“การบันทึกประวัติศาสตร์ของชาวนาชาวไร่เพิ่งเริ่มต้น” การเปลี่ยนแปลงและประวัติศาสตร์ของชนชั้นชาวนาไทย

Date:

เรียบเรียง : ณัฏฐวรรธน์ คล้ายสมมุติ

“ประวัติศาสตร์ช่างโหดร้ายต่อชาวไร่ชาวนาอย่างเหลือเกินนั้น ช่างเป็นความจริงแม้ในปัจจุบัน เพราะพวกเขามักจะไม่ได้รับการยอมรับว่ามีบทบาทในการสร้างสรรค์ทางประวัติศาสตร์เลย…”

ประโยคข้างต้นมาจากบทความเรื่อง อ่านอานันท์ ที่เขียนโดยอรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ในวารสารสังคมศาสตร์ปีที่ 20 หน้า 126 ที่กำลังกล่าวถึงบทวิจารณ์หนังสือด้วยปัญญาแห่งความรัก ที่อานันท์เป็นผู้กล่าว โดยประเด็นข้างต้นสอดคล้องกับไทเรลล์ ฮาเบอร์คอร์น (Tyrell Haberkorn) ที่บรรยากาศของการทำวิทยานิพนธ์ของเธอที่ศึกษาขบวนการชาวนาชาวไร่ในภาคเหนือเมื่อ 21 ปีที่แล้ว (พ.ศ.2546) ว่าอยู่ในบรรยากาศของความเงียบ 

วันหนึ่งต้องไปค้นเอกสารตามมหาวิทยาลัยราชภัฏซึ่งเคยเป็นวิทยาลัยครูในที่ต่างๆ ของเชียงใหม่ พยายามบรรยาย ให้บรรณารักษ์ฟังเกี่ยวกับข้อข้อการศึกษา แต่บรรณารักษ์กลับตอบว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่เชียงใหม่

การที่กล่าวเช่นนี้ไม่ใช่จะกล่าวว่าบรรณารักษ์ไม่ดี แต่เป็นการจะชี้ให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ของชาวนาชาวไร่มันเป็นความเงียบจริงๆ  และเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกปิดโดยรัฐแต่ในปัจจุบัน มีความสนใจที่กว้างขวางมากขึ้น อีกทั้งมีการรำลึกในทุกปี และมีการทำสารคดีและหนังสือ สะท้อนถึงประวัติศาสตร์นิพนธ์กำลังเปลี่ยนและเปิดกว้างมากขึ้น ในวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ.2567 ที่ผ่านมานี้ เวทีเสวนาเส้นทางชาวนาไทย จากสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ถึงขบวนการทางสังคมร่วมสมัย : การเปลี่ยนแปลงและการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ชนชั้นชาวนา? ก็ยังชวนรำลึกถึงการต่อสู้และขยายมุมมองต่อประเด็นเรื่องชาวนาชาวไร่

รื้อความหมายของ “ชาวนา” และสร้างนิยามของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่

สมชัย ภัทรธนานันท์ อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ชวนอภิปรายถึงความหมายของคำว่า “ชาวนา” ในประวัติศาสตร์มีความหมายหลายแบบ ชาวนาในอังกฤษและฝรั่งเศสยุคก่อน หมายถึง คนทำงานในภาคเกษตร แรงงาน สามัญชนคนธรรมดาและยังหมายถึง โง่เขลา หยาบคาย และบัดสบ ในศวรรษที่ 13 ชาวนาในเยอรมันนอกจากหมายถึงเกษตรกร ยังหมายถึง ปีศาจ อาชญากร และขโมย/โจร ความหมายของชาวนาในอดีตของประเทศยุโรปจึงมักเป็นด้านลบ

ส่วนในสังคมไทย ความหมายของชาวนาในสมัยรัชกาลที่ 5 คือ คนบ้านนอก โง่เขลา และมืดมน ชาวนายังถูกกล่าวหาว่าเป็นบ่อเกิดของปัญหาหลายอย่างในสังคม และความหมายของชาวนาที่ร่วมสมัยที่ในสังคมไทยคือ ควายแดง และที่ขยายออกไปกว้างกว่านั้นคือคนชนบท โง่ จน เจ็บ ชาวนาไทยจึงถูกนิยามไว้ 5 ด้านคือ ด้านที่หนึ่ง ขี้เกียจ ด้านที่สอง เป็นเจ้าของที่ดินแต่ทำให้ที่ดินไม่เกิดประโยชน์  ด้านที่สาม ควบคุมตัวเองไม่ได้มักมีลูกหลายคน ด้านที่สี่ ไม่สามารถเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบได้ ด้านสุดท้าย ขัดขวางการใช้ประโยชน์จากที่ดินของพวกนายทุนในด้านการพัฒนา

