พรมแดน ผู้คน รัฐ และชาติ: เส้นบนดินที่ขีดในหัวใจคน

Date:

เรื่อง: ชัยพงษ์ สำเนียง ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

1

ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา นำมาสู่การกลับไปทบทวนว่าเส้นแดนในประวัติศาสตร์ไทยเป็นแบบไหน ผ่านความคิดเรื่องรัฐและชาติ ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าการเกิดรัฐในสังคมไทยและอาจเลยไปอุษาคเนย์ มี 2 แนวคิดที่สำคัญในการอธิบาย คือ 1. เกิดจากอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียที่เข้ามาในภูมิภาคนี้จนทำให้เกิดการรวมตัวของนครรัฐและรับวัฒนธรรมอินเดียทั้งศาสนา รูปแบบการปกครอง และวัฒนธรรมในราชสำนักมาใช้ในอาณาจักรของตน เช่น อาณาจักรขอมโบราณ อาณาจักรทวาราวดี แนวคิดที่ 2 คือ รัฐของคนพื้นเมืองที่มีมาก่อนการแพร่เข้ามาของอารยธรรมอินเดีย ซึ่งโดยมากจะเป็นรัฐหรือเมืองของชนพื้นเมืองทั่วไปในภาคพื้นทวีปและหมู่เกาะของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[1]

รัฐทั้ง 2 แบบนี้ยังเป็นระบบรัฐในจารีตที่อิงกับความเชื่อทางศาสนา มีจักรวาลทัศน์แบบจารีต เช่น  รัฐไทย รัฐพม่า ในสมัยโบราณก็อิงกับพุทธศาสนา ในระบบที่เชื่อเรื่องศูนย์กลางของจักรวาลและความเป็นจักรพรรดิราช หรือราชาผู้เป็นใหญ่ จากความเชื่อนี้นำมาสู่การปฏิบัติต่อรูปแบบการเมืองการปกครอง ที่ถือว่าเมืองหลวงถือคือศูนย์กลางของจักรวาล กษัตริย์เป็นองค์อวตารสมมุติเทพ แสดงผ่านสัญลักษณ์เช่น บัลลังก์ หรือปราสาทก็เปรียบดังเขาพระสุเมรุ เป็นศูนย์กลางจักรวาล แนวคิดความเชื่อเหล่านั้นนำสู่การปกครองบ้านเมือง ถือว่าผู้ครองเมืองที่จะเป็นจักรพรรดิราชย์ จะมีบุญญาธิการ สามารถขยายบ้านเมืองและตีเมืองอื่นๆ โดยรอบเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ ส่วนเมืองในปกครองก็จะมีเจ้าอธิราช เป็นผู้ปกครองเฉพาะในเขตของตนโดยยอมรับอำนาจของพระเจ้าจักรพรรดิราชย์[2]

ในระบบรัฐจารีตจะมีจักรพรรดิ์ที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางของอำนาจและจะมีเจ้าอธิราชเล็กๆ ที่ปกครองเมืองหรืออาณาจักรที่ยอมรับในอำนาจของจักรพรรดิ์ และเจ้าอธิราชเหล่านี้ก็ปกครองเมืองของตนอย่างอิสระโดยสัมพัทธ์ โดยการยอมรับอิทธิพลของจักรพรรดิ์ในรูปของการส่งส่วย หรือบรรณาการ ตัวของเจ้าอธิราชก็คือศูนย์กลางของดินแดนนั้นๆ อีกทีหนึ่ง  และอาจยอมรับอำนาจของจักรพรรดิ์หลายองค์  อย่างที่เราเรียกว่า “เมืองสามฝ่ายฟ้า” บ้าง “เมืองสองฝ่ายฟ้า” บ้าง เช่น เขมร อาจรับทั้งอำนาจของสยามและอำนาจของเวียดนาม[3] หรือเมื่ออำนาจทั้ง 2  ฝ่ายอ่อนแอก็เป็นอิสระ ฉะนั้น เขมรจึงไม่ใช่ของไทย และของเวียดนาม การที่เราอ้างว่าเขมรเคยเป็นของเราต้องเอาคืนมาจึงเป็นมายาที่สร้างผิดยุคผิดสมัยพอสมควร หรือกรณีของลื้อเมืองเชียงรุ่งก็ถือว่าเป็นเมืองสามฝ่ายฟ้า ที่ยอมรับอำนาจของจีน พม่า และล้านนา บางสมัย โดยถือว่า “จีนเป็นแม่  ม่านเป็นพ่อ”  เป็นต้น

