพราะคนในชุมชนสะท้อนว่าพื้นที่เหล่านี้ยังไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวัน ตลอดสามปีที่ผ่านมา พื้นที่จัดงานได้ขยับจากในวัดออกมาสู่ถนนและลานสาธารณะในย่านช้างม่อย เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนทั่วไปและนักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมมากขึ้น 

“ตอนนี้กิจกรรมก็ได้เปิดพื้นที่มากขึ้น คนเมืองและนักท่องเที่ยวก็ได้มาเห็นด้วย” เธอกล่าว พร้อมย้ำว่า การจัดงานในพื้นที่ชุมชนเองช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียน และทำให้คนในย่านมีส่วนร่วมจริง

นันท์นภัสร์ยังกล่าวอีกว่า แต่ละชุมชนมีเรื่องราวและวัฒนธรรมของตัวเองที่น่าสนใจ ถ้าได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม เมืองเชียงใหม่จะยิ่งมีชีวิตมากขึ้น

‘คนข้าวยาคู้ช้างม่อย’ จึงไม่ใช่เพียงพิธีกรรมในวัด แต่กลายเป็นเทศกาลร่วมสมัยที่เติบโตจากพลังของคนในชุมชน ความร่วมมือของคนรุ่นใหม่ และการสืบต่อรากล้านนาให้ยังหยั่งลึกอยู่กลางเมืองเชียงใหม่

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

สารหนูปนเปื้อนสาละวิน คพ.ยันปลอดภัย นักวิจัยเตือนอย่าด่วนสรุปก่อนผลแล็บจริง

ภาพ: กรมควบคุมมลพิษ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ผศ.ดร.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่...

เครือข่ายชุมชนแม่ยาวเชียงราย ค้าน ‘ฝายดักตะกอน’  ชี้ไม่แก้ปัญหาน้ำกก ร้องรัฐบาลจริงใจแก้ปัญหาสารพิษข้ามพรมแดน

6 พฤศจิกายน 2568 ที่ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตร่วมกับเครือข่ายสิทธิชุมชนเชียงราย เป็นตัวแทนชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่ ได้จัดเวทีระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำข้อเสนอเตรียมเข้าสู่เวทีรับฟังความคิดเห็นของกรมทรัพยากรน้ำ...

นักวิชาการแนะใช้ ‘TEIA’ กู้วิกฤต ‘โขง – สาละวิน’ ปนเปื้อนสารพิษ ชาวบ้าน – ส.ส.ประชาชนจี้รัฐเร่งแก้ปัญหา

ภาพ: Salaween Life 28 ตุลาคม 2568 มีการเปิดเผยข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์โดย ผศ.ดร.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม...

กฟผ.แจง ‘ดินสไลด์แม่เมาะ’ ไม่กระทบไฟฟ้า-ชุมชน ด้านเครือข่ายผู้ป่วยชี้ ‘คนยังอยู่ในรัศมีอันตราย’

ภาพ: กฟผ.แม่เมาะ 4 พฤศจิกายน 2568 เกิดเหตุดินสไลด์ขนาดใหญ่ในพื้นที่ทิ้งดินเหมืองแม่เมาะ หมู่ 6 ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ...