แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก เป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ที่กำลังเผชิญกับวิกฤติมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ความกังวลเรื่องคุณภาพน้ำและความปลอดภัยในการใช้ประโยชน์เพิ่มสูงขึ้น พร้อมขยายผลกระทบไปยังโครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาแม่น้ำเหล่านี้
Lanner ประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวิกฤติการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกก สาย รวก ผ่านการตั้งสมมติฐานว่า หากวิกฤติในครั้งนี้อยู่ในระดับที่ ‘เลวร้ายที่สุด’ มูลค่าความเสียหายต่อปีจะคิดเป็นเม็ดเงินจำนวนเท่าไร ซึ่งการประเมินนี้อ้างอิงข้อมูลจากหน่วยงานรัฐเป็นหลัก ควบคู่ไปกับสอบถามผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม การประเมินนี้เป็นการคำนวณ ‘เบื้องต้น’ ที่อาศัยข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งในความเป็นจริงมูลค่าความเสียหายอาจมีจำนวนที่สูงกว่านี้
1.3 พันล้าน มูลค่าความเสียหาย ‘แม่น้ำกก’
จากการสำรวจพบว่ากลุ่มอาชีพที่พึ่งพาแม่น้ำกกแบ่งเป็นสามกลุ่มหลัก ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการเกษตร และภาคประมง
1. ภาคการท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ทั้งธุรกิจที่พัก โรงแรม รีสอร์ท ในปี 2567 เชียงรายมีมูลค่าการท่องเที่ยวรวมทั้งจังหวัดทั้งสิ้น 49,420 ล้านบาท และ เชียงใหม่มีมูลค่าการท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 103,822 ล้านบาท ซึ่งจากการเก็บข้อมูลโดย Lanner พบว่าที่พักริมแม่น้ำกกมีจำนวนทั้งสิ้น 122 แห่ง แบ่งเป็นเชียงราย 109 แห่ง และเชียงใหม่ 13 แห่ง เมื่อนำมูลค่าการท่องเที่ยว ค่าที่พัก และสัดส่วนความสัมพันธ์กับแม่น้ำกกมาคำนวณ จะพบว่ามูลค่าที่เกี่ยวข้องกับที่พักริมแม่น้ำกกอยู่ที่ 202.44 ล้านบาท/ปี ในเชียงราย และ 467.05 ล้านบาท/ปี ในเชียงใหม่ ส่งผลให้มูลค่าความเสียหายต่อปีในกลุ่มธุรกิจประเภทที่พักจะเท่ากับ 669.49 ล้านบาท/ปี ส่วนกลุ่มธุรกิจประเภทการท่องเที่ยวริมน้ำ เช่น เรือท่องเที่ยว 30 ลำ แพเปียก 40 ลำ และช้างท่องเที่ยว 9 เชือก มีมูลค่าความเสียหายต่อปี 104.04 ล้านบาท
สรุปได้ว่า หากแม่น้ำกกไม่สามารถใช้งานเพื่อกิจกรรมใดๆ ได้ตลอด 1 ปี มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมทั้งสองกลุ่มภาคการท่องเที่ยวสูงถึง 773.53 ล้านบาท/ปี
2. ภาคการเกษตร จากการคำนวณของ Lanner พบว่าพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำกกในระยะ Risk Zone 3 กิโลเมตร มีทั้งหมด 131,607 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าว 103,924 ไร่ (78.97%) และพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 27,682 ไร่ (21.03%) ราคาขายข้าวเฉลี่ยปี 2568 อยู่ที่ไร่ละ 4,496 บาท ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1,597 บาท/ไร่ เมื่อนำจำนวนพื้นที่มาคำนวณร่วมกัน จะพบว่า หากแม่น้ำกกวิกฤติิในระดับที่ไม่สามารถใช้น้ำเพื่อการเกษตรได้เลย ใน 1 ปี จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงถึง 562,927,860 บาท/ปี
3. ภาคประมง ปัจจุบัน มีชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่แม่น้ำกกรวม 105 คน โดยตามปกติแล้ว ชาวประมงจะนิยมจับปลาในช่วง ฤดูปลาขึ้น ซึ่งคือช่วงมิถุนายน–กันยายน ชาวประมงจับปลาเฉลี่ยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 2 รอบ รวมประมาณ 6 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งปริมาณปลาเฉลี่ยที่จับได้จะเท่ากับ 11.5 กิโลกรัมต่อวัน และมีรายได้เฉลี่ยต่อวันเท่ากับ 2,806 บาทต่อคน เมื่อนำมาคำนวณร่วมกับจำนวนชาวประมงพื้นบ้านทั้งหมด 105 คน จะพบว่ามูลค่าความเสียหายภาคประมงจะอยู่ที่ 294,630 บาทต่อวัน และหากคำนวณทั้งฤดูปลาขึ้น 51 วัน มูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 15,026,130 บาท/ปี
ซึ่งหากนำมูลค่าความเสียหายในภาคอาชีพทั้งหมด 3 ภาคอาชีพมาคำนวณร่วมกัน จะพบว่าหากแม่น้ำกกวิกฤติิในระดับที่ไม่สามารถประกอบอาชีพใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำได้เลย วิกฤตในครั้งนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 1,300,006,731 บาท/ปี (อ่านรายงานฉบับเต็มที่ https://www.lannernews.com/07082568-02/ )
68 ล้านบาท มูลค่าความเสียหาย ‘แม่น้ำสาย’
จากการสำรวจพบว่ากลุ่มอาชีพที่พึ่งพาแม่น้ำสายสามารถแบ่งเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ ภาคการเกษตร และ ภาคประมง เนื่องจากภาคท่องเที่ยวของอำเภอแม่สายพึ่งพาการค้าชายแดนเป็นหลัก จึงไม่นับรวมในการประเมินครั้งนี้
