เรื่องและภาพ: ธัญรดา หยุมปัญญา, ภีมราฎา เชื้อคำฟู, จตุรวิชญ์ แก้ววงค์วาน และอิทธิกร อรุณรัตน์
เชียงใหม่มักถูกพูดถึงเสมอว่าเป็น ‘เมืองน่าอยู่’ เมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันหลากหลาย รายล้อมด้วยขุนเขาและสายลมเย็นจากธรรมชาติ วิถีชีวิตที่ไม่เร่งรีบชวนให้คนหลงรัก ทว่าเบื้องหลังภาพเมืองแสนสบายนี้ อาจไม่ได้งดงามสำหรับทุกคนเสมอไป
ข้อมูลจากคณะอนุกรรมการสุขภาพจิตจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 30 กันยายน 2567 เขตสุขภาพที่ 1 มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากว่า 118,952 ราย และในจำนวนนั้น เชียงใหม่มีผู้ป่วยมากที่สุดถึง 40,377 ราย เด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญแรงกดดันจากการเรียน ส่วนคนวัยทำงานก็ต้องต่อสู้กับความไม่มั่นคงทางอาชีพและรายได้

แม้ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจะสะท้อนถึงการตระหนักรู้และการเข้าถึงการรักษามากขึ้น แต่ก็เผยให้เห็นแรงกดดันในชีวิตเมืองที่ซ่อนอยู่ในเงา เด็กและคนรุ่นใหม่จึงเริ่มหันหาพื้นที่สร้างสรรค์เพื่อเยียวยาใจ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นดนตรี วาดภาพ หรือเพียงแค่พักผ่อนในสวนสาธารณะ ทว่า ‘พื้นที่ปลอดภัย’ สำหรับเด็กกลับลดน้อยลงทุกปี จนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า เมืองน่าอยู่นี้ น่าอยู่สำหรับใครกันแน่
“เชียงใหม่ควรเป็นเมืองสำหรับทุกคน หรือ Inclusive City ที่เปิดให้ทุกคนเข้ามาเรียนรู้และใช้ประโยชน์ร่วมกันได้จริง”

ดร.ชัยณรงค์ จารุพงศ์พัฒนะ หัวหน้าสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวอย่างเรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง เขามองว่า เมืองเชียงใหม่ควรพัฒนาไปสู่ ‘เมืองสำหรับทุกคน’ (Inclusive City) หรือเมืองที่ผู้คนหลากหลายสามารถเรียนรู้ ใช้ชีวิต และแบ่งปันพื้นที่ร่วมกันได้

ในยุคที่ชีวิตหมุนรอบหน้าจอ พื้นที่สีเขียวกลายเป็นเหมือน ‘ที่หลบภัย’ ของใจและกาย การได้มองต้นไม้ พักสายตา สูดลมหายใจลึกๆ ท่ามกลางธรรมชาติ ช่วยคลี่คลายความเครียดอย่างเงียบงาม งานวิจัยจากญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ยืนยันว่า การอยู่ในสภาพแวดล้อมสีเขียวช่วยบำบัดภาวะซึมเศร้า ลดฮอร์โมนความเครียด และฟื้นฟูสมดุลในร่างกาย จึงไม่ใช่เพียงสวนหรือสนามหญ้า แต่คือ ‘พื้นที่เยียวยา’ ของผู้คนในยุคดิจิทัล
‘เมืองที่เรียนรู้ได้ทุกที่’ พื้นที่ของเด็กที่ยังขาดไปในเชียงใหม่
ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ การมีพื้นที่แบบนี้คือโอกาสในการพักใจและเติมพลังให้ชีวิต ข้อมูลจากเชียงใหม่ ฉันจะดูแลเธอ ระบุว่า ในปี 2564 เมืองเชียงใหม่มีประชากรราว 233,676 คน แต่กลับมีพื้นที่สีเขียวเพียง 444,876 ตารางเมตร หรือคิดเป็นเพียง 1.99 ตารางเมตรต่อคน ต่ำกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กำหนดไว้ 9 ตารางเมตรต่อคน

