เมื่อการรวมกลุ่มอาจเป็นก้าวแรก ซุ่มเสียงของแรงงานสร้างสรรค์ หลังม่านเชียงราย ‘เมืองศิลปะ’

Date:

เรื่อง: อนันตญา ชาญเลิศไพศาล

ภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง

  • รายงานของ Thailand Biennale Chiang Rai ที่จัดทำโดย TCEB ระบุว่า มหกรรมศิลปะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 7,971.09 ล้านบาทและยังสร้างรายได้จากภาษีให้รัฐบาลถึง 329 ล้านบาท อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 9,000 ตำแหน่ง จากตัวเลขนี้ทำให้เห็นว่าโครงการทางศิลปะในเชียงรายสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างล้นหลามให้กับจังหวัด
  • ‘แรงงานสร้างสรรค์’ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรม และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แต่กลับไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงหรือการสนับสนุนอย่างเหมาะสม ศิลปินในท้องถิ่นยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการจ้างงาน เช่น การได้รับค่าจ้างที่ไม่เหมาะสมกับลักษณะงาน, การมีช่องว่างในการรับรู้ของคนในวงการศิลปะ และการขาดความเข้าใจในความสำคัญของแรงงานสร้างสรรค์
  • ดร.ผานิตดา ไสยรส เสนอมุมมองที่ช่วยชี้ให้เห็นกลไกสำคัญที่องค์กรภาครัฐและเอกชนให้ความสำคัญผ่านแนวคิด “วัฒนธรรมการตรวจสอบ (Audit Culture)” ซึ่งวิพากษ์การสร้างเครื่องมือเพื่อวัดจริยธรรมใหม่ ภายใต้รูปแบบการปกครองที่เน้นการควบคุมผ่านการประเมินผลเชิงปริมาณแม้ว่าการวัดจำนวนผู้เข้าชมและรายได้จากการท่องเที่ยวจะสะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่กลับมีข้อจำกัดการพัฒนาในเชิงคุณภาพ เช่น ขาดโครงการศิลปะที่เน้นกระบวนการเรียนรู้ ขาดความหลากหลายในการสร้างสรรค์ผลงาน ทำให้แรงงานสร้างสรรค์มักถูกมองเป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างผลผลิตเศรษฐกิจเท่านั้น
  • การหันมามองเสียงสะท้อนจากแรงงานสร้างสรรค์ ที่ไม่ใช่แค่การวัดผลจากตัวเลขหรือการท่องเที่ยว  แต่ยังต้องพิจารณาถึงการให้พื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้อยู่อาศัยในเมืองนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเมืองศิลปะที่ยั่งยืน

เมื่อกล่าวถึง ‘เชียงรายเมืองศิลปะ’ เราจะนึกถึงจังหวัดที่เต็มไปด้วยรากฐานทางศิลปะและวัฒนธรรม ตั้งแต่ผลงานจากช่างฝีมือหรือที่คนเหนือเรียกกันว่า ‘สล่า’ ไปจนถึงผลงานของศิลปินท้องถิ่นรุ่นบุกเบิก ที่มีอิทธิพลในการสร้างแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นใหม่ในเชียงรายมาจนถึงปัจจุบัน กระทั่งในปี 2566 ที่ผ่านมา เชียงรายได้จัดมหกรรมศิลปะ Thailand Biennale Chiang Rai ซึ่งนำเสนอผลงานจากศิลปินกว่า 60 คนทั่วโลก เปิดพื้นที่ให้ศิลปะร่วมสมัยและเรื่องราวประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมาบรรจบกันพร้อมดึงดูดผู้ชมทั้งในและต่างประเทศ

