กมธฯ ภาคประชาชนห่วง ร่าง พ.ร.บ.กลุ่มชาติพันธุ์ฯ แม้ผ่าน สว. แต่ยังเสี่ยงถูกลดทอนสิทธิในขั้นต่อไป

Date:

ภายหลังวุฒิสภามีมติรับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … วาระที่ 3 ด้วยคะแนนเสียง 122 ต่อ 1 เสียง (งดออกเสียง 8 และไม่ลงคะแนน 2) จากจำนวนผู้ลงมติทั้งหมด 133 เสียง เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา พชร คำชำนาญ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ในสัดส่วนภาคประชาชน ได้ให้สัมภาษณ์ว่าแม้ร่างกฎหมายจะผ่าน แต่เบื้องหลังของกระบวนการผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ว่า เต็มไปด้วยอุปสรรคจากความไม่เข้าใจของฝ่ายการเมือง

พชร เปิดเผยว่า ในฐานะที่ทำหน้าที่กรรมาธิการตั้งแต่ พ.ร.บ. ฉบับนี้ยังอยู่ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจนถึงปัจจุบันที่เป็นการประชุมวุฒิสภา ความเหมือนที่เห็นชัดเจนคือ “ผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจต่อประเด็นของกลุ่มคนชายขอบน้อยมาก”

พชรระบุว่า ภายหลังที่ร่าง พ.ร.บ. นี้เข้าสู่การอภิปรายในสภาใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในกรรมาธิการ กลับเจอการแสดงความเห็นที่รุนแรงและแสดงถึงถ่อยคำเหยียดหยาม

“บางคนแสดงความเห็นอย่างเหยียดหยามพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ ใช้ถ้อยคำที่ดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทั้งที่คนกลุ่มนี้ควรได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายฉบับนี้ ไม่ต่างจากในฝั่งของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่แสดงออกอย่างรุนแรงเช่นกัน”

ในฝั่งของสมาชิกวุฒิสภา พชร กล่าวว่าหลายคนพูดถึงพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ราวกับเป็น “คนนอก” ที่มาอาศัยอยู่และใช้ทรัพยากรของชาติ ซ้ำยังพยายามโยงกลุ่มชาติพันธุ์เข้ากับประเด็น “ความมั่นคง” และ “ต่างด้าว” โดยเสนอให้มีการเพิ่มคำว่า “ชาวไทย” เข้าไปในนิยามสิทธิ ทั้งที่กลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากยังไม่มีแม้แต่สัญชาติ

“การพูดแบบนี้เป็นการมองจากความเข้าใจผิดและอคติ ไม่ได้มองเห็นว่าคนกลุ่มนี้มีชีวิตอยู่กับป่ามาตลอด ใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน และดูแลดีกว่ารัฐเสียอีก บางคนก็พูดจากมุมของนักอนุรักษ์กระแสหลักที่ไม่เคยเห็นหัวชาวบ้าน”

พชร ยังกล่าวถึงการอภิปรายในการประชุมวุฒิสภาว่า มีการพูดในลักษณะดูถูกชนเผ่าพื้นเมืองในที่ประชุมซึ่งถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ เป็นการผลิตซ้ำความคิดเหยียดกลุ่มชาติพันธุ์ไปสู่สังคมวงกว้าง และทำให้ภาพลักษณ์ของคนกลุ่มนี้ยังคงถูกมองว่าเป็น “ผู้รุกรานป่าไม้” หรือ “ด้อยพัฒนา”

“ฝ่ายการเมืองทั้ง สส. และ สว. ในสภาชุดนี้ คุณภาพต่ำมาก ถ้าเป็นเรื่องของคนตัวเล็กตัวน้อย ไม่ใช่เรื่องของกลุ่มทุนหรือผลประโยชน์”

พชร ชี้ว่า ความไม่เข้าใจของวุฒิสมาชิกไม่ได้จบแค่ในห้องประชุมรัฐสภา แต่ยังส่งผลกระทบใน 3 มิติหลัก ได้แก่

