หลังจากชาวเชียงรายรวมตัวกันรณรงค์ #ปิดเหมือง คืนวิถีชีวิตให้คนลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง เมื่อ 5 มิถุนายน 2568 ที่สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวงในอำเภอเมือง และศาลาริมน้ำหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยเครือข่ายประชาชนปกป้องลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดี “สีจิ้นผิง” ผู้นำสูงสุดของจีน เรียกร้องให้รัฐบาลจีนเร่งดำเนินการยุติการลงทุนเหมืองแร่ในรัฐฉานที่ไม่มีมาตรฐานและสร้างผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนไทย
ในวันเดียวกันจังหวัดเชียงรายก็ได้ออกมาแสดงท่าทีต่อสถานการณ์สารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำ โดยในวันเดียวกัน ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดแถลงข่าวที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อชี้แจงสถานการณ์และยืนยันแนวทางการจัดการของภาครัฐในทุกระดับ
ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำโดยตรง แม้จะมีการยืนยันว่าน้ำประปายังสามารถใช้งานได้ แต่ทางจังหวัดยังไม่แนะนำให้ดื่ม เพื่อความปลอดภัยสูงสุด พร้อมย้ำว่าทางจังหวัดกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบอำนาจที่มี แม้ไม่สามารถจัดการโดยตรงกับกิจกรรมต้นเหตุซึ่งอยู่นอกประเทศได้
ด้าน ปิยนุช ทรวงคำ ผู้อำนวยการส่วนจัดการคุณภาพน้ำ เปิดเผยว่าการตรวจวัดคุณภาพน้ำหลายครั้งที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าค่าสารหนูในแม่น้ำกกลดลงอย่างชัดเจน โดยขณะนี้กรมทรัพยากรน้ำกำลังพิจารณาออกแบบฝายที่เหมาะสมที่สุดเพื่อลดผลกระทบในระยะยาว
สำนักงานเกษตรจังหวัดและสำนักงานประมงจังหวัดก็ได้ออกมาให้ข้อมูลเช่นกัน โดยยืนยันว่ายังไม่พบการปนเปื้อนของสารหนูเกินค่ามาตรฐานในพืชผลหรือสัตว์น้ำในพื้นที่ ส่วนผลการตรวจปลาแข้ที่ชาวบ้านสงสัยว่าป่วยเพราะสารพิษ กลับพบว่ามีเพียงปรสิตในตัวปลาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการบริโภคสัตว์น้ำจากแม่น้ำกกในช่วงนี้ จนกว่าจะมีผลตรวจสอบเพิ่มเติม ในภาคเกษตร เจ้าหน้าที่แนะนำให้เกษตรกรใช้ปูนขาวและปุ๋ยอินทรีย์ในการปรับปรุงดิน เพื่อลดความเสี่ยงจากการสะสมโลหะหนักในระยะยาว แม้ในฤดูกาลนี้จะยังสามารถใช้น้ำเพื่อการเพาะปลูกได้ก็ตาม
สถานทูตจีนตอบสื่อ ปมเหมืองจีนต้นเหตุสารปนเปื้อนในแม่น้ำไทย – หนุนไทย-เมียนมาหารืออย่างเป็นมิตร
ท่ามกลางกระแสความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำอื่นๆ ในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งคาดว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมเหมืองแร่ของบริษัทจีนในประเทศเมียนมา ล่าสุดเมื่อ 8 มิถุนายน 2568 โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ก็ได้แสดงความเห็นต่อประเด็นนี้ในการตอบคำถามสื่อมวลชน
โดยโฆษกระบุว่า ฝ่ายจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับสถานการณ์การปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงในประเทศไทย และได้ติดตามผลการตรวจสอบจากรัฐบาลไทยและหน่วยงานท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด พร้อมแสดงจุดยืนสนับสนุนให้ไทยและเมียนมาเร่งเสริมสร้างการสื่อสารและประสานงาน เพื่อดำเนินการตรวจสอบอย่างเป็นวิทยาศาสตร์และมีความรับผิดชอบ รวมทั้งแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาอย่างเป็นมิตร
“ฝ่ายจีนได้กำหนดให้บริษัทจีนที่อยู่ในต่างประเทศปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศนั้น และดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบโดยตลอด ยินดีที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อร่วมกันปกป้องสิ่งแวดล้อมระบบนิเวศและคุณภาพน้ำในลุ่มแม่น้ำโขง”
โฆษกยังกล่าวย้ำว่า รัฐบาลจีนได้กำหนดให้บริษัทจีนที่ดำเนินกิจการในต่างประเทศต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศนั้นๆ อย่างเคร่งครัด และดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบ พร้อมทั้งแสดงความยินดีที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อร่วมกันปกป้องระบบนิเวศและคุณภาพน้ำในภูมิภาคนี้อย่างยั่งยืน
นักวิชาการเมียนมาชี้ เมียนมาไม่อาจบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่กองกำลังชาติพันธุ์
ขณะเดียวกัน วิน เมียว ตู นักวิชาการชาวเมียนมาจากมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวชายขอบว่า ปัญหาใหญ่ของเหมืองในรัฐฉานคือการที่กิจการเหมืองจำนวนมากอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังชาติพันธุ์ เช่น กองทัพว้า ซึ่งอยู่นอกระบบการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลเมียนมา แม้ว่าเมียนมาจะมีกฎหมายเหมืองแร่และกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน แต่ในพื้นที่ดังกล่าวกลับ “ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเลยก็ว่าได้”