1. ภาคการเกษตร แม่น้ำสายไหลผ่าน 3 ตำบลในอำเภอแม่สาย ได้แก่ เวียงพางคำ แม่สาย และเกาะช้าง จากการคำนวณของ Lanner พบว่าพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำสายในระยะ Risk Zone 3 กิโลเมตร มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 12,758 ไร่ (แบ่งเป็น ข้าว 12,362 ไร่, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 395 ไร่) โดยราคาขายเฉลี่ยปี 2568 ข้าว 4,496 บาท/ไร่ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1,597 บาท/ไร่ เมื่อนำจำนวนพื้นที่มาคำนวณร่วมกับราคาขาย จะพบว่า หากแม่น้ำสายวิกฤติิในระดับที่ไม่สามารถใช้น้ำเพื่อการเกษตรได้เลย ใน 1 ปี จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงถึง 56,208,784 บาท/ปี
2. ภาคประมง ประมงพื้นบ้านและฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในอำเภอแม่สายส่วนใหญ่ใช้น้ำจากแม่น้ำสาย จากการเก็บข้อมูลของ Lanner พบว่ามีบ่อเลี้ยงปลาที่อยู่ในพื้นที่เขตชลประทานที่ผันน้ำมาจากแม่น้ำสาย 101 บ่อ ซึ่งส่วนใหญ่ปลาที่นิยมเลี้ยงในพื้นที่คือปลานิล ซึ่งให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อบ่อ 2,004 กก./ปี ส่วนราคาขายปลานิลในปัจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 60 บาท/กก. ส่งผลให้มูลค่าความเสียหาย หากแม่น้ำสายไม่สามารถดำเนินกิจการประมงได้เป็นเวลา 1 ปี จะมีมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 12,144,240 บาท/ปี
ซึ่งหากนำมูลค่าความเสียหายในภาคอาชีพทั้งหมด 2 ภาคอาชีพมาคำนวณร่วมกัน จะพบว่าหากแม่น้ำสายวิกฤติิในระดับที่ไม่สามารถประกอบอาชีพใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำได้เลย วิกฤตในครั้งนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 68,353,024 บาท/ปี (อ่านรายงานฉบับเต็มที่ https://www.lannernews.com/17092568-01/ )
93 ล้านบาท มูลค่าความเสียหาย ‘แม่น้ำรวก’
จากการสำรวจพบว่ากลุ่มอาชีพที่พึ่งพาแม่น้ำรวกมีเพียง ภาคการเกษตรเพียงภาคเดียว โดยแม่น้ำรวกไหลผ่าน 3 ตำบล ได้แก่ เกาะช้าง ศรีดอนมูล และเวียง จากการคำนวณของ Lanner พบว่าพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำรวกในระยะ Risk Zone 3 กิโลเมตร มีพื้นที่เกษตรกรรมรวม 23,465 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 19,313 ไร่ และ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4,153 ไร่ โดยราคาขายเฉลี่ยในปี 2568 ข้าวอยู่ที่ 4,496 บาท/ไร่ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1,597 บาท/ไร่ เมื่อนำจำนวนพื้นที่มาคำนวณร่วมกับราคาขาย จะพบว่า หากแม่น้ำรวกวิกฤติิในระดับที่ไม่สามารถใช้น้ำเพื่อการเกษตรได้เลย ใน 1 ปี จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงถึง 93,458,000 บาท/ปี
โดยสาเหตุที่มีเพียงแค่ภาคเกษตรเพียงภาคเดียว เป็นเนื่องจากว่าภาคท่องเที่ยวของพื้นที่ริมแม่น้ำรวกไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับแม่น้ำ และการทำประมงส่วนใหญ่เป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงน้ำที่ใช้น้ำจากแหล่งอื่น เช่น น้ำประปา น้ำบาดาล และระบบชลประทานจากแม่น้ำสาย (ต.เกาะช้าง) จึงไม่สามารถนำภาคการท่องเที่ยวและภาคประมงมาคำนวณร่วมเพื่อประเมินมูลค่าความเสียหายได้
จากการประเมินมูลค่าความเสียหาย หากแม่น้ำรวกปนเปื้อนสารพิษจนไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งปี วิกฤตครั้งนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 93,458,000 บาท/ปี (อ่านรายงานฉบับเต็มที่ https://www.lannernews.com/07102568-01/ )
สรุปมูลค่าความเสียหายรวม
เมื่อลองประเมินมูลค่าความเสียหายรวมของแม่น้ำทั้งสามสาย จะสรุปได้ว่า
สำหรับ แม่น้ำกก หากภาคการท่องเที่ยว เกษตร และประมงไม่สามารถประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำได้ เพียงปีเดียว จะมีมูลค่าความเสียหายรวมทั้งสิ้น 1,300,006,731 บาท/ปี ส่วน แม่น้ำสาย ภาคการเกษตรและประมง จะมีมูลค่าความเสียหายรวมทั้งสิ้น 68,353,024 บาท/ปี ขณะที่ แม่น้ำรวก ภาคการเกษตร มีมูลค่าความเสียหายรวมทั้งสิ้น 93,458,000 บาท/ปี
รวมกันแล้ว หากแม่น้ำทั้งสามสายไม่สามารถใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพได้ มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจเบื้องต้นจะสูงถึง 1,461,817,755 บาทต่อปี โดยมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง อาจมีมูลค่าที่สูงกว่านี้ หากนับรวมผลกระทบเชิงลึกทั้งในด้านสังคม สุขภาพ และการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...