1.ต้องทำงานหนักขึ้นในการอธิบาย
ในชั้นกรรมาธิการฯ โดยเฉพาะชั้น สว. การผลักดันเนื้อหาต้องเผชิญกับความยากลำบากมาก เพราะ สว. หลายคนไม่ได้พิจารณากฎหมายจากข้อมูล แต่เข้ามาพร้อมชุดความเชื่อว่า “กลุ่มชาติพันธุ์เป็นภัยความมั่นคง” หรือ “เป็นต่างด้าว” เช่น การเสนอเพิ่มคำว่า “ชาวไทย” ลงไปในนิยาม เพื่อกันกลุ่มเหล่านี้ออกจากขอบเขตของสิทธิ

“ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าเขามองกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยกรอบของความกลัวและอคติ ทั้งที่ในความจริง ไม่มีใครเป็น ‘ไทยแท้’ และสิ่งที่เราร้องขอไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่คือความเป็นธรรม”

2.เนื้อหากฎหมายบิดเบือนจากหลักสิทธิมนุษยชน
ความหวาดระแวงและความเข้าใจผิดนำไปสู่การต่อรองในสาระของร่างกฎหมาย ทำให้ต้องยอมสูญเสียหลักการสำคัญหลายประการ เช่น คำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” ถูกตัดออกอย่างถาวร ทั้งที่เป็นคำที่ได้รับการยอมรับในเวทีโลก

อีกตัวอย่างคือ “สิทธิในการมีส่วนร่วม” ของชุมชน กลับถูกตีกรอบเหลือเพียง “สิทธิในการให้ความเห็น” ซึ่งหมายความว่า หากมีโครงการเหมืองหรือพัฒนาอื่นๆ ในพื้นที่ กลุ่มชาติพันธุ์สามารถให้ความเห็นได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถคัดค้านหรือมีส่วนร่วมในการตัดสินใจจริงได้

3.สังคมรับสารผิดๆ ผ่านการอภิปราย
การอภิปรายในสภาซึ่งถ่ายทอดสดทั่วประเทศ เป็นการผลิตซ้ำภาพจำของสังคมที่มองกลุ่มชาติพันธุ์ว่า “ล้าหลัง เป็นตัวปัญหา และทำลายป่า” ทั้งที่ความจริงตรงกันข้าม คนอยู่กับป่ามีระบบการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน และอยู่กับธรรมชาติอย่างกลมกลืน

“นี่คือความเสียหายระยะยาว เพราะการพูดในสภามีอิทธิพลต่อการรับรู้ของสาธารณชนมาก คนที่ไม่มีข้อมูลก็จะคล้อยตามความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ ซึ่งตอกย้ำการเลือกปฏิบัติ”

พชรยังแสดงถึงความน่ากังวลว่า แม้ร่าง พ.ร.บ. จะผ่านวุฒิสภาแล้ว แต่ตามรัฐธรรมนูญ เมื่อมีการแก้ไขในชั้น สว. ร่างต้องถูกส่งกลับไปให้ สส. พิจารณาอีกครั้ง หากเห็นชอบก็สามารถประกาศใช้ได้ทันที แต่หากมีความเห็นต่าง อาจต้องตั้ง “กรรมาธิการร่วม” ซึ่งเป็นขั้นตอนที่น่าเป็นห่วง

“เราไม่มั่นใจเลยว่าจะมีตัวแทนภาคประชาชนได้เข้าไปร่วมใน กมธ. ร่วม ถ้าปรับในหมวดสิทธิมนุษยชนเมื่อไร มันอาจหลุดหลักการคุ้มครองไปเลยก็ได้ เพราะฝ่ายการเมืองบางกลุ่มแสดงออกชัดเจนว่าต้องการแก้ไขทุกมาตราที่เกี่ยวกับสิทธิ โดยเฉพาะมาตรา 5 ถึง 9 ซึ่งเป็นหัวใจของกฎหมายฉบับนี้”

แม้สถานการณ์เป็นเช่นนี้แต่พชรยังย้ำว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังพอมีบทบัญญัติบางส่วนที่สามารถใช้เป็นหลักในการคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ได้ พร้อมเรียกร้องให้ สส. เห็นชอบกับร่างที่ผ่านจาก สว. เพื่อให้กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว

พชรกล่าวถึงประเด็นที่ถูกอภิปรายในสภาว่า หลายคนยังมองความพยายามของกลุ่มชาติพันธุ์ในการยืนยันสิทธิขั้นพื้นฐานว่าเป็น “การขออภิสิทธิ์” ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดร้ายแรง และเกิดจากการมองจากประสบการณ์ของคนที่ไม่เคยถูกกดทับ

