ก่อนหัวใจ ‘แฟนคลับภูธร’ จะวอด ‘วาย’ เมื่อเสียงของแฟนคลับต่างจังหวัดหายไปในอุตสาหกรรมวายไทย

เรื่อง: ศรีนิธิรินทร์ ชื่นวณิช

หกโมงเช้าในวันเสาร์ ต้นน้ำ พยาบาลสาววัย 29 จากเชียงใหม่ ตื่นขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินไฟลต์เช้าสู่กรุงเทพฯ ข้างในกระเป๋าที่เธอพกติดตัวมา มี แท่งไฟ และ Photo Card Giveaway ที่เธอบรรจงทำอย่างสุดฝีมือเพื่อเอาไปแลกเหล่าบรรดาชาวด้อม หน้างาน

ต้นน้ำ มีพลังเสมอเวลาที่ได้มาแฟนมีตติ้งนักแสดงซีรีส์วาย ที่เธอเป็น ‘แฟนคลับ’ อยู่ แม้ว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เธอต้องจมอยู่กับหน้างานในโรงพยาบาลที่มีคนไข้เข้าออกอยู่ไม่ขาดสาย แต่ความเหนื่อยนี้ก็ถูกบรรเทาได้ด้วยการเดินทางมาเจอนักแสดงคนโปรดเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง

“เราไม่ได้แค่ไปเจอคนที่เรารัก แต่มันคือการเติมไฟหลังจากเหนื่อยจากงานมาทั้งอาทิตย์”

นี่คือส่วนหนึ่งของภาพแทนที่อุตสาหกรรมซีรีส์วายไทยกำลังบอกกับเราว่า เส้นทางนี้กำลังไปได้ดีสุดขีด

แต่ในความคึกคักนี้เอง ก็มีเสียงของคนกลุ่มใหญ่ที่แทบไม่เคยถูกรับฟัง พวกเธอต่างมีชีวิตไม่ต่างกับต้นน้ำ ที่จะต้องเดินทางไกลบ้าน เข้ากรุง เพื่อจะมาทำหน้าที่ซัพพอร์ตนักแสดงที่ตนรัก แน่นอนว่าราคาที่ต้องจ่ายนั้นมากกว่าบรรดาแฟนคลับในกรุงเทพฯ เสี่ยงมากกว่า ได้สิทธิน้อยกว่า ทั้งที่เป็นฟันเฟืองสำคัญ
ในอุตสาหกรรมที่กำลังสร้างรายได้ปีละหลายพันล้าน

Bad Buddy หรือ Good Business เมื่อวายไทยเปลี่ยนจากซับคัลเจอร์สู่ธุรกิจระดับชาติ

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ซีรีส์วายไทยเติบโตจากแค่ความนิยมเฉพาะกลุ่ม จนกลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมบันเทิงที่ทรงอิทธิพลระดับเอเชีย จุดเปลี่ยนสำคัญคือ เพราะเราคู่กัน (2gether The Series) ปี 2563 ที่เปิดประตูให้ผู้ชมต่างชาติเข้าถึงวัฒนธรรมไทยผ่านซีรีส์ชายรักชายแนวสดใส โดยมีฐานจากซีรีส์รุ่นก่อนอย่าง Love Sick (2557), SOTUS (2560) และ Love By Chance (2561) ที่สร้างชุมชนแฟนคลับทั้งในและต่างประเทศไว้แล้ว

แม้ช่วงโควิด-19 จะทำให้วงการบันเทิงทั่วโลกหยุดชะงัก แต่อุตสาหกรรมวายไทยกลับปรับตัวไว ทั้งแฟนมีตติ้งออนไลน์ คอนเทนต์เสริมใน TikTok-Instagram และการขายลิขสิทธิ์ให้แพลตฟอร์มระดับโลก เช่น Netflix, Viu, iQIYI ขณะที่ค่ายใหญ่ของไทย เช่น GMMTV หรือ Studio Wabi Sabi ก็จับมือกับพาร์ทเนอร์ต่างชาติ พัฒนาคุณภาพซีรีส์ให้ระดับสากล

ด้วยกระแสตอบรับจากผู้ชมจากทั่วเอเชีย ภายหลังที่ เพราะเราคู่กัน (2gather the Series) ในปี 2563 ซีรีส์ชายรักชายโทนสดใสกลายเป็นประตูสู่วัฒนธรรมไทยในมุมใหม่ ไม่ใช่เพียงเพราะเคมีของนักแสดงหรือบทที่เข้าถึงง่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นผลสะสมจากการปูทางของซีรีส์วายรุ่นพี่ที่ค่อยๆ สร้างฐานแฟนคลับทั้งในและต่างประเทศมาก่อนหน้านั้น

ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ในปี 2562 ตลาดซีรีส์วายไทยมีมูลค่าประมาณ 851 ล้านบาท ปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1,088 ล้านบาทและในปี 2564 ก่อนจะเติบโตต่อเนื่องเป็น 1,457 ล้านบาทในปีเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากผู้ผลิตหรือแพลตฟอร์มเพียงลำพัง แต่ขับเคลื่อนโดยพลังของแฟนคลับจำนวนมาก ทั้งในแง่ของเวลา เงิน และความทุ่มเท งานวิจัยชี้ว่า แฟนคลับไม่ได้เป็นเพียงผู้ชม แต่เป็นผู้สร้างความหมายและเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมนี้ ผ่านการซื้อสินค้า สะสมของที่ระลึก ร่วมกิจกรรมแฟนมีตติ้ง ไปจนถึงการผลิตแฟนฟิคและแฟนอาร์ตที่หล่อเลี้ยงวัฒนธรรมวายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

จากงานศึกษา ซีรีส์วาย : จากวัฒนธรรมมวลชนสู่อุตสาหกรรมวัฒนธรรม บ่งชี้ว่า แฟนคลับจำนวนไม่น้อยแสดงตัวตนผ่านการบริโภคซ้ำ เช่น การซื้อสินค้า การสะสมบัตรงานแฟนมีต การใช้ภาษาเฉพาะกลุ่มในโลกออนไลน์ ไปจนถึงการร่วมสร้างพื้นที่ความหมายในโลกแฟนฟิคและแฟนอาร์ต พวกเขาไม่ได้เป็นเพียง ‘ผู้ชม’ แต่คือผู้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้อย่างแท้จริง

‘เพราะเราคู่กัน’  แต่สิทธิที่ได้ไม่คู่ควร

ด้วยความที่กิจกรรมแฟนมีตส่วนใหญ่จัดที่กรุงเทพฯ ราคาบัตรตั้งแต่หลักพันต้นๆ ไปจนถึงหลักหมื่น มักมาพร้อมเงื่อนไขพิเศษ เช่น จำกัดผู้ได้ถ่ายภาพ รับของที่ระลึก หรือเข้าร่วมกิจกรรมเฉพาะเวลา อย่างไรก็ตาม หลายครั้งผู้ชมต้องเจอกับข้อจำกัดที่เข้มงวด เช่น ต้องรายงานตัวล่วงหน้า มีช่วงเวลากิจกรรมสั้น หรือมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เช่น นักแสดงมาไม่ครบ งานไม่เป็นไปตามที่ประชาสัมพันธ์ จนแฟนคลับรู้สึกผิดหวังและตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการจัดงาน

“บางทีก็ประกาศเปลี่ยนแปลงแค่หน้าเวที ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าหรือแจ้งให้ทั่วถึง เรารู้สึกว่าเงินที่จ่ายไปเสียเปล่า เสียทั้งเวลา เสียทั้งใจ มันนอยและผิดหวังมากจริงๆ” ต้นน้ำกล่าวเพิ่มเติม

ในขณะที่ บี หนึ่งในแฟนคลับจากอำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เดินทางลำพังเข้าเมืองเพื่อร่วมงานแฟนมีต เธอเล่าว่า ต้องนั่งเรือเข้าแผ่นดินใหญ่ ต่อรถไปสนามบิน แล้วบินเข้ากรุงเทพฯ รวมค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่ากิจกรรมเฉลี่ยกว่า 10,000 บาทต่อทริป

“บางทีต้องค้างคืนเพิ่มถ้าไม่ทันเรือรอบสุดท้ายกลับเกาะ ค่าใช้จ่ายบาน ความเหนื่อยก็ทบ มันไม่เหมือนคนกรุงเทพฯ ที่อาจแค่ขึ้นรถไฟฟ้าไปดูแล้วกลับบ้านได้เลย” บีเล่า

แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยที่สุด ไม่ใช่ต้นทุนทางการเงิน แต่คือความเสี่ยงระหว่างทาง โดยเฉพาะเมื่อเดินทางคนเดียว ครั้งหนึ่งเธอมาถึงกรุงเทพฯ ด้วยไฟลต์ค่ำ หลังจบงานต้องกลับที่พักดึก แต่พบว่าโรงแรมที่จองไว้ ‘ไม่ตรงปก’ อยู่ในซอยเปลี่ยว ระบบล็อกประตูไม่มั่นคง และไม่มีผู้คนในละแวกนั้นเลย

“ตอนนั้นคือมันเปลี่ยวจริงๆ ไม่มีรถ ไม่มีคน ห้องดูเหมือนจะล็อกไม่สนิท เราก็แอบคิดว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จะไม่มีใครรู้เลย”

นอกจากความเสี่ยง แฟนคลับต่างจังหวัดยังเผชิญกับความเหลื่อมล้ำเรื่อง ‘สิทธิ’ เมื่อเทียบกับราคาบัตร เช่น บีเคยซื้อบัตรร่วมแฟนมีต แต่สิทธิ ‘ไฮทัช’ กลับจำกัดเฉพาะบางที่นั่ง ทั้งที่บัตรราคาใกล้เคียงกัน หรืออีกครั้งที่บีซื้อบัตรดูงานผ่านไลฟ์ออนไลน์ แต่ระบบล่มจนดูไม่ได้ ผู้จัดแถลงว่าจะให้ดูรีรันแทนและอาจคืนเงินบางส่วน แต่บีมองว่าไม่แฟร์

“ให้ดูรีรันมันไม่แฟร์ เพราะเราจ่ายเงินเพื่อดูสด แล้วปัญหาก็มาจากระบบของผู้จัด ไม่ใช่เน็ตของเรา”

ในขณะที่แฟนคลับหลายคนเลือกเงียบ เพื่อไม่ทำลายบรรยากาศในแฟนด้อมหรือไม่อยากถูกมองว่าเป็น ‘คนเรื่องมาก’ ความเงียบนี้ไม่ได้แปลว่าไม่มีปัญหา หากแต่สะท้อนถึงช่องว่างของระบบที่ไม่คุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจัง

บีเสนอว่า ผู้จัดควรประกาศรายละเอียดงานและวันกดบัตรล่วงหน้านานกว่านี้ เพื่อให้แฟนคลับต่างจังหวัดสามารถวางแผนได้โดยไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจากความกระชั้นชิด และอยากให้มีหน่วยงานกลางคอยดูแลคุณภาพงาน ราคาบัตร และสิทธิของผู้ชมโดยตรง

“เราก็เป็นผู้บริโภคเหมือนกัน อยากให้ผู้จัดเห็นว่าแฟนคลับต่างจังหวัดก็ทุ่มเทไม่แพ้ใคร แต่สิทธิที่ได้รับยังไม่เท่าเทียมเลย”

เพราะ Not Me ไม่ใช่ทุกคนจะเท่ากัน  ช่องว่างที่แฟนคลับภูธรต้องแบก

ในโลกของแฟนคลับ การซื้อบัตรราคาหลักพันหรือหลักหมื่นไม่ใช่แค่การดูโชว์ แต่คือการซื้อ ‘ประสบการณ์’ และ ‘ความใกล้ชิด’ ทว่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด แฟนคลับกลับแทบไม่มีช่องทางเรียกร้องสิทธิหรือร้องเรียนได้จริง

แป้ง แฟนคลับภูธรวัย 27 ปี จากขอนแก่น เล่าว่าเธอเคยซื้อบัตรเพื่อร่วมงานแฟนมีตที่โฆษณาว่าศิลปินหลักจะมาครบ แต่สุดท้ายกลับมีเพียงบางคนโดยไม่มีคำชี้แจงหรือการเยียวยา “เสียทั้งค่าตั๋ว ค่าเดินทาง ค่าที่พัก แต่ไม่มีทางออกให้เราเลย” เธอกล่าว

สิ่งที่แป้งเผชิญไม่ใช่แค่ความผิดพลาดในการจัดงาน แต่สะท้อนถึงช่องว่างระหว่างกฎหมายที่มี กับความยากลำบากในการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้บริโภค โดยเฉพาะแฟนคลับต่างจังหวัดที่ต้องแบกรับต้นทุนมากกว่า “เรารู้ว่ามีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค แต่จะให้ฟ้องศาลทุกครั้งที่มีปัญหาก็ไม่ไหว”

ด้วยพื้นฐานด้านนิติศาสตร์ แป้งเริ่มช่วยแฟนคลับคนอื่นยื่นร้องเรียนต่อสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เธอช่วยร่างแบบฟอร์ม ประสานข้อมูล และติดตามเรื่อง แม้หลายกรณีสุดท้ายจะเงียบหาย เพราะผู้เสียหายบางคนยอมรับของเยียวยาเล็กน้อยแล้วไม่ดำเนินการต่อ

“เราเข้าใจว่าเขาเหนื่อย แต่อยากให้รู้ว่า ถ้าไม่มีใครพูด ไม่มีใครร้องเรียน มันก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ”

แม้ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 จะมีผลบังคับใช้นานกว่า 40 ปี แต่กลับไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกบันเทิงยุคใหม่ การร้องเรียนยังล่าช้า ซับซ้อน และไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัลที่มีทั้งอารมณ์ ความผูกพัน และการใช้จ่ายจำนวนมาก

“วงการแฟนคลับใช้เงินเยอะมาก บางคนเสียหายหลักหมื่นหรือหลักแสน เราควรมีระบบที่ร้องเรียนได้จริง ไม่ใช่ต้องไปถึงศาลอย่างเดียว” แป้งเสนอว่า ควรมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเฉพาะกิจกรรมคอนเสิร์ตหรือแฟนมีตติ้ง ที่เข้าใจธรรมชาติของปัญหาเฉพาะทางในวงการนี้

ข้อเสนอของแป้งไม่ใช่แค่คำวิจารณ์ แต่คือการเรียกร้อง ‘สิทธิพื้นฐาน’ ของผู้บริโภคในการได้รับบริการตามที่โฆษณา และกระบวนการเยียวยาที่เป็นธรรม โดยเฉพาะแฟนคลับต่างจังหวัดที่ลงทุนมาก แต่กลับเข้าถึงความยุติได้น้อยกว่า

เสียงของแฟนคลับไม่ควรถูกนับแค่ยอดขายบัตรหรือยอดไลก์บนโซเชียล แต่ควรได้รับการยอมรับในฐานะ ‘ผู้บริโภค’ ที่มีสิทธิเท่าเทียม และควรมีพื้นที่ให้ใช้สิทธินั้นได้จริง

ก่อนเสียงแฟนคลับภูธรจะหายไป

ท่ามกลางการเติบโตของอุตสาหกรรมซีรีส์วายไทยที่ก้าวสู่ตลาดเอเชียในเวลาไม่ถึงสิบปี จนกลายเป็นตลาดสำคัญในระดับเอเชีย ด้วยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศแฟนมีตติ้งที่เต็มไปด้วยแฟนคลับ และซับคัลเจอร์ที่กลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก ที่ขับเคลื่อนโดยพลังของ ‘ด้อม’ ที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจสร้างสรรค์

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองลึกลงไปเบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้ จะพบว่ามีเสียงของแฟนคลับต่างจังหวัดที่ถูกมองข้ามและค่อยๆ ถูกกลืนหายไปในระบบที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขา 

ต้นน้ำ บี และแป้ง ไม่ใช่แค่ตัวแทนของความรักที่มีต่อนักแสดง แต่คือภาพสะท้อนของต้นทุนที่แฟนคลับต้องแบกรับ เพื่อให้ได้ ‘มีส่วนร่วม’ ในอุตสาหกรรมที่พวกเธอเองก็เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน ตั้งแต่ค่าบัตร ค่าเดินทาง ความเสี่ยงระหว่างทาง ไปจนถึงความไม่แน่นอนของการจัดงานที่ขาดมาตรฐาน

อุตสาหกรรมวายจะเติบโตไม่ได้เลยหากปราศจาก ‘พลังจากด้อม’ แต่ถึงอย่างนั้นระบบกลับยังคงมองแฟนคลับเป็นเพียง ‘ผู้ชม’ หรือ ‘ยอดขายบัตร’ โดยไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าประสบการณ์ที่พวกเขาจ่ายเงินไปจะได้รับจริงตามที่โฆษณา ในขณะที่การเรียกร้องสิทธิยังเต็มไปด้วยความซับซ้อน และขาดกลไกที่เข้าใจบริบทเฉพาะของกิจกรรมบันเทิงในโลกของแฟนด้อม แฟนคลับจำนวนไม่น้อยจึงเลือกที่จะเงียบ แม้ต้องเผชิญกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เสียงของแป้งจึงไม่ใช่แค่คำวิจารณ์ แต่คือข้อเสนอเชิงโครงสร้าง ว่าเมื่อ ‘แฟนด้อม’ กลายเป็นกลไกหลักของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อุตสาหกรรมบันเทิงซึ่งถูกยกให้เป็นหนึ่งในธุรกิจระดับชาติ ก็ควรต้องมีมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่ทันต่อยุคสมัย และลดความเหลื่อมล้ำที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำว่า ‘ซัพพอร์ต’

หากผู้จัดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องยังไม่ขยับปรับเปลี่ยน อุตสาหกรรมนี้ก็อาจยิ่งห่างไกลจากความยั่งยืน เพราะสุดท้ายแล้ว หากผู้สนับสนุนต้องแลกศรัทธากับความเงียบและความไม่แน่นอน หัวใจของ ‘ด้อม’ ที่เคยมีแรงผลักดัน ก็อาจวอดวายไปก่อนที่จะได้เปล่งเสียง

ศรีนิธิรินทร์ ชื่นวณิช

นักศึกษาฝึกงาน Lanner จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มฟล. ผู้หลงรักซีรีส์วาย สนุกกับการถ่ายติ๊กต็อก และมีความฝันอยากเป็นไอดอลที่ได้เต้นบนเวที แต่ในช่วงเวลานี้ ขอเรียนจบให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง