สภาชนเผ่าพื้นเมืองจัด ‘เอิ้นขวัญ  ปันน้ำใจ’ สะท้อนพลังชนเผ่าในวันชนเผ่าพื้นเมืองสากล

9 สิงหาคม 2568 สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยจัดกิจกรรม ‘เอิ้นขวัญ ปันน้ำใจ’ เนื่องในวันชนเผ่าพื้นเมืองสากล ณ พิพิธภัณฑ์เรียนรู้ราษฎรบนพื้นที่สูง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมเฉลิมฉลองพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ที่เพิ่งผ่านร่างเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา

ภายในงานมีกิจกรรมประมูลผลิตภัณฑ์ชุมชนจาก 40 กลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการปะทะในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาและอุทกภัยในภาคเหนือ พร้อมเสวนา ‘พลังชนเผ่าพื้นเมือง สรรค์สร้างความรุ่งเรืองให้สังคมไทย’ เพื่อส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สายตาประชาคมโลก นอกจากนี้ยังมีพิธี ‘เอิ้นขวัญ’ เพื่อส่งกำลังใจผ่านแสงเทียนและเสียงเพลง โดยตัวแทนชนเผ่าพื้นเมืองกว่า 40 กลุ่มร่วมส่งกำลังใจให้ครอบครัวผู้สูญเสียจากสถานการณ์สู้รบที่ผ่านมา

“ก็ดีใจครับ เราต่อสู้กันมากว่า 10 ปี กว่าจะได้ พ.ร.บ. ตัวนี้ จึงถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญมากครับ”

สมนึก แสนทะวงษ์ หนึ่งในผู้ร่วมงาน ตัวแทนชาติพันธุ์ชองจากจันทบุรี เล่าว่า ในครั้งนี้ตนมาร่วมงานเฉลิมฉลองการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนนท่วมท้นกว่า  421 เสียง เขายังกล่าวถึงความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ว่า เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องสิทธิที่ดินและอาชีพของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ประสบปัญหาการละเมิดจากภาครัฐ โดยเฉพาะในภาคเหนือที่มีปัญหาอย่างรุนแรง เช่น กรณีแก่งกระจานและน้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ 

“เราถูกกระทำจากภาครัฐมาเยอะ หลายกลุ่มโดนไล่ที่ เผาที่ อย่างที่เห็นตามข่าว แต่เราไม่สามารถไปฟ้องร้องใครได้ การมี พ.ร.บ. ตัวนี้ อย่างน้อยก็เป็นการเบรกภาครัฐ ไม่ให้เข้ามาละเมิดสิทธิ เช่น การเผาบ้าน ไล่ที่ เหมือนกรณีที่แก่งกระจาน หรือที่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่”

ด้าน ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ ครูจากโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารีฯ จังหวัดลำปางที่เข้ามาร่วมงาน เล่าว่า ในครั้งนี้เธอเข้ามาร่วมงานด้วยความบังเอิญ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้มาเข้าร่วม เธอเล่าอีกว่า แม้ที่ผ่านมาอาจเคยมีการจัดงานเกี่ยวกับคนชาติพันธุ์หรืองานที่พูดถึงคนชาติพันธุ์ แต่ก็มักเน้นที่วัฒนธรรมและความหลากหลาย และไม่พูดถึงสิทธิหรือกฎหมายที่ช่วยให้พวกเขามีเสียงในสังคมจริงๆ มากนัก

“ในฐานะครู เราดูแลเรื่องการศึกษา เด็กส่วนใหญ่ได้เรียนตามกฎหมายขั้นพื้นฐาน แต่บางครั้งค่านิยมในครอบครัวหรือสังคมทำให้เด็กเรียนโดยไม่ได้ใช้ความรู้ไปพัฒนาชีวิต ทั้งที่พวกเขาเป็นประชากรสำคัญของประเทศ”

เธอชี้ว่า แม้เด็กชาติพันธุ์จะได้เรียนตามกฎหมาย แต่ค่านิยมในครอบครัวและสังคมทำให้หลายคนเรียนโดยไม่ได้นำความรู้ไปพัฒนาชีวิตจริง หลายคนอยู่ชายขอบเสี่ยงปัญหาสังคม เช่น ยาเสพติด