“ใบอนุญาตที่ออกให้กับบริษัทจีนในพื้นที่นี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากรัฐบาลพม่า แต่เป็นใบอนุญาตที่ออกโดยกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ ซึ่งไม่มีความชอบธรรมตามกฎหมายกลางของประเทศ”
วิน เมียว ตู กล่าว พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่รัฐบาลจีนต้องแสดงความรับผิดชอบโดยตรงในการควบคุมบริษัทจีนที่เข้าไปดำเนินกิจการในพื้นที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ เขายังเสนอว่ากรอบความร่วมมือแม่น้ำล้านช้าง-โขง (Lancang-Mekong Cooperation: LMC) ซึ่งจีนเป็นผู้ริเริ่มและมีบทบาทนำ ควรถูกนำมาใช้เป็นช่องทางในการหารือเพื่อแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่กำลังส่งผลกระทบต่อประชาชนไทยอย่างรุนแรง
“ทส.” ลงพื้นที่เชียงราย ติดตามการปนเปื้อนสารหนู – จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ 4 จุด
8 มิถุนายน 2568 นิกร ศิรโรจนานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง
การลงพื้นที่ครั้งนี้มีจุดตรวจเยี่ยมสำคัญ ได้แก่ สวนสาธารณะเกาะลอย และบริเวณฝายเชียงราย โดยเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานสถานการณ์ล่าสุด รวมถึงความคืบหน้าในการจัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม” ในพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญ รวม 4 จุด ได้แก่
แม่น้ำกก จุดที่ 1 ศูนย์การแพทย์แผนไทย อบต.ท่าตอน บริเวณสะพานท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (ดูแลโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล)
แม่น้ำกก จุดที่ 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย (ดูแลโดยสำนักงานควบคุมมลพิษที่ 1)
แม่น้ำสาย จุดที่ 3 ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 1 ต.แม่สาย จ.เชียงราย (ดูแลโดยกรมควบคุมมลพิษ)
แม่น้ำโขง จุดที่ 4 จุดบรรจบของแม่น้ำรวกกับแม่น้ำโขง บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย (ดูแลโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล)
โดยศูนย์เหล่านี้จะทำหน้าที่เฝ้าระวังคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ตรวจวัดคุณภาพน้ำ และแสดงผลแบบเรียลไทม์ผ่านป้ายประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ เพื่อสร้างความโปร่งใสในการให้ข้อมูล เสริมความเชื่อมั่น และกระตุ้นการมีส่วนร่วมของชุมชน
นอกจากนี้ คณะของกระทรวงยังได้ติดตามข้อเรียกร้องของเครือข่ายภาคประชาชนที่ยื่นหนังสือต่อรัฐบาลเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยผู้ตรวจราชการฯ ได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดเร่งรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ตะกอนดิน และความคืบหน้าด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเน้นย้ำให้เผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริงต่อสาธารณะอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้น้ำในพื้นที่
“ธีรรัตน์” เดินหน้าตั้งศูนย์ AIM แก้ปัญหาน้ำเน่าภาคเหนือ รอลุ้นวันเจรจาระหว่างรัฐไทย-เมียนมา
9 มิถุนายน 2568 ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) ครั้งที่ 2/2568 ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีผู้บริหารจากส่วนกลาง ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งมีต้นน้ำจากเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา
ที่ประชุมได้รับรายงานว่า ขณะนี้กรมควบคุมมลพิษได้จัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม” รวม 4 จุด ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ พร้อมเปิดให้ประชาชนเข้ามานำตัวอย่างน้ำตรวจสอบได้ทันที ถือเป็นมาตรการที่ช่วยคลายความกังวลของประชาชนและยืนยันความโปร่งใสของภาครัฐ
นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าในด้านการเจรจากับรัฐบาลเมียนมา โดยกรมกิจการชายแดนได้ประสานกับฝ่ายเมียนมาเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอการกำหนดวันเจรจาอย่างเป็นทางการ โดยจะมี ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในภารกิจนี้
รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยยังได้สั่งการให้เร่งสรุปตัวเลขคุณภาพน้ำเพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะโดยเร็ว พร้อมมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษ การประปาส่วนภูมิภาค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยงานอื่นๆ ตรวจสอบคุณภาพน้ำในหลายมิติ ทั้งแหล่งน้ำธรรมชาติ ตะกอนดิน น้ำประปาหมู่บ้าน และผลกระทบต่อเกษตรกรรมและสัตว์น้ำ
ในด้านวิชาการ ที่ประชุมมีมติตั้งคณะที่ปรึกษาจำนวน 9 คน ประกอบด้วยนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา เพื่อให้คำปรึกษาต่อการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการในพื้นที่โดยตรง
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญ คือการจัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์” หรือ AIM (Awareness Information Monitoring) ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพน้ำอย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าให้เป็นกลไกกลางในการสื่อสารระหว่างภาครัฐกับประชาชน เพื่อลดความสับสนจากข้อมูลที่หลากหลาย และสร้างความเข้าใจร่วมกันต่อสถานการณ์มลพิษน้ำข้ามพรมแดน
ทั้งนี้ การประชุมครั้งถัดไปถูกกำหนดไว้ในวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 เวลา 13.00 น. โดยจะมีการติดตามผลข้อสั่งการทั้งหมดอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนในพื้นที่โดยตรง
สืบสกุล เสนอ 10 แนวทางแก้ปัญหามลพิษน้ำอย่างยั่งยืน
7 มิถุนายน 2568 สืบสกุล กิจนุกร นักวิจัยอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึง ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) ในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสาย โดยเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย
สืบสกุล ระบุว่าผลงานที่เห็นเป็นรูปธรรมคือการจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบน้ำด้วยชุด rapid test หรือ test kit จำนวน 4 จุดในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย อย่างไรก็ตาม เขาได้เน้นถึงปัญหาที่แท้จริงซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังคือ การปล่อยมลพิษจากเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำกก สาย และรวก โดยรัฐบาลยังไม่มีแผนชัดเจนในการจัดการกับสารพิษเหล่านี้ และเลือกใช้มาตรการตั้งรับอย่างการก่อสร้างฝายดักตะกอนในแม่น้ำกกซึ่งไม่เพียงพอและเป็นภาระต่อประชาชนระยะยาว
สืบสกุลยังวิจารณ์การแก้ปัญหาที่มุ่งแต่แม่น้ำกกเพียงแห่งเดียว โดยละเลยการจัดการในแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก รวมถึงยังไม่มีการตรวจสอบสารโลหะหนักในแม่น้ำรวกที่เป็นแหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปาและใช้ในเกษตรกรรม นอกจากนี้ เขายังชี้ว่าการสื่อสารจากภาครัฐยังไม่ชัดเจน สร้างความสับสนในประชาชน เช่น การบอกว่า “แม่น้ำไม่อันตราย” แต่ก็มีคำเตือนให้ระมัดระวัง พร้อมตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ รัฐบาลผูกขาดการตรวจหาสารโลหะหนักโดยไม่เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนหรือสถาบันการศึกษามีส่วนร่วม ทั้งที่เทคโนโลยี rapid test สามารถนำมาใช้ตรวจเบื้องต้นได้ และควรเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสังคม
สืบสกุล ยังเตือนว่าผู้บริหารศูนย์ส่วนหน้าจะต้องเผชิญกับความท้าทายจากวัฒนธรรมราชการที่เข้มงวดและเกรงกลัวความผิดพลาด รวมถึงระบอบการควบคุมที่เข้มงวดในพื้นที่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลง
พร้อมกันนี้ เขาได้เสนอแนวทาง 10 ข้อเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ดังนี้
1.ปิดเหมืองถาวรในเขตต้นน้ำ เพื่อหยุดการปนเปื้อนสารพิษทั้งระยะสั้นและยาว
2.ติดตามห่วงโซ่อุปทานแร่ เพื่อให้ธุรกิจเหมืองแร่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
3.เปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ที่รัฐบาลถือครองให้ประชาชนรับทราบ
4.สำรวจความเสียหายและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่
5.ขยายพื้นที่ตรวจสารโลหะหนักในน้ำและตะกอนดินครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงทั้งหมด
6.เปิดเผยแผนและผลตรวจของหน่วยงานภาครัฐอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
7.จัดตั้งศูนย์ตรวจสารโลหะหนักในจังหวัดเชียงราย เพื่อเร่งผลตรวจและเพิ่มฐานข้อมูล
8.ปรับการสื่อสารของภาครัฐให้ชัดเจน ตรงไปตรงมา เพื่อลดความสับสนของประชาชน
9.ส่งเสริมพลเมืองวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ให้ประชาชนมีสิทธิและความรู้ในการตรวจสารโลหะหนักด้วยตนเอง
10.สร้างกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
สืบสกุลย้ำว่า การแก้ปัญหามลพิษในแม่น้ำต้องเกิดจากความมุ่งมั่นจริงจังและการทำงานร่วมกันอย่างโปร่งใส เพื่อคืนความเชื่อมั่นและสุขภาพที่ดีแก่ประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและสายต่อไป
ทั้งนี้ เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำ กก สาย รวก โขง ได้จัดแคมเปญ #RiverCannotSpeakButICan แม่น้ำไม่มีเสียง…แต่เรามี โดยเชิญชวนให้ประชาชนร่วมโพสต์ภาพถ่ายที่มีสีฟ้าและเขียวเพื่อเป็นการ “ส่งเสียง” แทนแม่น้ำ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...