ตัวของจักรพรรดิ์เองก็มิได้ยั่งยืน มั่นคง แต่ขึ้นอยู่กับบุญบารมี และความสามารถที่สะสม ถ้ามีผู้มีบารมีมากกว่าก็กลายเป็นจักพรรดิ์แทน และการเป็นจักรพรรดิก็ไม่สืบต่อทางสายเลือด แล้วแต่บารมีและความสามารถของแต่ละองค์ ฉะนั้น เจ้าอธิราชต่างๆ ก็สามารถกลายเป็นจักรพรรดิ์ได้[4] 

2

รัฐในยุคจารีตเขตแดนย่อมไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับอำนาจบารมีและความสามารถของกษัตริย์หรือจักรพรรดิ์ในยุคนั้นๆ ว่าสามารถแผ่อิทธิพลครอบงำเจ้าอธิราชต่างได้มาน้อยแค่ไหนมีทั้งขยาย และหดตัวตามบริบทของยุคสมัย  เช่น  มีจักรพรรดิ 2 องค์ขยายอิทธิพลครอบงำเจ้าอธิราชอื่นๆ ซึ่งเจ้าอธิราชก็ยอมรับอำนาจของทั้ง 2 จักรพรรดิ์ จักรพรรดิ์ก็ถือว่าดินแดนนั้นคือเขตแดนของคนก็หมายความว่ามี 2 อิทธิพลในดินแดนเดียว แต่แท้จริงแล้วเจ้าอธิราชก็ยังคงสิทธิในการปกครอง ฉะนั้น ดินแดนใดดินแดนหนึ่งจึงไม่แน่นอนว่าเป็นของใครและไม่มีเส้นเขตแดนที่ชัดเจนในรัฐยุคจารีต

นอกจากนั้น รัฐที่เป็นศูนย์กลางก็ประหนึ่งแสงเทียนที่ส่องสว่างรายรอบด้วยเมืองใกล้บ้างห่างบ้าง ยิ่งห่างไกลอำนาจของศูนย์กลางก็ยิ่งเบาบาง เจ้าอธิราชท้องถิ่นก็มีอิสระมากขึ้น รัฐทำนองนี้จึงมีเขตแดน รูปร่างซ้อนทับกันไปมา ไม่แน่นอน[5]

ในขณะเดียวกันรัฐจารีตถือว่ากำลังคนมีความสำคัญกว่าเขตแดนหรือผืนดิน กำลังคนคือปัจจัยในการผลิต ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง รัฐในอดีตทำสงครามกันก็เพื่อกวาดต้อนกำลังคน เช่น พม่าตีอยุธยาได้ก็กวาดต้อนคนจากอยุธยาไปพม่า หรือกรณีของเชียงใหม่ตีไทใหญ่ ไทลื้อ เมืองยองก็กวาดต้อนผู้คนมา  มิได้เอากำลังยึดเมืองหรือเขตแดน[6] ในยุคจารีตคนจึงสำคัญกว่าผืนดิน เพราะผืนดินรกร้างว่างเปล่ามีมากมายแต่ไม่มีคนหักร้างถางพง ดินแดนจึงไม่มีความหมายเท่าใดนัก[7]

การแบ่งเขตดินแดนในรัฐแบบจารีตก็ใช้วิธีการแบบจารีต เช่น กรณีของเจ้าเมืองเชียงใหม่ และเจ้าเมืองยางแดง แบ่งเขตแดนและผลประโยชน์ที่เกิดจากดินแดนนั้นๆ ก็ใช้วิธีการแบบจารีต คือ ฆ่าควายและเอาเขาควายมาแบ่งคนละเขา และบอกว่าถ้าผลประโยชน์เกิดทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำคง (สาละวิน) ให้ถือว่าเป็นของเจ้าเมืองยางแดง ถ้าผลประโยชน์เกิดทางฝั่งตะวันออกถือ ว่าเป็นของเมืองเชียงใหม่ และให้เก็บเขาควายนี้ไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งดินแดนระหว่างเมืองยางแดงกับเมืองเชียงใหม่ ซึ่งระบบจารีตในการแบ่งเขตแดนอย่างนี้ก็ไม่ได้มีความสำนึกเรื่องเขตแดนที่ตายตัวแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงสัญลักษณ์ของอำนาจ จะเกิดผลกระทบเมื่อแนวคิดเรื่องดินแดนที่แน่ชัด มีเส้นกั้นแบบตะวันตกเข้ามาซึ่งเป็นปัญหาในภายหลัง[8]

จะเห็นได้ว่ารัฐในระบบจารีตทั้งเรื่องเขตแดน และสำนึกการรับรู้เรื่อง “ชาติ” ยังไม่เกิดและ “ชาติ” หรือ “รัฐชาติ” ‘เส้น’ ‘เขต’ จึงไม่มีความหมายอะไรต่อชีวิตของผู้คนมากนัก

 แต่ก็มิได้หมายความว่ารัฐในยุคจารีตจะไม่มีความสำนึกเรื่องดินแดน ซึ่งเราจะเห็นได้จากการแบ่งตามแม่น้ำ สัญลักษณ์ เช่น ด่าน พระเจดีย์สามองค์ พระธาตุศรีสองรัก ฯลฯ แต่สัญลักษณ์เหล่านั้นก็มิได้มีขอบเขตตายตัว แต่เป็นสำนึกแบบอื่นๆ (เป็นเรื่องที่ต้องอภิปรายอีกประเด็น) ที่อาจแยกระหว่าง  “พวกเขา” และ “พวกเรา” ในรูปของสำนึกทางวัฒนธรรมวัฒนธรรม หรือเชื้อชาติ หรือภาษาที่แตกต่างกัน[9] เช่น  มอญ  เขมร  ไท  ลาว  ฯลฯแต่ก็มิใช่เส้นที่แบ่งตายตัว กลับมีการผสมกลมกลืนกันไปมา และก็ไม่สำนึกแบบปัจจุบันอีกเช่นกัน  แต่มิใช่แบบมีเส้นเขตแดนเสียทีเดียว 

3

ส่วนความเป็นชาติเป็นสิ่งที่พึ่งมีเมื่อไม่นานมานี้ในสังคมไทย เข้ามาพร้อมกับการปฏิสัมพันธ์และการคุกคามของชาติตะวันตก กล่าวอีกแง่ว่า ความเป็นรัฐชาติแบบใหม่ ที่มีอาณาเขต เส้นเขตแดนที่ชัดเจน นำมาสู่การกำหนดเชื้อชาติ สัญชาติ และสิทธิต่างๆ ของคนในรัฐชาตินั้นๆ ซึ่งต่างจากสำนึกของรัฐ(จารีต)แถบนี้ เป็นสำนึกอีกแบบหนึ่ง กรณีของไทยก่อนรัชกาลที่ 5 อาจยังไม่ได้อยู่ในสำนึกแบบนั้น การที่คนอยุธยาไปเข้ากับพม่าในการตีกรุงศรีอยุธยาจึงไม่มีสำนึกในความเป็นชาติอย่างที่เราในปัจจุบันนี้เข้าใจ แต่เป็นสำนึกในเรื่องของ “จักรพรรดิราช” คือ ผู้ปกครองในอุดมคติ  ฝ่ายไหนดีเข้มแข็งก็เข้ากับฝ่ายนั้น  การตราหน้าในประวัติศาสตร์กรณีของพระยาจักรีเปิดประตูเมืองให้พม่าว่าไม่รักชาติ[10] ก็อาจต่างกันระหว่างคนในอดีตกับสำนึกของเราในปัจจุบัน

เส้นเขตแดนที่ชัดเจนของสยามมาพร้อมกับการขยายดินแดนไปในรัฐรายรอบ พร้อมกับการเข้ามาของอาณานิคมตะวันวันตกที่พม่า มลายู ตกเป็นของอังกฤษ ซึ่งนำมาสู่การสำรวจเส้นเขตแดนทางตอนเหนือและตะวันตก เพื่อกำหนดเขตแดนระหว่างสยามกับพม่าของอังกฤษ หรือการทำเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับลาว และเขมรของฝรั่งเศส อาจกล่าวได้ว่า “เส้นเขตแดน” ที่เป็นอยู่นี้เกิดนอกจากเกิดจากสำนึกเรื่องรัฐสมัยใหม่แล้ว ยังเป็นปฏิกิริยาด้านกลับของการขยายอาณานิคมด้วยเช่นกัน[11]

กล่าวมาถึงที่นี้ อาจกล่าวได้ว่าสำนึกเรื่องเขตแดนที่ตายตัวก็เกิดราวๆ 100 กว่าปีมานี้ สำนึกความเป็นชาติแบบใหม่นี้ค่อยๆ เกิดการรับรู้ทั้งจากการกล่อมเกลา ปลูกฝังจากรัฐตั้งแต่ ร. 5 มาเป็นลำดับ ผ่านเส้นทางสำคัญคือ การศึกษา ทั้งวิชาภูมิศาสตร์ ให้ทราบตำแหน่งของพื้นที่เพื่อบอกว่าอะไร ณ  ตรงไหนคือของเราติดกับประเทศอะไรบ้าง วิชาประวัติศาสตร์ อธิบายตำแหน่งที่แห่งของชาติในมิติเวลา ให้รู้ความเป็นมาเป็นไป รวมถึงสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของชาติ ส่วนวิชาหน้าที่พลเมือง สร้างสำนึกของความเป็นคนในชาติว่าต้องมีบทบาทหน้าที่อย่างไร ชาติที่เห็นและเป็นอยู่จึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นอสงไขยเวลา แต่เป็นสิ่งที่ประกอบสร้างขึ้น[12]

กล่าวได้ว่า “ชาติ” เป็นสำนึกของคนที่เป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นพวกเดียวกัน มีเส้นแบ่งเขตแดนอย่างตายตัว และทุกคนต้องมีชาติ รักชาติ พลีชีพเพื่อชาติ และทำดีเพื่อชาติ เป็นตัวเชื่อมร้อยรัดคนที่อยู่ในกรอบเส้นพรมแดนเดียวกัน และชาติอาจต้องเป็นสีแดง เลือดเพื่อบอกว่าชาติ คือ ชีวิต และสละชีวิตเพื่อชาติพลี จะไม่ยอมสูญเสียผืนดินตารางนิ้วเดียว[13]  ถ้าพูดถึงกรณีภาคใต้ หรือกัมพูชาปัจจุบัน (พ.ศ.2568) แต่ถ้าคนในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มาได้ยินกรณีกัมพูชาปัจจุบัน (พ.ศ.2568) คงไม่เข้าใจว่ากำลังทะเลาะเรื่องอะไรกันอยู่  

ทั้งนี้ทั้งนั้น การเป็นชาติก็ต้องมีการสร้างประวัติศาสตร์แห่งชาติเพื่อว่าเรามีความเป็นมาร่วมกันอย่างยาวนาน และละประวัติศาสตร์อื่นที่ขัดต่อประวัติศาสตร์แห่งชาติไป เส้นเวลาของประวัติศาสตร์ชาติไทยจึงเริ่มตั้งแต่สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ และคนในชาติก็รับรู้ประวัติศาสตร์ชาติที่เป็นหนึ่งเดียว ประวัติศาสตร์ดินแดนอื่นๆ ที่ประกอบมาเป็นชาติ[14] ก็มีความสำคัญไม่มากนัก การมองตัวตนของชาติที่มีหนึ่งเดียวบางครั้งนำมาสู่ความหลงไหลในชาติ กลายเป็นเป็นชาตินิยมล้นเกิน ไม่เข้าใจคนอื่น และไม่มีที่ว่างให้จินตนาการถึงประวัติศาสตร์ที่ไม่มีชาติได้

กล่าวมาถึงตรงนี้ ก็จะเห็นการเปลี่ยนสำนึกและรูปแบบของรัฐ ที่ไม่ได้มั่นคงสถิตแน่น แต่มีความเปลี่ยนแปลงมาตลอด ถ้าเราพินิจการเคลื่อนย้ายถ่ายเทมโนทัศน์เรื่องรัฐ ชาติ ก็อาจทำให้เรามองชาติรัฐในฐานะความสัมพันธ์มากกว่าเส้นเขตแดนที่ตายตัวได้

หมายเหตุ

บทความนี้ผู้เขียนเริ่มต้นด้วยการเขียนแบบลำลอง ไม่ได้ใส่เชิงอรรถ อ้างอิงใดๆ เขียนจากความเข้าใจของผู้เขียน แต่ว่าในอีกแง่ก็อยากเชื่อมโยงไปสู่ความคิดที่ใช้เลยใส่อ้างอิงจนเต็มไปหมด จนทำให้ดูรกรุงรังไปบ้าง.

หากสนใจในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทยกัมพูชา. โปรดดูหนังสือของ, สุจารวี โคตพันธุ์. 2558. พิธีกรรมงานบุญกับการต่อรองอัตลักษณ์ข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชา. เชียงใหม่ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ที่อธิบายการข้ามพรมแดนไปมาของชาวไทยและกัมพูชา ทั้งยังมีความเชื่อบางอย่างร่วมกัน ซึ่งพอถึงงานประเพณี เส้นเขตแดนตามที่เราเข้าใจก็แทบสลาย กลายเป็นพื้นที่พิธีกรรมและความสัมพันธ์ของผู้คนแทน แม้เส้นเขตแดน และสำนึกความเป็นชาติจะก่อตัวแน่นหนา แต่ผู้คนตามพรมแดนก็ข้ามไปมา มีปฏิสัมพันธ์ทั้งทางการค้าและวัฒนธรรมบางอย่างร่วมกัน เส้นเขตแดนในพรมแดนจึงไม่กีดกั้นผู้คนเสียทั้งหมด.


  • [1] ดู, ธิดา สารายา. “ผู้นำวัฒนธรรมกับการสร้างบ้านแปลงเมือง,” ใน รัฐโบราณในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้:กำเนิดและพัฒนาการ. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2537. และธงชัย วินิจจะกูล, 2530. “ประวัติศาสตร์การสร้าง “ตัวตน”. ใน สมบัติ จันทรวงศ์ และชัยวัฒน์ สถาอานันท์, บรรษณาธิการ. อยู่เมืองไทย: รวมบทความทางสังคมการเมืองเพื่อเป็นเกียรติแด่ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก ในโอกาสอายุครบ 60 ปี. กรุงเทพฯ : ธรรมศาสตร์.
  • [2] ไฮ-เกลเดิน, รอเบิต. เขียน, นิธิ เอียวศรีวงศ์ แปล, 2525. แนวคิดเกี่ยวกับรัฐและสถาบันกษัตริย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 6 (1) (เมษายน-กันยายน).
  • [3] ดูเพิ่มในบทที่สอง. ธงชัย วินิจจะกูล, 2556. กำเนิดสยามจากแผนที่,ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ, พวงทอง ภวัครพันธุ์,ไอดา อรุณวงศ์,พงษ์เลิศ พงษ์วนานต์, แปล. กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ ร่วมกับ สำนักพิมพ์อ่าน.
  • [4] เรื่องเดียวกัน.
  • [5] ดูความคิดนี้ใน, Wolters, O. W. 1982. History, Culture and Region in Southeast Asian Perspectives. Ithaca and Singapore: Institute of Southeast Asian Studies.
  • [6] แสวง มาละแซม. 2544. คนยองย้ายแผ่นดิน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
  • [7] พวงทอง ภวัครพันธ์. 2564. สงครามและการกวาดต้อนผู้คนในลุ่มน้ำโขง : การฟื้นฟูและขยายอำนาจของสยามในยุคธนบุรี-ต้นรัตนโกสินทร์. ใน. ฟ้าเดียวกัน 19/1 : 80 ปีนิธิ เอียวศรีวงศ์ ปัญญาชนแห่งสยามยุคเปลี่ยนผัน.
  • [8] นคร พันธุ์ณรงค์. 2516. การเจรจาข้อตกลงระหว่างรัฐบาลสยามกับรัฐบาลอังกฤษเกี่ยวกับหัวเมืองชายแดนลานนาไทยพม่า สมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระหว่าง 2428-2438. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ วิทยาลัยการศึกษาประสานมิตร.  และ นคร พันธุ์ณรงค์ 2540. ปัญหาชายแดนไทย-พม่า.  กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
  • [9] ดูงานของ, Herzfeld, Michael. 2005. Cultural Intimacy: Social Poetics in the Nation-State.New York: Routledge. ที่พยายามอธิบายความเป็นชาติผ่านวัฒนธรรมใกล้ชิดบางอย่างร่วมกันของผู้คน