หลังจากรื้อความหมายของชาวนา ชาวนาชาวไร่ในอดีตก็มีการต่อสู้ในการถูกกดขี่ สิ่งที่การต่อสู้ของขบวนการชาวนาชาวไร่สะท้อนถึงคือ “ความสัมพันธ์ของกฎหมายในเชิงพื้นที่ของการต่อสู้ในประเทศไทย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ชนชั้นนำยังครองอยู่ และกฎหมายเองก็เป็นเครื่องมือของชนชั้นนำศักดินาอยู่”

ไทเรลล์ กล่าว แต่การต่อสู้ของชาวนาชาวไร่เองนั้นเป็นเรื่องที่ควรนิยามใหม่

นิยามใหม่ของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่เสนอโดย อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ กล่าวว่า เราต้องกลับไปทบทวนความหมายทางประวัติศาสตร์ของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ใหม่ เพราะความเป็นจริงแล้ว การเคลื่อนไหวในแต่ละภูมิภาคมันมีมิติที่ซ้อนกันอยู่ จุดร่วมกันคืออยู่บนฐานของทรัพยากร แต่ที่ซ้อนกันคือขบวนการชาวนาชาวไร่ทั้งหมดต่อสู้ในนามของสิทธิพลเมือง

ดังนั้นหากเราคิดถึงสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ในสองด้านที่เชื่อมต่อกันแบบนี้ เราถึงขยับตัวได้ นอกจากจะต่อสู้ในเพื่อชีวิตของชาวไร่ชาวนาแล้ว พี่น้องชาวนาชาวไร่ของเราก็ได้สถาปนาสิทธิพลเมืองในรัฐที่ไม่เคยยอมรับสิทธิพลเมืองแก่ชาวนาชาวไร่ สิทธิพลเมืองของชาวไร่ชาวนาเป็นสิ่งที่สำคัญ การชุมนุมของพี่น้องชาวนาชาวไร่ไปร่วมชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐตกใจมากที่สุดก็คือการที่ชาวนาชาวไร่ประกาศเผาบัตรประชาชนเป็นเรื่องใหญ่มาก

การเคลื่อนไหวของชาวนาชาวไร่ในมิติที่ซ้อนทับกันนี้ บังเอิญรัฐไทยฉลาดเพราะเลือกการกำจัดโดยใช้กรอบคอมมิวนิสต์มิติเดียวที่จะกำจัดขบวนการชาวนาชาวไร่ และยังใช้แนวคิดแบบไทยๆ คือใช้ระบบอุปถัมภ์ที่เอื้อมตัวลงไปช่วยชาวบ้าน การจัดการของรัฐไทยลักษณะนี้มันจึงมีส่วนในการทำลายสิทธิพลเมืองไปพร้อมๆ กัน สิ่งที่เกิดขึ้นช่วงนี้จึงนำมาสู่การเคลื่อนไหวในช่วงหลังต่อไป

หลังจากขบวนการชาวนาชาวไร่ก็มีการเกิดขึ้นของเคลื่อข่ายเกษตรกร ซึ่งเคลื่อนไหวตั้งแต่ทศวรรษที่ 2520 ในขณะเดียวกันถูกนำไปผูกติดกับวัฒนธรรมชุมชนที่กลายเป็นฐานของการเคลื่อนไหว จนตอนหลังในทศวรรษที่ 2530-2540 จึงเคลื่อนมาในระดับของการเมืองมากขึ้น อย่างในกลุ่มสมัชชาคนจน และเริ่มขยับเข้ามาเป็นสิทธิพลเมืองมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม เครือข่ายเกษตรกรและทุกกลุ่มเริ่มทำให้การเมืองกลับมา หากเราเริ่มคิดว่ามันเป็นการต่อสู้เรื่องสิทธิพลเมืองควบคู่กัน เราจะตอบปัญหาเรื่องของชาวนาชาวไร่ได้ ด้านหนึ่งชาวนาชาวไร่มีความเปลี่ยนแปลงเนื่องจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาดขยายตัวมากขึ้น การขยายปลูกพืชพรรณมีมากขึ้น การผลิตเพื่อการบริโภคลดลง การทำงานนอกภาคเกษตรเพิ่มมากขึ้น การเคลื่อนย้ายกลายเป็นเรื่องปกติ ระบบเศรษฐกิจเคลื่อนไปสู่การเป็นผู้ประกอบการรายย่อยมากขึ้น การแตกตัวทางชนชั้นสูงมากขึ้น ความเท่าเทียมลดลง 