จากรายงานของโครงการ Thailand Biennale Chiang Rai ที่จัดทำโดย TCEB ระบุว่า มหกรรมศิลปะนี้ไม่เพียงแต่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 7,971.09 ล้านบาทเท่านั้น แต่ยังสร้างรายได้จากภาษีให้รัฐบาลถึง 329 ล้านบาท อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 9,000 ตำแหน่ง นอกจากนั้น โครงการ Everywhere Gallery หรือโครงการทุกที่คือแกลเลอรีฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานศิลปะวัฒนธรรมร่วมสมัยในปีถัดมา ยังได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างการหมุนเวียนของรายได้เกือบ 12 ล้านบาท พร้อมทั้งเสริมสร้างอัตราการจ้างงานที่หลากหลายขึ้น รวมถึงการสร้างงานในกลุ่มสาขา ‘แรงงานสร้างสรรค์’

จากตัวเลขที่ได้กล่าวมานี้ ชี้ให้เห็นว่าโครงการทางศิลปะในเชียงรายได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างล้นหลามให้กับจังหวัด แต่ท่ามกลางตัวเลขที่สะท้อนความสำเร็จเหล่านี้ ยังมีบทบาทสำคัญอีกด้านที่ไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึง นั่นก็คือ ‘แรงงานสร้างสรรค์’ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรม นิทรรศการ หรือโครงการทางศิลปะให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม

เชียงรายเป็นเมืองที่มีแรงงานสร้างสรรค์อยู่หลากหลาย เช่น นักติดตั้งงานศิลปะ, นักการจัดการ, นักออกแบบกราฟิก หรือแม้กระทั่งศิลปินอิสระ ที่สร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง โดยแต่ละคนมีบทบาทและกระบวนการสร้างสรรค์ที่แตกต่างกันไป เช่น แกรม – สุรยุทธ์ จิตมโนวรรณ์ ศิลปินรุ่นใหม่ที่รับทำเฟรมวาดภาพ และรับติดตั้งงานศิลปะ, แพร – กิตติ์สินี ธันวรักษ์กิจ นักการจัดการที่ทำงานประจำแต่ยังรับงานด้านศิลปะอย่างต่อเนื่อง, และ ปลา – สิริฉาย เอาฬาร สมาชิกกลุ่มศิลปินแม่ญิง (Maeying Artists Collective) ที่สร้างสรรค์ผลงานในฐานะศิลปินอิสระ  

รายงานนี้จะนำพาไปสำรวจตรวจตราประเด็นต่างๆ จากตัวแทนแรงงานสร้างสรรค์ในเชียงราย ผ่านซุ่มเสียงของประสบการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นมาตรฐานค่าตอบแทนในสายอาชีพสร้างสรรค์ การกระจายโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ ไปจนถึงการรวมกลุ่มนักสร้างสรรค์ ที่จะอยู่อย่างไรให้ยั่งยืน ท่ามกลางการก้าวเดินของ ‘เมืองศิลปะ’

สำรวจการรับจ้างและค่าตอบแทนของนักสร้างสรรค์ในจังหวัดเชียงราย ผ่านประสบการณ์ของ ‘นักติดตั้งผลงานศิลปะ’

ผลสำรวจแรงงานสร้างสรรค์ใน จ.เชียงราย ปี 2567 จากกลุ่มตัวอย่าง 22 คน พบว่า ส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10,000-15,000 บาทต่อเดือน โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอิสระ และต้องหารายได้เสริมจากช่องทางอื่น เพราะรายได้จากงานสร้างสรรค์เพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ นอกจากนั้นแรงงานกลุ่มนี้ยังสะท้อนความต้องการที่ชัดเจนในเรื่องการสนับสนุนสวัสดิการ โดยเฉพาะประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับลักษณะงานซึ่งต้องเผชิญความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในอาชีพ

แกรม – สุรยุทธ์ จิตมโนวรรณ์ นักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ที่ทำงานเป็นประกอบเฟรมวาดภาพและรับติดตั้งผลงานในเชียงราย สะท้อนถึงปัญหาความเข้าใจในการทำงานและค่าตอบแทนของอาชีพ ‘นักติดตั้งผลงานศิลปะ’ สุรยุทธ์ชวนมองว่า เบื้องหลังการติดตั้งผลงานศิลปะนั้นมีความซับซ้อน และละเอียดอ่อน ซึ่งไม่เพียงนำงานมาติดบนผนังเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น  การเลือกวัสดุที่เหมาะสม การประเมินความเสี่ยง การคำนวณค่าใช้จ่ายของอุปกรณ์ รวมไปถึงความปลอดภัยในการรักษาผลงานให้สมบูรณ์ตลอดระหว่างการแสดง งานเหล่านี้ต้องใช้ทั้งเวลาและทักษะเฉพาะด้าน แต่ความสำคัญเหล่านี้มักไม่ถูกมองเห็นหรืออธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจ นำมาสู่การประเมินค่าแรงที่ไม่สมเหตุสมผล  

“เวลารับงานจ้าง บางครั้งเราถูกคนที่มีอายุมากกว่ามองว่าเราอายุน้อย เลยได้เรทที่ค่อนข้างต่ำ อย่างครั้งหนึ่งผมเคยไปติดตั้งงานชิ้นค่อนข้างใหญ่ 3 วัน แต่ได้ค่าจ้างเพียง 1,000-1,500 บาท ในขณะเดียวกันนักติดตั้งที่กรุงเทพฯ ได้เรทอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท ในการรับเหมาแต่ละโปรเจ็กต์”

สุรยุทธ์ จิตมโนวรรณ์

สุรยุทธ์ยังชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญในการผลักดันวงการศิลปะในเชียงราย ที่ยังขาดการการสนับสนุนและการเปิดรับผลงานรูปแบบใหม่ๆ จากศิลปินรุ่นใหม่ ทำให้งานศิลปะในเชียงรายยังขาดความหลากหลาย

“อยากให้ผู้อาวุโสในวงการศิลปะ เปิดรับความคิดและแนวทางศิลปะของคนรุ่นใหม่มากกว่านี้ เพราะบางคนยังเข้าใจว่า ‘งานศิลปะเป็นแค่ภาพวาด’ ความคิดนี้จะกลายเป็นกรอบที่จำกัดศักยภาพของศิลปินในพื้นที่ ทั้งที่จริงแล้วศิลปะมีความหลากหลายและกว้างไกลกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงสด การออกแบบ การจัดวาง หรือแม้แต่ศิลปะแนวทดลอง”

ทั้งนี้สุรยุทธ์ยังสะท้อนบทบาทของโครงการหรือเทศกาลศิลปะที่สามารถกระตุ้นความสนใจในพื้นที่ได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องการขาดความเข้าใจในกระบวนการทำงานศิลปะของคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นจุดที่ยังต้องพูดคุยและสร้างการรับรู้ให้มากขึ้นต่อไป

“การจัดงานไทยแลนด์เบียนนาเล่เชียงรายประสบความสำเร็จที่ทำให้นักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่สนใจงานศิลปะในช่วงระยะเวลาหนึ่ง สร้างความแปลกใหม่กับพื้นที่ขณะนั้น แต่หลังจากนั้นแล้ว ปัญหาที่ยังคงมีอยู่ในเชียงราย ก็คือบางครั้งผู้คนยังไม่เข้าใจกระบวนการทำงาน การจ้างงาน และค่าแรงที่ควรจะเป็น” 

การพัฒนาคนตัวเล็ก: รากฐานสำคัญของเมืองศิลปะ มุมมองของนักสร้างสรรค์ และนักการจัดการในเชียงราย

จากการสำรวจแรงงานสร้างสรรค์ในเชียงรายปี 2567 พบว่า กว่า 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังคงเลือกทำงานในสายสร้างสรรค์ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาอัตราค่าจ้างที่จำกัด จนบางส่วนต้องพึ่งพาการขายงานนอกพื้นที่ตนเอง 

ปลา – สิริฉาย เอาฬาร ศิลปินจากกลุ่มแม่ญิงคอลเลคทีฟ เป็นอีกหนึ่งคนที่ทำงานด้านการจัดการศิลปะในเชียงรายมากว่า 8 ปี เธอเล่าว่า เดิมเธอไม่ใช่คนที่มีรากฐานอยู่ในเชียงรายมาก่อน แต่เพราะว่าเธออยากอยู่เชียงราย ทำให้ต้องพยายามหาเส้นทางในการทำงานด้านศิลปะและหารายได้จากการขายผลงาน เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ในจังหวัดนี้ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ซื้อผลงานของเธอก็มักจะเป็นคนกรุงเทพฯ 

สิริฉาย เอาฬาร ภาพจาก Siri Pla

เมื่อในเมืองยังคงมีคนทำงานในพื้นที่เยอะ การพัฒนานักสร้างสรรค์ในพื้นที่จึงถือเป็นส่วนสำคัญ ดังนั้น การสร้างโอกาสให้เด็กและคนรุ่นใหม่ รวมถึงการสนับสนุนนักสร้างสรรค์ในช่วงพัฒนาตัวเอง ให้มีพื้นที่สำหรับการแสดงออกซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในระดับท้องถิ่น

“น้อยครั้งที่เราจะได้เห็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้คนตัวเล็กๆ ได้พัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเด็กที่อยากเรียนรู้กระบวนการศิลปะ หรือคนที่ต้องการพัฒนาทักษะเพื่อไปต่อในอาชีพ เราเคยแลกเปลี่ยนมุมมองกับโรงเรียนว่า แทนที่จะพยายามบังคับให้ทุกคนเป็นเหมือนกันราวกับอยู่ในโรงงานผลิต ทำไมถึงไม่ส่งเสริมให้เด็กแต่ละคนได้ทำตามความคิดสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง เพราะถ้าเราอยากเปลี่ยนแปลง เราต้องเริ่มจากการให้คุณค่ากับคนที่ทำงานให้เราก่อน” 

สิริฉายได้ตั้งคำถามและข้อสังเกตถึงการพัฒนาเมืองผ่านกิจกรรมทางศิลปะที่เกิดขึ้นว่า ทำไมเชียงรายถึงยังขาดกิจกรรมทางศิลปะที่ส่งเสริมการพัฒนาผลงานของคนในจังหวัด? โดยเธอได้ให้ความเห็นอีกว่าการพัฒนาเมืองศิลปะนั้นควรจะเริ่มต้นจากเด็กไปจนถึงคนรุ่นใหม่ ให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้และมีอิสระในแนวทางของตัวเอง และไม่ควรละเลยนักสร้างสรรค์ที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาตัวเองให้มีพื้นที่ในการแสดงออก 

“เด็กบางคนอาจถนัดทำงานตามกรอบได้ดี แต่สำหรับเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์  เราควรส่งเสริมและสนับสนุนพวกเขาให้ได้พัฒนาในสิ่งที่ตนเองสนใจและถนัด การเปิดโอกาสให้พวกเขาแสดงออกอย่างอิสระ  เพราะแต่ละคนเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ที่ถูกสร้างมาแตกต่างกัน แทนที่จะพยายามปรับให้ทุกคนเหมือนกัน ทำไมเราไม่เลือกที่จะนำความพิเศษและความแตกต่างเหล่านั้น มาต่อกันให้เกิดเป็นภาพรวมที่สมบูรณ์และน่าสนใจกว่านี้”

สร้างการมีส่วนร่วม ลดช่องว่างของความเข้าใจ  เพื่อรายได้ที่ดีกว่าเดิม

กิตติ์สินี ธันวรักษ์กิจ ภาพกิจกรรม Street Performmance#4 จาก Everywhere Gallery

แพร – กิตติ์สินี ธันวรักษ์กิจ นักการจัดการที่ทำงานร่วมกับผู้ประกอบการภาคเอกชนเป็นอาชีพหลัก และทำงานสร้างสรรค์เป็นอาชีพเสริม ได้เล่าว่า จากประสบการณ์ที่เธอได้พบเจอในเทศกาลเชียงรายเบียนนาเล่ ทำให้เห็นว่าผู้ประกอบการมักจะให้ความสำคัญกับผลตอบแทนเป็นหลัก ดังนั้น การสร้างรายได้จากงานศิลปะจึงเป็นเรื่องที่สร้างความท้าทายให้กับศิลปิน 