  • [10] ดูเพิ่มใน. ธงชัย วินิจจะกูล. 2562. ผู้ร้ายในประวัติศาสตร์ไทย กรณีพระมหาธรรมราชา: ผู้ร้ายกลับใจ หรือถูกใส่ความโดย plot ของนักประวัติศาสตร์. ใน ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย, นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน.
  • [11] งานของ นิธิ เอียวศรีวงศ์. 2509. การปราบฮ่อและการเสียดินแดน พ.ศ.2431. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย แผนกประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ชี้ให้เห็นว่าสยามขณะนั้นก็พยายามที่จะเข้าไปอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ที่เป็นประเทศลาวปัจจุบัน รวมไปถึงสิบสองจุไท ทั้งการส่งกำลังไปปราบปรามฮ่อ ขณะเดียวกันก็เข้าไปทำแผนที่ และสำรวจดินแดน ฝรั่งเศสที่ขยายอำนาจเข้ามาทางเวียดนามก็เช่นเดียวกัน
  • [12] ดูความคิดนี้ใน, แอนเดอร์สัน, เบนเนดิกท์., 2552. ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม. แปลโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และคณะ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
  • [13] ดูงานของ, สุจารวี โคตพันธุ์. 2558. พิธีกรรมงานบุญกับการต่อรองอัตลักษณ์ข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชา. เชียงใหม่ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ที่อธิบายการข้ามพรมแดนไปมาของชาวไทยและกัมพูชา ทั้งยังมีความเชื่อบางอย่างร่วมกัน ซึ่งพอถึงงานประเพณี เส้นเขตแดนตามที่เราเข้าใจก็แทบสลาย กลายเป็นพื้นที่พิธีกรรมและความสัมพันธ์ของผู้คนแทน แม้เส้นเขตแดน และสำนึกความเป็นชาติจะก่อตัวแน่นหนา แต่ผู้คนตามพรมแดนก็ข้ามไปมา มีปฏิสัมพันธ์ทั้งทางการค้าและวัฒนธรรมบางอย่างร่วมกัน เส้นเขตแดนในพรมแดนจึงไม่กีดกั้นผู้คนเสียทั้งหมด
  • [14] เช่น ประศาสตร์ล้านนา ลาว (อีสาน)  มลายู  ไม่ได้ให้ความสำคัญว่าเป็นส่วนหนึ่งของชาติ  บางทีเกิดชาติล้นเกิน จนทำให้เกิดคนอื่น  “พวกเขา” และ “พวกเรา” เพื่อบอกว่าใครคือศัตรู  ใครคือมิตร จำแนกแยกแยะบุคคล ใครอยู่ในไอ้เส้นเดียวกันก็คือพวกเรา  นอกเส้นกั้นนี้คือคนอื่น  เช่น ไทย  พม่านอกเส้นก็ คือคนอื่น คือ ศัตรู  

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ส.ส.พรรคประชาชน จี้รัฐบาลชี้แจง MOU แร่แรร์เอิร์ธ ไทย–สหรัฐ หวั่นไทยเสียเปรียบ กระทบสิ่งแวดล้อม-ชาติพันธุ์-ต้นน้ำปิง

ภาพ: Pai Deetes  30 ตุลาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 35 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง)...

ละลานล้านนา: ล้านนาในรสลับ วัฒนธรรมการกินที่บอกผ่านความไม่บอก

เรื่อง: ปวีณา หมู่อุบล, ภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง ไม่นานมานี้ บนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะที่ X...

ค่าชีวิตไม่เท่ากัน ชะตากรรมคนเหนือเขื่อนภูมิพล

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย, ภาพ: ปรัชญา ไชยแก้ว 22 ตุลาคม 2568 น้ำปิงหนุนสูงเข้าท่วมตำบลฮอด...

55 ปีมูลนิธิดรุณาทร สู่พลังแห่งการช่วยเหลือ พัฒนาเด็กและเยาวชน

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่โรงแรมแชงกรี-ลา จังหวัดเชียงใหม่ มูลนิธิดรุณาทร จัดงาน “ร้อยเรียงเรื่องราว 55...