เรื่อง: พิมลวรรณ ปานทุ่ง

หากเป็นไปตามคำมั่นสัญญาของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบัน ที่ระบุว่าจะมีการยุบสภาภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 สถานการณ์การเมืองไทยที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2569 จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น เพราะไม่ใช่แค่การเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อเข้าไปจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังเป็นการกำหนดทิศทางว่า ‘รัฐธรรมนูญฉบับใหม่’ ที่ถูกเฝ้ารอมากว่าครึ่งทศวรรษจะมีหน้าตาแบบใด
อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าจากฝั่งรัฐบาลในวันที่ 10–11 ธันวาคม 2568 นี้ รัฐสภาจะมีวาระพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ วาระสอง ภายหลังจากที่รับหลักการไปเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งกรรมาธิการได้เสนอปรับเปลี่ยนรายละเอียดสำคัญหลายเรื่อง เช่น ที่มาขององค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญ จากเดิมที่ให้ประชาชนเลือกตั้ง ก่อนให้รัฐสภาเลือกอีกครั้ง เป็นการเลือกแบบ ‘20 หยิบ 1’ โดยรัฐสภา ซึ่งตัดกระบวนการสรรหาจากประชาชนออกไป
ท่ามกลางกระบวนการรัฐที่ยังคงค้างคานี้ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 เครือข่ายประชาชนจาก 17 จังหวัดภาคเหนืออย่าง คณะก่อการล้านนาใหม่และเครือข่าย จึงจัดเวทีสาธารณะ ‘คนเหนือพร้อมเปลี่ยน เขียนรัฐธรรมนูญใหม่’ เพื่อระดมข้อเสนอเชิงนโยบายจากกลุ่มต่างๆ ทั้งชาติพันธุ์ ชุมชนคนอยู่กับป่า เยาวชน นักการศึกษา นักสิ่งแวดล้อม นักกฎหมาย และกลุ่มผู้อพยพจากเมียนมา โดยมุ่งหวังว่ารัฐธรรมนูญใหม่จะเป็น ‘พื้นที่แห่งความหวัง’ ที่ประชาชนสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้จริง
ยุติระบบพลเมืองหลายชั้นและการเลือกปฏิบัติ ด้วยการบัญญัติสิทธิในสภาพแวดล้อมดีที่ทุกคนเท่าเทียม
มาริสา ยาแปงกู่ ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ เปิดเวทีด้วยการสะท้อนว่า คนชาติพันธุ์ในประเทศไทยยังถูกจำกัดบทบาทเป็นเพียง ‘ผู้ถูกอนุรักษ์วัฒนธรรม’ ไม่ใช่ผู้มีสิทธิในฐานะเจ้าของพื้นที่ดั้งเดิม ทั้งยังไม่ถูกมองเห็นในกฎหมายสูงสุดของประเทศ
เธอชี้ว่า แม้รัฐบาลจะออก พ.ร.บ. กลุ่มชาติพันธุ์ แต่กฎหมายก็ยังกำหนดให้การคุ้มครองต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอื่น เช่น ป่าไม้ ที่ดิน ความมั่นคง และสัญชาติ ส่งผลให้ชุมชนยังถูกควบคุมโดยโครงสร้างเดิม ตัวอย่างสำคัญคือ มาตรา 7 วรรคสอง ของ พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ ที่ห้ามคนที่ไม่ได้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิดเป็นผู้ใหญ่บ้าน ทั้งที่หลายคนทำงานเพื่อชุมชนมาตลอดชีวิต
“รัฐธรรมนูญ 60 ไม่พูดถึงชาติพันธุ์เลย ไม่มีคำว่าสิทธิชุมชน ในเมื่อรัฐธรรมนูญไม่เห็นตัวตนของเรา สังคมก็ไม่เห็นความเจ็บปวดของเราเช่นกัน”
ทั้งนี้ เพื่อสร้างแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว มาริสาเสนอ 3 ประเด็นหลักในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้แก่
1. รับรองสิทธิชุมชนแบบใช้ได้จริง
2. ยุติการเลือกปฏิบัติต่อชาติพันธุ์
3. ยุติระบบพลเมืองหลายชั้น ให้ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมในฐานะคนไทย
พรชิตา ฟ้าประทานไพร เยาวชนบ้านกะเบอะดิน ผู้คัดค้านโครงการเหมืองถ่านหินอมก๋อย ระบุว่า ชุมชนจำนวนมากยังไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ของตน เช่น เหมืองแร่ หรืออุโมงค์ผันน้ำยวม เพราะการเข้าถึงข้อมูลถูกจำกัด และรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใส
“แม้รัฐธรรมนูญควรปกป้องสิทธิของประชาชน แต่ในวันนี้ชุมชนยังไม่มีพื้นที่ตัดสินใจอย่างแท้จริง”
เธอกล่าว พร้อมเสนอให้รัฐธรรมนูญใหม่ระบุสิทธิชุมชนไว้อย่างชัดเจน และให้ถอด ‘ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี’ ออกจากรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นกรอบที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม แต่มีผลผูกมัดอนาคตของพื้นที่
ด้าน นิราพร จะพอ จากสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) สะท้อนว่า การประกาศเขตป่า เช่น ป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ทับซ้อนพื้นที่ชุมชนเดิมจำนวนมาก ทำให้ประชาชนกลายเป็น ‘ผู้บุกรุก’ แม้จะอยู่ก่อนประกาศป่ามาเป็นร้อยปี
เธอชี้ว่า เป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่า 40% ตามยุทธศาสตร์ชาติ ถูกใช้ในการผลักชุมชนออกจากพื้นที่ โดยไม่ได้พิจารณาวิถีการอยู่กับป่าของท้องถิ่น ส่งผลให้ชุมชนไม่มั่นคงในที่ดิน ไม่มีอำนาจจัดการทรัพยากร และไม่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองได้
ด้วยเหตุนี้ นิราพรจึงเสนอให้รัฐธรรมนูญใหม่ต้อง
1. บัญญัติสิทธิชุมชนโดยตรงและไม่ถูกจำกัดด้วยกฎหมายลูก
2. รับรองการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอนของการตัดสินใจ
3. บัญญัติสิทธิในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียม
ขณะที่ สุมิตรชัย หัตถสาร จากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น (CPCR) ระบุว่า ไทยเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศมากที่สุด แต่รัฐธรรมนูญปี 2560 กลับตัดสิทธิในสภาพแวดล้อมที่ดีออกไป ทั้งที่สหประชาชาติได้ประกาศให้สิทธินี้เป็นสิทธิมนุษยชนตั้งแต่ปี 2564
เขาย้ำว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องนำสิทธิในสภาพแวดล้อมที่ดีกลับมาบัญญัติ และปลดล็อกสิทธิชุมชนให้ใช้ได้ทันทีไม่ต้องอาศัยกฎหมายลูก
ขจัดปัญหาสุขภาพจิต ควบคู่การกระจายอำนาจผ่านงบประมาณและการศึกษา
อิศราพร ดวงอุปะ ระบุว่า ปัจจุบันมีประชาชนกว่า 13.4 ล้านคน หรือประมาณ 20% ของคนไทยประสบปัญหาสุขภาพจิต แต่เข้าถึงบริการได้ไม่ถึง 30% โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่มีอายุผู้ป่วยลดลงเรื่อยๆ ขณะที่โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่มีนักจิตวิทยาประจำ มีเพียง 1 คนต่อหนึ่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งไม่อาจดูแลเด็กได้ทันความต้องการ แต่รัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่มีบทบัญญัติรับรองสิทธิด้านสุขภาพจิตอย่างชัดเจน
ด้าน ภราดร เสมอใจ ชี้ว่า แม้กฎหมายจะระบุว่าการศึกษาเป็นสิทธิพื้นฐาน แต่ระบบจริงยังรวมศูนย์หนักมาก เด็กทั้งประเทศต้องเรียนหลักสูตรเดียว ทั้งที่ความสนใจและบริบทพื้นที่ต่างกัน ดังนั้น เขาจึงเสนอให้
1. การศึกษาเป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐต้องจัดให้จริง
2. การศึกษาต้อง ‘ฟรีเต็มรูปแบบ’ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงระดับที่จำเป็นต่ออาชีพ
3. กระจายอำนาจการศึกษาไปยังท้องถิ่น ให้พื้นที่ออกแบบหลักสูตรเองโดยรัฐรับรอง
ขณะเดียวกัน ธนัทเมศร์ ศิรพีรลักษณ์ ระบุว่า การกระจายอำนาจในไทยถอยหลังจากยุครัฐธรรมนูญ 2540–2550 แม้รัฐจะอ้างว่ากระจายอำนาจกว่า 200% แต่ในความจริง งบประมาณและบุคลากรยังอยู่ส่วนกลาง ผู้ว่าราชการจังหวัดยังไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทำให้ท้องถิ่นไม่มีอำนาจกำหนดทิศทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง
“ยกระดับหมวดกระจายอำนาจ ส่งงบประมาณ บุคลากร อำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง การกระจายอำนาจไม่ใช่ภัยต่อความมั่นคงของรัฐ แต่คือความมั่นคงของชีวิตประชาชน”
คุ้มครองผู้อพยพและแรงงาน ด้วยระบบเอกสารที่โปร่งใส–ไม่ซับซ้อน
อารีวัณย์ สมบุญวัฒนกุล จาก Burma Concern สะท้อนสถานการณ์ของผู้อพยพและแรงงานเมียนมาที่หลั่งไหลเข้ามาหลังการยึดอำนาจ เธอระบุว่า ระบบเอกสารในไทยล่าช้าและซับซ้อน ทำให้คนจำนวนมากตกอยู่ในสถานะ “ไม่มีเอกสาร” ซึ่งจำกัดสิทธิด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล และการคุ้มครองแรงงาน
ตัวแทนผู้อพยพชาวเมียนมาในไทยจึงร่วมกันร่าง 4 ข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อสะท้อนความต้องการของผู้ลี้ภัย ผู้อพยพ และแรงงานเมียนมา ได้แก่
1. ปรับกระบวนการทำเอกสารให้โปร่งใสและเข้าถึงง่าย
2. คุ้มครองสิทธิแรงงานและสนับสนุนการพัฒนาทักษะ
3. ส่งเสริมสิทธิเด็กและการเข้าถึงสาธารณสุข
4. สร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันด้วยความเคารพในความหลากหลาย
รัฐธรรมนูญใหม่ในฐานะความหวัง และความฝันสู่การกระจายอำนาจ
ในช่วงท้ายของกิจกรรม ตัวแทนเครือข่ายอ่านแถลงการณ์สะท้อนความกังวลต่อโครงสร้างรัฐที่บั่นทอนความหวังของประชาชน และเรียกร้องให้รัฐธรรมนูญใหม่เป็น ‘พื้นที่แห่งความหวัง’ ไม่ใช่เครื่องมือผูกขาดอำนาจรัฐ พร้อมย้ำว่าทุกคนต่างมีความฝันร่วมกัน ตั้งแต่การเห็นเด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาที่ดี การเคารพศักดิ์ศรีของพี่น้องชาติพันธุ์ ไปจนถึงโครงการพัฒนาที่คำนึงถึงหัวใจของชุมชนและสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ยังระบุว่า สังคมควรยืนอยู่บนความรักและความเห็นใจ มากกว่าการแบ่งแยกด้วยพรมแดน พร้อมเรียกร้องให้คุ้มครองวิถีดั้งเดิมของชุมชน ให้พวกเขาอยู่กับดิน น้ำ ป่า โดยไม่ถูกตีตราเป็นผู้บุกรุก เนื่องด้วยประชาชนควรมีเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ถูกกฎหมายปิดปาก และมีสิทธิเลือกอนาคตของตนเอง รวมถึงสิทธิในการเป็น ‘เจ้าของประเทศ’ ผู้ร่วมกำหนดสัญญาประชาคมฉบับใหม่
เวทีสาธารณะในครั้งนี้ ทิ้งท้ายข้อเสนอเพื่อนำไปสู่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งปี 2569 ว่า
1. ให้ประชาชนทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือมีส่วนร่วมร่างรัฐธรรมนูญผ่าน สสร. ที่มาจากประชาชน
2. ให้รัฐบาลเร่งดำเนินการทำคำถามประชามติและกำหนดกรอบเวลาอย่างชัดเจน โดยเปิดกว้างและโปร่งใส
3. ให้รัฐบาลต้องรับฟังข้อเสนอที่มาจากเจตนารมณ์ของคนเหนือโดยไม่มีเงื่อนไข
“ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะลุกขึ้นมาร่วมขีดเขียนอนาคตของตัวเอง และผลักดันให้ความฝันร่วมกันของคนในสังคมเกิดขึ้นได้จริง”
ท้ายที่สุด การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของภาคประชาชนในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญได้สะท้อนชัดว่า รัฐธรรมนูญไม่ใช่เพียงกฎหมายสูงสุดที่กำหนดรูปแบบการปกครอง หากยังเป็นเครื่องมือที่เปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้กำหนดอนาคตให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของตนเอง ไม่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2569 จะตอบสนองต่อความหวังที่สังคมแบกรอคอยมากน้อยเพียงใด สิ่งสำคัญคือกระบวนการติดตาม มีส่วนร่วม และร่วมลงมือผลักดัน เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับนั้นเป็นผลลัพธ์ของเจตจำนงร่วมกันของประชาชนอย่างแท้จริง
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