จินตนาการในชุมชนมันไม่ได้สลายความเป็นชนชั้นในชุมชน สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมที่เคยไปกำกับการกระทำของผู้คนมันลดลงไป สำนึกแบบปัจเจกชนมีมากแต่มันไม่มีสำนึกที่เชื่อมต่อระหว่างปัจเจกชนกับชุมชน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ เราจำเป็นที่จะต้องนิยามกันใหม่เราจึงต้องคิดว่าชาวนาชาวไร่จึงต้องคำนึงถึงสองมิติที่กล่าวมา และในปัจจุบันอำนาจการต่อรองมันลดลง

พี่น้องถูกทำให้เป็นอณูที่ล่องลอยไปโดยที่ไม่มีสายใยยึดมั่น 

สิทธิพลเมืองกลายเป็นสิทธิของปัจเจกชนหากเป็นแบบนี้คุณจะถูกกดทับนี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น การสนับสนุนของทุนจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นและจะดึงพี่น้องเข้าสู่ระบบตลาดแน่นกว่าเดิม ด้วยความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เราต้องคิดถึงการต่อสู้ของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่เป็นการต่อสู้เชิงสิทธิพลเมืองที่เป็นสิทธิพลเมืองรวมหมู่ ในปัจจุบันเราต้องทำให้สิทธิพลเมืองเข้าไปอยู่ในการเคลื่อนไหวทุกมิติและต้องเชื่อมต่อกันทุกเครือข่าย

ประวัติศาสตร์นิพนธ์การต่อสู้ที่ต้องช่วยกันสร้าง

“ความเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์นิพนธ์ ที่จริงคิดว่าสิ่งนี้เป็นแค่เพียงการเริ่มต้น ยังมีประวัติศาสตร์ของการต่อสู้อีกหลายบทหลายเล่มที่ยังไม่ได้เขียน” ไทเรลล์ กล่าว

เธอจึงเสนอประเด็นในศึกษาประวัติศาสตร์การต่อสู้คือ บทบาทในการต่อสู้ของครูประชาบาลที่มีบทบาทสำคัญระหว่างภาคส่วนต่างๆ รวมถึงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) บทบาทของกรรมกรในภาคเหนือ และบทบาทของฝ่ายซ้ายในกลุ่มต่างๆ เรื่องเหล่านี้ยังคงรอนักศึกษาให้ได้มาศึกษากัน

ประภาส ปิ่นตบแต่ง เสนอว่า หากเราพูดถึงขบวนการชาวนาชาวไร่หน่อเชื้อที่สำคัญที่นำมาสู่ผลสะเทือนในช่วงต่อมาคือการเคลื่อนไหวของคนเล็กคนน้อยในช่วงเริ่มต้น ช่วงทศวรรษที่ 2500 โดยเฉพาะภาคอีสาน การมีพื้นที่ที่ต่างกันการเคลื่อนไหวจะมีความคล้ายกัน แต่อยู่ประเด็นในเชิงพื้นที่เท่านั้นที่ต่างกัน

“ปัญหาของชาวนาชาวไร่ของภาคเหนือคือเรื่องที่ดิน ส่วนปัญหาของภาคอีสานนั้นคือเรื่องน้ำ ดังนั้นการต่อสู้ของภาคเหนือและภาคอีสานจึงมีความแตกต่างกัน ภาคเหนือต่อสู้กับกฎหมายส่วนภาคอีสานต่อสู้กับโครงการของรัฐ” มาลินี คุ้มสุภา กล่าว

สมชัย เสนอถึงประวัติศาสตร์ส่วนที่ยังไม่ค่อยมีการศึกษา นั่นคือประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ในชีวิตประจำวัน (Politics Of Everyday life) ซึ่งเป็นการต่อสู้ของชาวนาในรูปแบบที่ไม่เห็นเด่นชัด ในชีวิตของชาวนาเผชิญกับปัญหาต่างๆ พวกเขาต่อรองกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร 

ตัวอย่างการต่อสู้ของไทบ้าน อย่างเรื่องที่ทำกินเขาไม่ได้มีการรวมตัว แต่เขามีการต่อสู้อย่างไรเพื่อให้พวกเขาอยู่ต่อไปได้ ประเด็นเหล่านี้คือน่าสนใจและน่าศึกษา หากคนไหนคนใจเรื่องการต่อสู้ของชาวนา มองผ่านประเด็นนี้จะเห็นมิติใหม่ ในการต่อสู้ในภาคอีสานของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่มีส่วนสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสหพันธ์นักศึกษาเสรี อย่างกรณีหนองบัวบาน จังหวัดอุดรธานีที่รัฐพยายามจะสร้างเขื่อนห้วยหลวง เพื่อเก็บน้ำให้กับค่ายรามสูรที่ทหารอเมริกันอาศัยอยู่ในช่วงเวลานั้น (ทศวรรษที่ 2510) จะส่งผลกระทบต่อนาชาวของชาวบ้านจากน้ำท่วม กรณีหนองบัวแดงก็มีการสร้างเขื่อนเหมือนกัน และกรณีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายเงินผันของรัฐบาลคึกฤทธิ์ 

ไทเรลล์ เสริมว่า หากดูประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ของชาวนาชาวไร่และการใช้ความรุนแรงของรัฐ ไม่ได้มองว่าไม่ประสบความสำเร็จ แต่มองว่าเป็นประวัติศาสตร์ของการต่อต้านอำนาจอยุติธรรม

การเขียนประวัติศาสตร์ของชาวนาชาวไร่เพิ่งเริ่มต้น เราควรพยายามค้นคว้าและหาหลักฐานการต่อสู้ของประชาชนให้กว้างขวางมากขึ้น และต้องทำให้เป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ อันนี้คือสิ่งที่เราต้องทำอย่างจริงจัง

หมายเหตุ บทความชิ้นนี้เรียบเรียงจาก เวทีเสวนาเส้นทางชาวนาไทย จากสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ถึงขบวนการทางสังคมร่วมสมัย : การเปลี่ยนแปลงและการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ชนชั้นชาวนา? โดย ศาสตราจารย์ ดร.ไทเรลล์ ฮาเบอร์คอร์น มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตกแต่ง สมาชิกวุฒิสภา รศ.ดร.สมชัย ภัทรธนานันท์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ประธานโครงการเส้นทางชาวนาไทย ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.มาลินี คุ้มสุภา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในงานเส้นทางชาวนาไทย: รำลึก 50 ปี สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย วันที่ 23-24 พฤศจิกายน 2567 คณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่

อ้างอิงหนังสือ

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์. อ่านอานันท์. วารสารสังคมศาสตร์. ปีที่ 20 ฉบับที่ 2/2551.

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

คนแม่อายประกาศ ‘ไม่เอาฝายดักตะกอน’ แนะรัฐควรใช้งบ 173 ล้านสร้างประปาบาดาลแทน

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ร่วมกับมูลนิธิร่มโพธิ์ กลุ่มรักษ์แม่น้ำกก และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดเวทีรับฟังปัญหาและผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำกก ที่ตำบลท่าตอน...

นักกิจกรรมเชียงใหม่จัด Run2Free ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ’ ร้องหยุดจองจำผู้เห็นต่าง ไม่ลืมเพื่อนในเรือนจำ

25 ตุลาคม 2568 กลุ่มเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ จัดกิจกรรม ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ X ยืนหยุดขัง Run2Free’...

บทเรียนจากหอยมินามาตะ ถึงปลาน้ำกก รัฐยืนยันปรุงสุก-กินได้ แต่ระยะยาวปลอดภัยแค่ไหน?

เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์ 12 กันยายน 2568  กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย...