11 กันยายน 2568 ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง จัดงานครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์น้ำท่วมและโคลนถล่ม ที่สร้างความเสียหายครั้งใหญ่ต่อจังหวัดเชียงราย กิจกรรมประกอบด้วยเวทีเสวนา การแสดงศิลปะ และการอ่านบทกวีสาปแช่งผู้ที่ปล่อยสารพิษลงสู่สายน้ำ ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเจ็บปวดและความโกรธแค้นของผู้คนในพื้นที่

ผู้เข้าร่วมงานครั้งนี้มีตัวแทนจากหลากหลายภาคส่วน อาทิ พระมหานิคม มหาภินิกขมฺโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่, เตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาเชียงราย, ประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ รวมถึงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ตลอดจนเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง และผู้แทนจากหลายภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย

ผศ.ดร.อังกูร ว่องตระกูล ผู้ช่วยคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังทำงานร่วมกับหลายหน่วยงานในจังหวัดเชียงราย ภายใต้คณะทำงานพัฒนากระบวนการเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง โดยมีการรวบรวมข้อมูลจากชลประทานจังหวัดเชียงราย ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 กรมทรัพยากรน้ำ สำนักสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) และมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ที่ได้ลงพื้นที่ศึกษาใน 7 ชุมชนตลอดลำน้ำกก
ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์และเปรียบเทียบ เพื่อจัดทำระบบแจ้งเตือนภัยให้ใกล้เคียงสถานการณ์จริงมากที่สุด พร้อมทั้งมีการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำเพิ่มอีก 11 จุดในเขตเมืองเชียงราย สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้น สภาหอการค้าไทยประเมินว่า จังหวัดเชียงรายสูญเสียราว 6,700 ล้านบาท ขณะที่จังหวัดเชียงใหม่เสียหายประมาณ 5,000 ล้านบาท
ผศ.ดร.อังกูร อธิบายว่า ทีมงานได้นำข้อมูลสถานการณ์น้ำมาเผยแพร่ผ่านเพจระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย ซึ่งพบว่ามีประชาชนติดตามและโต้ตอบอย่างต่อเนื่อง สามารถนำข้อมูลไปปรับใช้ในการรับมือสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากการวิเคราะห์พบว่า สภาพน้ำท่วมในเชียงรายส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากปริมาณฝนในเขตประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้มาจากพื้นที่รับน้ำในประเทศไทยซึ่งมีขนาดเล็ก ตัวอย่างเช่น แม้ปริมาณน้ำฝนในพื้นที่จะอยู่เพียง 60–70 มิลลิเมตร แต่กลับพบว่าระดับน้ำที่ตำบลท่าตอนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งที่สถานีวัดน้ำต้นน้ำกกไม่มีข้อมูลฝนตกเลย เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในพม่า ทำให้ต้องพึ่งพาภาพถ่ายดาวเทียมแทนการติดตั้งสถานีวัดน้ำ และในบางพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สูงและมีฝนตกสะสม การใช้ข้อมูลดาวเทียมจึงช่วยให้สามารถเตือนภัยได้ทันเวลา
เสียงสะท้อนจากเวทีเสวนาชี้ให้เห็นถึงความกังวลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ยังดำเนินต่อเนื่อง โดยเฉพาะคำเตือนของ ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ที่ระบุว่าผลผลิตข้าวนาปีกว่า 1 แสนไร่ในเชียงรายซึ่งจะเก็บเกี่ยวเดือนตุลาคมนี้ อาจเสี่ยงปนเปื้อนสารโลหะหนัก หลังจากพบการตรวจยืนยันสารแคดเมียมและสารหนูในข้าวนาปรัง ขณะที่พืชเศรษฐกิจสำคัญอย่างถั่วแระญี่ปุ่นและกระเจี๊ยบเขียวถูกปฏิเสธไม่รับซื้อจากโรงงาน เนื่องจากกังวลการปนเปื้อน
อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ว่า จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญกับวิกฤติหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำสายสำคัญ ทั้งแม่น้ำกกและแม่น้ำสายซึ่งไหลมาจากนอกประเทศ ขณะที่แม่น้ำงาวและแม่น้ำหงาวมีต้นน้ำอยู่ภายในประเทศเอง เพื่อเตรียมรับมือกับวิกฤติน้ำ อบจ.เชียงรายจึงกำลังพิจารณาหาพื้นที่รองรับน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง พร้อมทั้งทำงานร่วมกับจังหวัดจัดตั้ง ‘ศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติ’ เพื่อรวบรวมและประมวลผลข้อมูล ผ่านระบบไอที ก่อนเสนอขออนุมัติงบประมาณ แม้งบที่ได้รับอาจมีไม่มากนัก แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการเริ่มต้นวางระบบการจัดการน้ำอย่างเป็นรูปธรรม
ด้าน ประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำเป็นเรื่องที่น่ากังวล จังหวัดได้ตั้งคณะกรรมการหลายภาคส่วนเข้ามาร่วมแก้ไข และประสานกับสถาบันการศึกษา รวมถึงการเจรจากับเมียนมาเพื่อหาทางออกในระยะยาว โดยย้ำว่าการแก้ไขที่ยั่งยืนคือต้องหยุดการปล่อยสารพิษจากเหมืองแร่
“ผมอยู่เชียงรายมานาน มาใหม่ๆ ยังเห็นน้ำกกใสน่าว่ายเล่น แต่ 1-2 ปีที่ผ่านมาน้ำกกขุ่นมาก ปี 2567 ที่ต้นน้ำหน้าดินถูกเปิดเยอะ ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากเหมืองแร่” ประเสริฐกล่าว
ขณะนี้จังหวัดดำเนินการตรวจคุณภาพน้ำผิวดินเดือนละ 2 ครั้ง ตรวจสอบน้ำประปาทั้งในเขตเมืองและแม่สายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงตรวจพืชริมแม่น้ำและปลาทุกเดือน พร้อมเตรียมลงพื้นที่ชุมชนด้วยชุดตรวจสนาม หากพบสารหนูจะส่งตรวจยืนยันในห้องปฏิบัติการอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีแผนจัดหาแหล่งน้ำใหม่ โดยให้น้ำประปาแม่สายเปลี่ยนไปใช้น้ำโขงและน้ำแม่คำ ส่วนอำเภอเมืองอาจนำน้ำจากเขื่อนแม่สรวยมาใช้
อย่างไรก็ตาม ประเสริฐยอมรับว่า หากน้ำกกมีสารหนูเกินค่ามาตรฐาน 0.05 มิลลิกรัมต่อลิตร จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่เกษตรและผลผลิตข้าวนาปีกว่า 50,000 ตัน แม้จะมีแผนเฝ้าระวังด้านการเกษตรอยู่แล้ว แต่ในส่วนของน้ำประปายังจำเป็นต้องจัดหาแหล่งน้ำสำรอง โดยเบื้องต้นมีแนวทางให้น้ำประปาแม่สายเปลี่ยนไปใช้น้ำโขงและน้ำแม่คำ ส่วนอำเภอเมืองพิจารณานำน้ำจากเขื่อนแม่สรวยมาใช้ ซึ่งเป็นมาตรการที่ควรเร่งดำเนินการทันที
“ภาวนาขออย่าให้มีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร” ประเสริฐกล่าว
นิวัฒน์ ร้อยแก้ว เน้นย้ำว่า ต้นตอปัญหามาจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา และเป็นปัญหาข้ามพรมแดนที่รัฐบาลไทยยังแก้ไม่ถึงราก หากรัฐบาลใหม่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง ต้องยกระดับปัญหานี้สู่กรอบการเจรจาอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง ไม่ใช่เพียงหารือกับเมียนมาเท่านั้น
“การขับเคลื่อนลึกๆ กับนักการเมืองเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่ผ่านมาพอเข้ามาร่วมประชุมเป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่า เราต้องคุยกับพรรคที่มีตัวแทนอยู่ในบ้านเราและเชียงใหม่ ทำเป็นยุทธศาสตร์ร่วมผ่านนโยบายของพรรค” นิวัฒน์กล่าว
ขณะที่ เตือนใจ ดีเทศน์ ก็เสนอให้รัฐบาลไทยตั้งคำถามต่อจีน สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย ในฐานะผู้ใช้แรร์เอิร์ทจากเหมืองที่ก่อปัญหา ว่าจะรับผิดชอบต่อผลกระทบที่ชุมชนท้องถิ่นต้องเผชิญอย่างไร
ในช่วงท้ายงาน ศิลปินขัวศิลปะและนักศึกษาได้ร่วมกันแสดงดนตรีและอ่านบทกวีสาปแช่งผู้ที่ทำให้สายน้ำเป็นพิษ ประกอบดนตรี จากศิลปินขัวศิลปะและนักศึกษา
แม้จะมีข้อมูลเชิงวิชาการจาก ผศ.ดร.อังกูร ที่นำเสนอระบบเตือนภัยน้ำท่วมโดยใช้ข้อมูลดาวเทียมและการติดตั้งเครื่องวัดน้ำ เพื่อช่วยให้ชุมชนสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้ดีขึ้น แต่สิ่งที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันคือ หากไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ วิกฤติสิ่งแวดล้อมก็จะยืดเยื้อและรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...