“มากกว่าการจัดแสดงงานศิลปะ คือการสร้างกิจกรรมให้คนทั่วไปเข้าร่วมได้ งานศิลปะต้องไม่จำกัดอยู่ในแกลเลอรี่ หรือในพื้นที่เอกชน แต่มันควรเปิดกว้างให้คนทั่วไปมีส่วนร่วมด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเวิร์กช็อปหรืออีเวนต์ศิลปะในพื้นที่สาธารณะ” 

กิตติ์สินีเล่าอีกว่าปัญหาที่ศิลปินหลายคนมักจะพบเจอก็คือ ‘ช่องว่างระหว่างความเข้าใจในศิลปะกับคนทั่วไป’ เพราะแม้ว่าเชียงรายจะมีศิลปินจำนวนมากถึงหลักร้อย แต่เมื่อผู้ชมไม่เข้าใจในผลงานก็ทำให้การสร้างรายได้จากผลงานนั้นยากขึ้น ดังนั้น การเปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้เข้ามามีส่วนร่วม มาเข้าใจผลงานศิลปะมากขึ้น ก็จะช่วยลดช่องว่างนั้นให้น้อยลงได้

“การขยายขอบเขตของศิลปะให้เข้าถึงชุมชนมากขึ้น เป็นอีกสิ่งที่จะช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาว เพราะเมื่อศิลปะสามารถแทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันของผู้คนได้ ความเข้าใจและการยอมรับในคุณค่าของงานสร้างสรรค์ย่อมจะเพิ่มมากขึ้น”

กิตติ์สินีสะท้อนว่าปัญหาของระบบนิเวศศิลปะในเชียงรายนั้นยังขาดการเข้าถึงคนทั่วไปที่สนใจโดยเสนอว่าการจะทำให้ศิลปะเข้าถึงชุมชนได้นั้นศิลปินในท้องถิ่นจะต้องช่วยกันทำให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและควรที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐด้วยเช่นเดียวกัน 

ภาพกิจกรรม Street Performmance#4 จาก Everywhere Gallery

เชียงรายในฐานะ “เมืองศิลปะ” จะเติบโตต่อไปอย่างไร?

ภาพจาก Thailand Biennale 

แม้ว่ากิจกรรมศิลปะในเชียงรายจะได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน และส่งผลให้เกิดการจ้างงานมากมายในช่วงเวลาเทศกาลศิลปะ แต่ศิลปินและนักสร้างสรรค์ในท้องถิ่น ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการจ้างงาน เช่น การถูกจ้างงานด้วยค่าจ้างที่ไม่เหมาะสมกับลักษณะงานที่ซับซ้อนและมีทักษะเฉพาะ แสดงให้เห็นถึงช่องว่างในการรับรู้ของคนในวงการศิลปะ และการขาดความเข้าใจในความสำคัญของแรงงานสร้างสรรค์

ดร.ผานิตดา ไสยรส

ดร.ผานิตดา ไสยรส อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เสนอมุมมองที่ช่วยชี้ให้เห็นกลไกสำคัญที่องค์กรภาครัฐและเอกชนให้ความสำคัญผ่านแนวคิด “วัฒนธรรมการตรวจสอบ (Audit Culture)” ซึ่งวิพากษ์การสร้างเครื่องมือเพื่อวัดจริยธรรมใหม่ ภายใต้รูปแบบการปกครองที่เน้นการควบคุมผ่านการประเมินผลเชิงปริมาณ เช่น การวัดความสำเร็จจากตัวเลขและตัวชี้วัดทางการเงิน  จำนวนผู้เข้าชมงานและรายได้จากการท่องเที่ยว แนวคิดนี้เริ่มต้นในศตวรรษที่ 19 จากความพยายามในการควบคุมและการบริหารจัดการแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมตามแบบวิทยาศาสตร์ของ Frederick W. Taylor และพัฒนาไปสู่กลไกและระเบียบปฏิบัติภายในองค์กรที่แพร่หลายในยุคเสรีนิยมใหม่ (Neoliberalism) ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา

จังหวัดเชียงรายซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อพัฒนาให้เป็น “เมืองศิลปะ” มีการใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้ในการพิสูจน์ประสิทธิภาพของกิจกรรมต่างๆ เช่น งานนิทรรศการศิลปะ เทศกาลวัฒนธรรม และการพัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์ ถึงแม้ว่าตัวชี้วัดที่เน้นการนับจำนวนและการประเมินผลในเชิงปริมาณ เช่น จำนวนผู้เข้าชมงานและรายได้ที่เกิดจากการท่องเที่ยว จะสามารถสะท้อนถึงความสำเร็จในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจแต่กลับทำให้เกิดข้อจำกัดในการพัฒนาในเชิงลึกซึ่งไม่สามารถทำให้คนอยู่อาศัยได้ผลประโยชน์อย่างกว้างขวาง เช่น ขาดโครงการศิลปะที่เน้นกระบวนการเรียนรู้, ไม่เกิดความหลากหลายในการทำงานสร้างสรรค์, หรือการมองข้ามคุณภาพชีวิตของแรงงานสร้างสรรค์ ซึ่งบางครั้งอาจถูกมองเป็นเพียงฟันเฟืองในการสร้างผลผลิตเพื่อสนับสนุนมูลค่าทางเศรษฐกิจเท่านั้น 

ในบางครั้งแรงงานสร้างสรรค์ในเชียงรายยังพบกับปัญหาเรื่องค่าแรงที่ไม่เหมาะสม การขาดโอกาสในการเติบโตหรือการที่นักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียม การเดินหน้าสู่ความยั่งยืนของเมืองศิลปะเชียงรายจะเป็นไปได้หรือไม่ หากยังขาดการสนับสนุนหรือพัฒนาความเป็นอยู่ของแรงงานสร้างสรรค์  

“การรวมกลุ่ม” จุดเริ่มต้นในการสร้างความเป็นไปได้ ให้กับนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ในจังหวัดเชียงราย

จากกิจกรรม Knock Knock: Open Conversation จัดโดย Dude, movie และ Hangpui Art space เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาโดยมีกิจกรรมเสวนา ร่วมกับกลุ่มศิลปินและนักเคลื่อนไหวในหัวข้อ “ทิศทางการเคลื่อนไหวทางสังคม ผ่านปฏิบัติการทางศิลปะ”   โดยเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับ ‘การรวมตัว’ ในบริบทต่างๆ เช่น การสร้างคอลเลคทีฟ การเคลื่อนไหวทางสังคม และทิศทางการขับเคลื่อนผ่านศิลปะ บนความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย

ร่วมเสวนาโดย กอบพงษ์ ขันทพันธ์ – ฮอมจ๊อยซ์ฯ สิริฉาย เอาฬาร – กลุ่มศิลปินแม่ญิง, ปฏิภาณ บุณฑริก – Chiang Rai Film Club และ สุดารัตน์ สาโรจน์จิตติ – พก : ร้านหนังสือและโรงหนัง ขนาดเล็ก 

จากประเด็นในการเสวนานั้น จึงสรุปได้ประเด็นและทิศทางดังหัวข้อต่อไปนี้

1.จุดร่วมของกลุ่มนักสร้างสรรค์: ศิลปะในฐานะเครื่องมือแห่งการเปลี่ยนแปลง

จุดร่วมสำคัญของกลุ่มนักสร้างสรรค์ในเชียงรายดังกล่าวคือการใช้ศิลปะและกระบวนการสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงผู้คน สร้างพื้นที่ทางเลือก และขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมทั้งหมดนี้เกิดขึ้นผ่านวิธีการที่แตกต่างกันตามบริบทและเป้าหมายของแต่ละกลุ่มแม้การทำงานจะเผชิญข้อจำกัดทางต้นทุนและทรัพยากร แต่พวกเขายังคงเห็นว่าการทำงานศิลปะไม่เพียงแค่สร้างรายได้ทางธุรกิจ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยตั้งคำถาม เปิดบทสนทนา และสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมผ่านการนำเสนอประเด็นและเป็นกระบอกเสียงในชุมชน

2.การพัฒนาศักยภาพและการบ่มเพาะบุคลากรสร้างสรรค์

หนึ่งในประเด็นที่กลุ่มนักสร้างสรรค์ในเชียงรายได้สะท้อนคือการเข้าถึงองค์ความรู้การศึกษาในด้านศิลปะและการจัดการที่ยังค่อนข้างจำกัดรวมถึงโปรแกรมการศึกษาไม่ว่าจะเป็นในระดับมหาวิทยาลัยหรือการฝึกอบรมในระยะสั้นที่สามารถตอบโจทย์ทักษะเฉพาะทางที่ต้องการและยังขาดกิจกรรมที่เปิดให้มีโอกาสได้ทดลองทำงานที่หลากหลายรูปแบบ 

3.หันกลับมามองก้าวแรกของการพัฒนาเมืองศิลปะ: การสนับสนุนคนทำงานสร้างสรรค์

จากเสวนาเกี่ยวกับการรวมกลุ่มนักสร้างสรรค์ในเชียงราย พบว่า การรวมกลุ่มถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการพัฒนาเมืองศิลปะ แต่ยังเผชิญกับอุปสรรค เช่นการขาดการสนับสนุนจากองค์กรศิลปะและวัฒนธรรม นักสร้างสรรค์ได้เน้นถึงความสำคัญของการให้คุณค่ากับคนทำงานเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความยั่งยืนในอาชีพและความเป็นอยู่ในเชียงราย โดยไม่จำเป็นต้องออกไปหาโอกาสจากภายนอก

เมื่อมองไปข้างหน้าในการพัฒนาเมืองเชียงราย คำถามสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ เราจะสามารถให้คุณค่ากับแรงงานสร้างสรรค์หรือบทบาทของแรงงานประเภทอื่น ๆที่ช่วยทำให้ศิลปะและวัฒนธรรมเติบโตและมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเมืองมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจได้หรือไม่? 

การหันมามองเสียงสะท้อนจากแรงงานสร้างสรรค์อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเมืองศิลปะที่ยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงแค่การวัดผลจากตัวเลขหรือการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาถึงการให้พื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้อยู่อาศัยในเมืองนี้อีกด้วย

อนันตญา ชาญเลิศไพศาล 

(ไอซ์) เกิดและโตที่เชียงใหม่ ก่อตั้งกลุ่ม SYNC SPACE ผลักดันพื้นที่สร้างสรรค์สาธารณะโดยชุมชนและคนรุ่นใหม่

อนันตญา ชาญเลิศไพศาล 
อนันตญา ชาญเลิศไพศาล 
(ไอซ์) เกิดและโตที่เชียงใหม่ ก่อตั้งกลุ่ม SYNC SPACE ผลักดันพื้นที่สร้างสรรค์สาธารณะโดยชุมชนและคนรุ่นใหม่

More like this
Related

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...

Lanner Joy: Choobjai Craft Chocolate แบรนด์เล็กจากเชียงดาว ที่อยากส่งต่อโกโก้ ชุบใจให้คนตัวเล็กมีแรงสู้ต่อ

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย ภาพ: ชุบใจ Choobjai Craft Chocolate ในวันที่ชีวิตอาจขมจนเกินไป หลายคนเลือกจะ...