ปัญหามลพิษจากเหมืองแร่ฝั่งเมียนมาที่ไหลปนเปื้อนลงแม่น้ำกกกำลังกลายเป็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมและสังคมในพื้นที่ภาคเหนือของไทย สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า 9 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานรัฐและภาคประชาชนใน จ.เชียงใหม่และเชียงราย ท่ามกลางเสียงสะท้อนความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ต้องเผชิญมลพิษต่อเนื่องมานานกว่า 2 ปี
เสียงจากริมน้ำ เกษตรกร–ครู–ชาวประมง–ผู้ประกอบการร้องรัฐเร่งเยียวยา

ณ บ้านท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ทศพล เผื่อนอุดม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นำเสนอข้อมูลการตรวจพบสารโลหะหนักในแม่น้ำกกต่อคณะรัฐมนตรี ขณะที่พระอาจารย์มหานิคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน เสนอแนวทางแก้ปัญหา 3 ด้าน คือ การเยียวยา การปิดเหมือง และการฟื้นฟู โดยย้ำว่าการสร้างฝายดักตะกอนอาจไม่ตอบโจทย์ เพราะต้นเหตุอยู่ในเขตเมียนมา
เกษตรกรในอำเภอแม่อายกว่า 12,000 ไร่ได้รับผลกระทบหนัก ชาญชัย ศรีวัชรพันธุ์ ตัวแทนภาคเกษตร ระบุว่า ดินในพื้นที่กลายเป็นพิษ พืชไม่งอก หรือเจริญเติบโตแต่มีสารปนเปื้อน ส่งผลให้พืชผลสำคัญ 3 ชนิด ได้แก่ ถั่วแระ กระเจี๊ยบ และกระเทียม ถูกระงับการส่งออกทั้งหมด
“กระเทียมแม่อายขึ้นชื่อเรื่องรสชาติ แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าซื้อ เพราะกลัวสารพิษ” ชาญชัยกล่าว
ขณะเดียวกัน นายก๊อง ชาวประมงในพื้นที่เผยว่า หลังหาปลาต่อเนื่องสองเดือนมีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย และต้องการให้หน่วยงานตรวจสอบว่ามาจากการสะสมสารโลหะหนักหรือไม่
ด้าน ชัยพิพัฒน์ สัจจะรัตนพงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียน ตชด.ไลออนส์มหาจักร กล่าวว่ากว่า 10 โรงเรียนริมแม่น้ำกกต้องหยุดการเรียนว่ายน้ำและกิจกรรมทางน้ำ นักเรียน 200 คนต้องเดินทางกว่า 30 กิโลเมตรเพื่อใช้สระน้ำอื่นแทน
ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในบ้านท่าตอนสะท้อนว่า รายได้จากการล่องเรือและร้านอาหารริมน้ำหยุดชะงักทั้งหมด “หาดทรายที่เคยคึกคักกลายเป็นพื้นที่ร้าง เพราะไม่มีใครกล้าแตะน้ำ” กัญชญา แก้วประเพณี กล่าว
‘กัณวีร์’ เสนอใช้ ‘โลกล้อมเมียนมา’ ผ่านกรอบ GMS–ACMEC–UNFCCC

สุชาติได้เชิญ กัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม ซึ่งร่วมคณะลงพื้นที่ ให้เสนอแนวทางแก้ไข กัณวีร์กล่าวว่า หากต้องการปิดเหมืองในเมียนมาอย่างแท้จริง ไทยควรใช้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น Greater Mekong Subregion (GMS) และ ACMEC รวมถึงผลักดันให้เรื่องมลพิษข้ามพรมแดนเข้าสู่เวที UNFCCC (COP) เพื่อให้ประชาคมโลกกดดันรัฐบาลทหารเมียนมา
“ผู้นำเผด็จการมิน อ่อง หลาย ไม่ฟังใคร แต่เขาให้ความสำคัญกับเวทีระหว่างประเทศ ไทยต้องใช้ประเด็นมลพิษข้ามแดนเป็นเครื่องมือทางการทูตและเศรษฐกิจให้โลกล้อมพม่า”
เขาย้ำว่า ในระยะสั้น รัฐบาลไทยต้องเร่งเยียวยาประชาชน สร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพน้ำ ผลผลิตทางเกษตร และสุขภาพของประชาชนโดยด่วน
สุชาติ สั่งเร่งสำรวจเยียวยา เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี

ในช่วงบ่าย คณะได้เดินทางต่อไปยังศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อรับฟังรายงานจากเครือข่ายภาคประชาชน นำโดย เตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และหน่วยงานท้องถิ่น
สุชาติกล่าวว่า ได้มอบหมายให้หน่วยงานภายใต้กระทรวงดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำและดินอย่างต่อเนื่อง พร้อมเตรียมตั้งห้องปฏิบัติการในพื้นที่เพื่อเร่งการตรวจสอบ
“เราจะนำข้อเสนอของประชาชนไปทำประชาพิจารณ์ก่อน หากชาวบ้านไม่เห็นด้วยกับโครงการใด เช่น ฝายดักตะกอน เราจะไม่ดำเนินการ”
เขายังเปิดเผยว่า ได้หารือกับ พล.ต.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเกษตรฯ เพื่อประสานช่วยเหลือด้านน้ำและการเกษตร พร้อมสั่งให้จังหวัดสำรวจความเสียหาย เพื่อเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรีประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ เพื่อเปิดทางเยียวยาอย่างเป็นทางการ
นักวิชาการเสนอหยุดนำเข้าแร่–ตั้งงบพันล้านจัดหาน้ำใหม่
ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เสนอให้รัฐบาล หยุดนำเข้าแร่จากเมียนมาชั่วคราว เพื่อป้องกันการนำเข้าจากแหล่งที่ก่อมลพิษ พร้อมเรียกร้องงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดหาแหล่งน้ำใหม่ให้การประปาภูมิภาคเชียงราย เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบหลักที่มีค่าปนเปื้อนโลหะหนักเกินมาตรฐาน
ขณะที่ เพียรพร ดีเทศน์ จากมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา กล่าวว่ารัฐบาลไทยต้องแสดงท่าทีเข้มแข็ง เพราะ “เหมืองฝั่งรัฐฉานบางแห่งอยู่ห่างชายแดนไม่ถึงกิโลเมตร มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า”
ทางออกที่รอคำตอบจาก ‘ส่วนกลาง’
สุชาติยอมรับว่า ปัญหานี้ เป็นเรื่องใหญ่ของรัฐบาล และต้องการการบูรณาการจากหลายกระทรวง ทั้งสิ่งแวดล้อม เกษตร และการต่างประเทศ
“ขอให้พี่น้องในลุ่มน้ำกกมั่นใจว่า รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้ยืดเยื้ออีกต่อไป”
แม้เสียงจากริมน้ำกกจะเริ่มถูกส่งต่อถึงโต๊ะนายกรัฐมนตรี แต่คำถามใหญ่ยังคงอยู่ รัฐบาลไทยจะรับมืออย่างไรกับมลพิษข้ามพรมแดน ที่ไม่เพียงทำลายสิ่งแวดล้อม หากแต่กำลังบั่นทอนชีวิตของผู้คนตลอดสองฝั่งน้ำ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...