“คนที่พูดแบบนั้นคือคนที่มีชีวิตดีมาตั้งแต่เกิด มีที่ดิน มีสัญชาติ มีสิทธิสวัสดิการ ไม่เคยต้องอยู่ในสภาพ ‘ผิดกฎหมาย’ ทั้งที่อยู่ในบ้านตัวเอง แต่พวกเขากลับมองว่าการที่กลุ่มชาติพันธุ์ขอความเป็นธรรม คือการเรียกร้องอภิสิทธิ์ ทั้งที่ในความจริง…สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องคือสิทธิที่ควรมีตั้งแต่แรก”

พชร ยังได้ระบุอีกว่าสิทธิที่ในปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ยัง “ไม่มี” ได้แก่ สิทธิในที่ดิน คนจำนวนมากอยู่ในพื้นที่ของตนเองแบบผิดกฎหมาย ไม่มีเอกสารสิทธิ ถูกคุกคามและไล่รื้อ สิทธิในวัฒนธรรม ไม่สามารถแสดงอัตลักษณ์ได้อย่างเต็มที่ การสืบทอดวัฒนธรรมถูกขัดขวาง สิทธิขั้นพื้นฐานของรัฐ ขาดโอกาสเข้าถึงบริการสุขภาพ การศึกษา หรือสวัสดิการ สิทธิในการตัดสินใจ มีสิทธิให้ความเห็นแต่ไม่มีสิทธิร่วมตัดสินใจเรื่องทรัพยากรหรือโครงการที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ของตน ถูกกระทบก่อนใคร โครงการรัฐมักเริ่มในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยที่พวกเขาไม่สามารถร้องเรียนได้ไม่มีสัญชาติไทย บางคนแม้เกิดและใช้ชีวิตในไทยทั้งชีวิต แต่ยังไม่มีสถานะทางกฎหมาย

“ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ ‘อภิสิทธิ์’ แต่มันคือการเรียกร้องให้ได้รับ ‘สิทธิ’ เท่ากับที่คนไทยคนอื่นพึงมีเท่านั้น”

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

‘บางระกำโมเดล’ ก้าวไกลระดับโลก แต่ ‘คน’ โดนทิ้งไว้กลางน้ำ

เรื่อง: ฐิติพร มะโนวรรณา, ภาพ: ตุลา ธารา ‘บางระกำโมเดล’ โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ภายใต้สำนักงานชลประทานที่ 3...

เบื้องหลังเจ้าตลาดแร่แรร์เอิร์ธโลก จีนกับห่วงโซ่อุปทานเหมืองแร่ในเมียนมา

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย, ภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง เบื้องหลังโทรศัพท์สมาร์ตโฟน รถยนต์ไฟฟ้า และกังหันลม ล้วนมีวัตถุดิบสำคัญที่ถือเป็นหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่...

ริมกกซวยซ้ำ! น้ำประปา ผัก ปลา ปนเปื้อนโลหะหนัก ชาวบ้าน 7 รายมีสารในปัสสาวะสูง จี้รัฐเร่งแก้ไข

ผ่านมากว่าครึ่งปีกับวิกฤตสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกกที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อระบบนิเวศของสายน้ำ แต่กระทบไปถึงวิถีชีวิตของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำ เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การประกอบอาชีพอย่างการประมงและการเกษตร กลายเป็นปัญหาใหญ่ข้ามพรมแดนที่ไม่อาจแก้ได้ฝ่ายเดียว นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสายน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนมานับไม่ถ้วนกำลังเผชิญกับหายนะอย่างหนัก แม่น้ำกกมีต้นกำเนิดอยู่ในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลเข้าสู่ประเทศไทยในตำบลท่าตอน...

วิกฤตชาวประมงปากน้ำกก ยื่นข้อเสนอ 4 ข้อ รัฐเยียวยา-เร่งเจรจาหยุดสารพิษ

​14 ตุลาคม 2568 ชาวประมงจากสามชุมชนปากแม่น้ำกก ได้แก่ บ้านเชียงแสนน้อย บ้านสบคำ ตำบลเวียง และบ้านสบกก...