ปัจจุบันเชียงใหม่มีสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวราว 18 แห่ง เช่น อ่างแก้ว สวนห้วยแก้ว ห้วยตึงเฒ่า สวนหนองบวกหาด และสวนเจริญประเทศ ทว่าหากลองมองจากสายตาของเด็ก จะเห็นช่องว่างชัดเจน หลายพื้นที่ยังไม่ปลอดภัยสำหรับการเล่น หรือไม่เอื้อต่อการเรียนรู้และสร้างสรรค์ วัดและโบราณสถานแม้มีคุณค่าทางวัฒนธรรม แต่ขาดกิจกรรมสำหรับเด็ก ส่วนสวนบางแห่งก็มีพื้นที่วิ่งเล่นแต่ขาดเครื่องเล่นและมุมเรียนรู้
“พื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่การเรียนรู้ควรเชื่อมโยงกัน และตั้งอยู่ในจุดที่เข้าถึงง่าย แต่หนึ่งในปัญหาของเชียงใหม่คือระบบขนส่งมวลชน บ้านเรากว่าจะถึงพื้นที่หนึ่ง รถก็ติดเสียก่อน เวลาที่ควรใช้เรียนรู้กลับหมดไปบนถนนแทน”
สำหรับชัยณรงค์ แนวคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะไม่ควรถูกจำกัดอยู่เพียงสวนหรือห้าง แต่ควรขยับไปสู่ ‘พื้นที่เรียนรู้’ (Learning Space) ที่เปิดให้เด็กได้ทดลอง ค้นหาตัวตน และพัฒนาศักยภาพของตัวเอง พื้นที่เช่นนี้ไม่เพียงต่อยอดการเรียนรู้นอกห้องเรียน แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจและความมั่นใจให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพ
แผนพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ (พ.ศ. 2566–2570) ตั้งเป้าให้เชียงใหม่เป็น ‘นครแห่งชีวิตและความมั่งคั่ง’ (City of Life and Prosperity) ภายใต้แนวคิด ‘การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต’ แต่ในความสวยงามของถ้อยคำ ยังขาดเสียงของเด็กที่สะท้อนผ่านนโยบายอย่างแท้จริง การออกแบบเมืองที่เป็นมิตรกับเด็กจึงยังเป็นเป้าหมายที่รอวันเติบโต
ห้องสมุดที่ไม่ใช่แค่หนังสือ บทเรียนจากฟินแลนด์ถึงเชียงใหม่
ในประเทศที่เชื่อใน ‘การเรียนรู้ตลอดชีวิต’ พื้นที่สาธารณะไม่ใช่เพียงที่พักผ่อน แต่เป็นหัวใจของความเสมอภาคทางการศึกษา ตัวอย่างจาก ‘ฟินแลนด์’ สะท้อนแนวคิดนี้ได้อย่างชัดเจน รัฐบาลฟินแลนด์ลงทุนกว่า 320 ล้านยูโรต่อปี เพื่อพัฒนาห้องสมุดให้เป็น ‘จัตุรัสเมืองในร่ม’ (Indoor Town Square) ที่ผู้คนทุกวัยสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้
ในห้องสมุดเหล่านี้ มีเพียงหนึ่งในสามของพื้นที่เท่านั้นที่เป็นหนังสือ ส่วนที่เหลือคือคาเฟ่ ห้องดนตรี สตูดิโอ โรงหนัง หรือแม้แต่ห้องคาราโอเกะ เป้าหมายไม่ใช่เพียงการให้ความรู้ แต่เพื่อปลูกฝัง ‘สำนึกของพลเมืองตื่นรู้’ (Active Citizenship) ให้ผู้คนรู้จักตั้งคำถาม มีส่วนร่วม และรู้สึกเป็นเจ้าของเมืองของตนเอง
“สิ่งสำคัญคือ Sense of Place และ Sense of Belonging ถ้าเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่ เขาจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของมัน และเมื่อพื้นที่มีปัญหา เขาจะอยากช่วยดูแล”
ในมุมของชัยณรงค์ พื้นที่สาธารณะที่ดีคือพื้นที่ที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย เชื่อมโยงกับระบบขนส่ง และเชิญชวนให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติ

“นี่คือหัวใจของธรรมาภิบาล การเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมสร้างพื้นที่การเรียนรู้ มากกว่ารอให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งทำเพียงฝ่ายเดียว”
ในประเทศไทย ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและรายได้ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ การสร้างพื้นที่เรียนรู้นอกห้องเรียนจึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการลดช่องว่างนั้น หนึ่งในตัวอย่างเล็กๆ ที่เริ่มเกิดขึ้นคือ ‘สนามเด็กเล่นในร่ม’ ของเทศบาลตำบลสันปูเลย จังหวัดเชียงใหม่ ที่เปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน 2568 สนามแห่งนี้ออกแบบภายใต้แนวคิด ‘เรียนรู้ผ่านการเล่น’ (Learning through Play) เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยทั้งร่างกาย อารมณ์ และสังคม ผ่านการร่วมมือของครู ผู้ปกครอง และชุมชน
แม้จะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่สะท้อนให้เห็นว่า การสร้างเมืองที่เป็นมิตรกับเด็กไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘วัฒนธรรมเมืองใหม่’ ที่เปิดพื้นที่ให้เด็กได้ร่วมออกแบบและเติบโตไปพร้อมกับเมือง

เชียงใหม่อาจยังไม่ใช่เมืองที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกคน แต่หากเราเริ่มมองเห็นคุณค่าของพื้นที่เล็กๆ ที่ช่วยให้หัวใจของใครสักคนรู้สึก ‘อยู่ได้’ เมืองน่าอยู่ในฝัน ก็อาจค่อยๆ กลายเป็นความจริงขึ้นมาในวันหนึ่ง
ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Lanner Joy Local Storytelling Lab โดยความร่วมมือของ Lanner ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Thai Media Lab และ มหาวิทยาลัยพะเยา
รายการอ้างอิง
นริศรา ฐิติวุฒิพงศ์. (2566, 30 มิถุนายน). เมือง เด็ก และพื้นที่นอกบ้าน. The Urbanis. สืบค้นจาก https://theurbanis.com/public-realm/30/06/2023/14392
Hfocus. (2568, พฤษภาคม). เปิดสถานการณ์โรคซึมเศร้า จ.เชียงใหม่ กับการเข้าถึงบริการมากขึ้น. สืบค้นจาก https://www.hfocus.org/content/2025/05/34062
สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงใหม่. (2568, 16 กันยายน). ผลักดันสนามเด็กเล่นในร่ม พื้นที่แห่งการเรียนรู้และพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างสมดุล. สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงใหม่. สืบค้นจาก https://radiochiangmai.prd.go.th/th/content/article/detail/id/57/iid/423966
จังหวัดเชียงใหม่. (2566). แผนพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ (พ.ศ. 2566–2570). สืบค้นจาก https://accl.cmu.ac.th/public/img/uploadfile/1681974708-a9d9hzqir5.pdf
เชียงใหม่ ฉันจะดูแลเธอ. (2564, 7 กรกฎาคม). พื้นที่สีเขียวเมืองเชียงใหม่. สืบค้นจาก https://www.facebook.com/chiangmaiwecare/posts/pfbid02qNpCPBnPbDTjtihJewRmjQ9BmDhgVsfPpqDaVbxHtQW9RbQyJUJcFxukx4tvbFwZl?rdid=PvLjlUv71hW0FygN#
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...