ขวัญฤทัยจึงเห็นว่า พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการยอมรับในสังคม และส่งเสริมให้เด็กชาติพันธุ์เห็นความสำคัญของการศึกษา แม้เผชิญปัญหาเด็กไม่มีสัญชาติหรือบัตรเลข 0 ที่จำกัดโอกาสในอนาคต

“หากมีกฎหมายรับรองก็จะช่วยให้เด็กเข้าถึงโอกาส รู้สึกมีตัวตนในสังคม และอยากนำความรู้ไปต่อยอด เพราะหลายคนคิดว่าเรียนไปก็ต้องกลับไปทำไร่ทำนาเหมือนเดิม บางคนไม่มีสัญชาติ ถือบัตรเลข 0 ทำให้รู้สึกว่าอนาคตจำกัด จบ ม.6 แล้วถ้าไม่ขยันหรือมีเป้าหมายจริง ก็มักไม่เรียนต่อ เพราะยากจะใช้ความรู้และทำงานนอกพื้นที่บ้านได้”

เกรียงไกร ชีช่วง ประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ได้อธิบายว่างานวันนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับ ‘วันชนเผ่าพื้นเมืองสากล’ ซึ่งตรงกับวันที่ 9 สิงหาคมของทุกปี

เขายังกล่าวถึงวาระสำคัญในปีนี้ คือ การขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่สภาชนเผ่าพื้นเมืองเป็นผู้ริเริ่มร่างแรก แม้ร่างกฎหมายจะติดขัดในช่วงสมัย คสช. เนื่องจากเป็นร่างจากภาคประชาชน แต่ก็ทำให้ภาครัฐให้ความสำคัญและบรรจุไว้ในแผนปฏิรูปประเทศ รวมถึงรัฐธรรมนูญปี 2560

“ระหว่างทาง เราเคยถูกดูแคลนและถูกวิจารณ์จาก ส.ส. บางคนที่ไม่เข้าใจ แต่ก็มีผู้สนับสนุนอยู่ แม้กฎหมายจะถูกรวมกับอีก 4 ร่างและถูกตัดทอนบ้าง แต่เรายอมรับได้ เพราะไม่มีอะไรสมบูรณ์ 100% สิ่งสำคัญคือเราจะใช้กฎหมายนี้ต่อยอดเพื่อประโยชน์พี่น้องต่อไป”

เกรียงไกรเล่าถึงความรู้สึกส่วนตัวต่อการผ่านร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ว่า แม้ว่ากฎหมายจะถูกรวมกับร่างอื่นและถูกตัดทอนบางส่วน แต่สิ่งสำคัญคือจะนำไปใช้ต่อยอดเพื่อประโยชน์ของพี่น้องในชุมชน

เป้าหมายสูงสุดของเขาคือการให้พี่น้องตื่นตัวและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพราะกฎหมายจะมีคุณค่าเมื่อถูกใช้งาน ไม่ใช่แค่ประกาศไว้เท่านั้น ต้องมีการกระจายข้อมูลผ่านเครือข่าย เพื่อให้คนใช้สิทธิประโยชน์แก้ไขปัญหาและเสริมสร้างพลังของตนเอง

“ผมอยากให้พี่น้องตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วม กฎหมายนี้จะมีค่าเมื่อถูกใช้จริง ไม่ใช่แค่ประกาศไว้ เราต้องกระจายข้อมูลผ่านเครือข่ายให้คนใช้โอกาสจากกฎหมายนี้มาคลี่คลายปัญหาและเสริมพลังให้ตัวเอง”

เกรียงไกรยังทิ้งท้ายว่า กฎหมายฉบับนี้จะมีการทบทวนทุก 5 ปี และภายใน 180 วันหลังประกาศใช้ จะเร่งออกแบบกลไกบริหารงานที่โปร่งใส เพื่อให้เกิดประโยชน์จริงแก่ชุมชน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

‘เอิ้นขวัญ ปันน้ำใจ’ จึงเป็นทั้งการเฉลิมฉลองและการย้ำเตือนถึงความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิและวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่เพียงแค่ข้อบัญญัติทางกฎหมาย แต่เป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างชุมชนกับภาครัฐ เพื่อให้ชนเผ่าพื้นเมืองได้มีโอกาสพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมรักษาอัตลักษณ์และวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ต่อไป

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง