ภาพ: วชิรญาณ์ วิรัชบุญญากร

7 ธันวาคม 2568 ณ โรงเรียนวัดศรีบัวบาน ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน ชาวบ้าน นักกฎหมาย นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ตัวแทนองค์กรภาคประชาชน และผู้แทนราษฎร มารวมตัวกันในเวที ‘สรุปบทเรียนและสถานการณ์โรงไฟฟ้าขยะลำพูน’
แม้โครงการโรงไฟฟ้าขยะที่เคยถูกผลักดันในพื้นที่ศูนย์ราชการจังหวัดลำพูนจะ ‘ไปต่อไม่ได้’ ในรอบนี้ แต่เสียงจากเวทีชัดเจนตรงกันว่า การต่อสู้ยังไม่จบ ตราบใดที่ ‘แผนแม่บทชาติ’ และโครงสร้างผลประโยชน์จากขยะยังเดินหน้า โรงไฟฟ้าขยะก็พร้อมจะกลับมาในรูปแบบใหม่เสมอ
4 ปีศรีบัวบาน จากที่ราชการกลางป่าต้นน้ำ สู่เวทีคัดค้านของชุมชน

นับตั้งแต่ปี 2564 ที่จังหวัดลำพูนรื้อประเด็นก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากขยะขึ้นมาอีกครั้งในพื้นที่ ‘ศูนย์ราชการใหม่’ ซึ่งเดิมขอใช้พื้นที่ป่าสงวนจากกรมป่าไม้ 1,700 ไร่ ตั้งแต่ปี 2540 เพื่อใช้เป็นศูนย์ราชการเท่านั้น แต่ในปี 2564 มีความพยายาม ตัดพื้นที่ออก 164 ไร่ นำไปใช้รองรับโครงการโรงไฟฟ้าขยะ โดยไม่มีการสำรวจความคิดเห็นชาวบ้านและองค์กรท้องถิ่นใกล้เคียง เช่น เทศบาลตำบลศรีบัวบาน
เมื่อข่าวเล็ดลอดออกมา 7 พฤษภาคม 2565 ชาวบ้านศรีบัวบานเริ่มรวมตัวคัดค้านหน้าวัดศรีบัวบานราว 350 คน เกรงผลกระทบจากโลหะหนัก การปนเปื้อนในป่าต้นน้ำห้วยจำค่า มลพิษทางอากาศจากเตาเผา กลิ่นเหม็นกองขยะ และการแย่งชิงทรัพยากรน้ำ รวมรายชื่อคัดค้านได้ 750 รายชื่อ ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือ ‘ไม่เอาโรงไฟฟ้าขยะในหมู่บ้าน’
17 พฤษภาคม 2565 ชาวบ้านราว 250 คน นำรายชื่อคัดค้านไปยื่นต่อจังหวัดและ อบจ.ลำพูน หน้าศูนย์ราชการ ผู้ว่าฯไม่ออกมาพบด้วยตัวเอง มอบหมายให้รองผู้ว่าฯ และต่อมานายก อบจ.ในขณะนั้นออกมารับหนังสือและให้คำมั่นต่อหน้าชาวบ้านว่า
“ถ้าชาวบ้านที่นี่ไม่เอา ทาง อบจ. ก็จะไม่ทำที่นี่ และจะไปทำที่อื่น”
คำพูดนี้ทำให้คนศรีบัวบานโล่งใจ แต่กลายเป็นสัญญาที่ผูกพันชุมชนฝ่ายเดียว เพราะการผลักดันโครงการไม่ได้หยุดลง
ปลายเดือนสิงหาคม 2565 อบจ.ลำพูนจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการโรงไฟฟ้าขยะ จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมหมู่บ้านละ 80–100 คน ขณะเดียวกันมีการทาบทาม ผู้นำชุมชนและชาวบ้านบางส่วน พร้อมค่าตอบแทนเพื่อเข้าร่วมเวทีและลงชื่อ ทำให้กลุ่มผู้คัดค้าน 300–400 คนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกห้ามเข้าหอประชุม ถูกตรวจค้นรถ และยึดป้ายคัดค้านหน้าทางเข้า
ท้ายที่สุด ชาวบ้านบีบให้ อบจ. และเทศบาลตำบลศรีบัวบานลงนามในหนังสือรับรองว่าจะไม่ใช้ผลโหวตหรือมติจากเวทีในวันนั้นไปอ้างเดินหน้าโครงการต่อ แต่ในทางปฏิบัติ อบจ.กลับทำ ‘รายงานผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน’ คู่กับสถาบัน ERDI มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในลักษณะสรุปว่า ‘คนส่วนใหญ่เห็นด้วย’ พร้อมอ้างถึงเวทีรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวในหนังสือขอใช้พื้นที่ป่าสงวนเพื่อทำโครงการ
ด้านเทศบาลศรีบัวบานเอง แม้สภาเทศบาลจะมีมติไม่เห็นด้วยกับการตั้งโรงไฟฟ้าขยะในพื้นที่ และยืนยันว่าจะเปิดเวทีให้ประชาชนก่อนตัดสินใจ แต่เวทีนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ในระดับจังหวัด มีการเดินเกมคู่ขนาน ทั้งการคืนพื้นที่บางส่วนของศูนย์ราชการกลับสู่กรมป่าไม้ เพื่อเปิดทางให้ อบจ.ขอใช้พื้นที่เดียวกันทำโรงไฟฟ้าขยะ และการทำหนังสือให้ผู้ว่าฯพิจารณาอนุญาต โดยอ้างว่ามีการรับฟังความคิดเห็นครบถ้วนแล้ว ทั้งที่ในข้อเท็จจริง เสียงของกลุ่มผู้คัดค้านและชุมชนรอบพื้นที่แทบไม่ถูกบันทึกอยู่ในเอกสารราชการ
นายก อบจ.ลำพูน ประกาศ “ตราบใดที่ผมยังเป็นนายกอยู่ โรงไฟฟ้าขยะไม่เกิดขึ้นแน่นอน”

บนเวทีเสวนา วีระเดช ภู่พิสิทธ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูนคนปัจจุบัน อธิบายว่า หลังเข้ารับตำแหน่งราว 7–8 เดือน ต้องย้อนดูที่มาของโครงการทั้งชุด ก็พบว่าปัญหาใหญ่คือ โครงการโรงไฟฟ้าขยะในลำพูน งไม่ได้เริ่มจากโจทย์ปริมาณขยะในจังหวัดง แต่เริ่มจากความต้องการทำโรงไฟฟ้าขยะ แล้วค่อยหาวิธีดันให้จังหวัดและ อบจ.เข้าไปเป็นเจ้าภาพ
เขาย้ำจุดยืนชัดเจนว่า ลำพูนไม่ควรมีเตาเผาขนาดใหญ่เพื่อผลิตไฟฟ้า
“ปริมาณขยะในจังหวัดลำพูนไม่เพียงพอ ถ้าจะทำที่กำจัดขยะก็ให้แต่ละเทศบาลคำนวณปริมาณขยะตัวเองแล้วจัดการในพื้นที่ตัวเอง ขยะเกิดที่ไหนต้องกำจัดที่นั่น… ตราบใดที่ผมยังเป็นนายกอยู่ โครงการโรงไฟฟ้าขยะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ไม่ว่าจะอำเภอไหนในลำพูน”
วีระเดชยกตัวอย่างตำบลมะเขือแจ้และบ้านแจ่ม ที่ชาวบ้านช่วยกันแยกขยะ ขายเดือนละครั้ง แล้วนำรายได้ไปช่วยผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ชี้ให้เห็นว่าการลดขยะต้นทางและการจัดการระดับชุมชนคือ วิธีตัดทอนผลประโยชน์จากขยะ
อย่างไรก็ดี เขาก็ยอมรับว่า ในเชิงโครงสร้าง หากในอนาคตมีเอกชนรายใหญ่กับส่วนกลางเล่นด้วย แต่พื้นที่ไม่เข้มแข็งมากพอ โครงการลักษณะนี้ก็ยังมีโอกาสกลับมาได้
จากแม่ทาถึงทาขุมเงิน แผน ‘ย้ายที่ตั้ง’ แต่ไม่ย้ายโจทย์

วิษณุ ดวงปัน จากเครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้ำแม่ทา เล่าว่า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โครงการโรงไฟฟ้าขยะ ‘ย้ายที่ตั้ง’ ในลำพูนมาแล้ว 4–5 แห่ง อำเภอแม่ทาเพียงแห่งเดียวเคยคัดค้านไปแล้วถึง 3 ครั้ง มีแกนนำชาวบ้านถูกฟ้องคดี
หลังศรีบัวบานลุกขึ้นคัดค้าน และรองนายก อบจ.ประกาศว่า ‘จะไม่ทำแน่นอน’ ที่ศรีบัวบาน แต่จะไปทำที่ตำบลทาขุมเงินแทน ชาวบ้านทาขุมเงินจึงต้องลุกขึ้นจัดเวที รับฟังความคิดเห็นของตัวเอง และลงมติ 80% ไม่เห็นด้วย เพราะพื้นที่เป็นเกษตรกรรม ติดแหล่งน้ำ และอยู่ในเขตสีเขียวตามผังเมืองเดิม เพียงแต่ถูกคำสั่งยกเว้นผังเมืองเปิดทางให้สร้างได้
สภาท้องถิ่นในทาขุมเงินลงมติ ‘ยุติการศึกษา ไม่ให้จัดตั้งโรงไฟฟ้าขยะ’ ด้วยคะแนน 12–0 เสียง กลายเป็นลูกต่อจากศรีบัวบานที่แสดงให้เห็นว่า การคัดค้านโรงไฟฟ้าขยะในลำพูนไม่ได้เป็นเรื่องของหมู่บ้านเดียว แต่เป็นการเชื่อมร้อยการต่อสู้ระหว่างพื้นที่ที่ถูกเลือกเป็นเป้าหมายใหม่ อยู่เรื่อยๆ
โรงไฟฟ้าขยะในแผนชาติ จากคำสั่ง คสช. สู่เป้า ‘หนึ่งจังหวัดหนึ่งโรง’

สุมิตรชัย หัตถสาร จากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น (CPCR) ดึงภาพกว้างขึ้นไปถึงระดับนโยบายชาติ อธิบายว่า ปรากฏการณ์โรงไฟฟ้าขยะ ‘ระบาดทั่วประเทศ’ ไม่ได้เกิดจากความต้องการของชุมชน แต่เริ่มจากแผนแม่บทการจัดการขยะมูลฝอยของประเทศที่ คสช.และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ
แผนแม่บทระยะที่ 1 (พ.ศ. 2559–2565) กำหนดให้มีโครงการโรงไฟฟ้าขยะ 56 โครงการใน 44 จังหวัด ก่อนจะขยายเป็นแผนระยะที่ 2 (พ.ศ. 2565–2570) ซึ่งมีแนวโน้มจะมุ่งสู่เป้า “1 จังหวัด 1 โรงไฟฟ้าขยะ” โดยอาศัยชุดนโยบายและเครื่องมือสำคัญ ได้แก่
- คำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 ยกเว้นผังเมือง ทำให้สามารถตั้งโรงไฟฟ้าขยะได้ในแทบทุกประเภทพื้นที่ แม้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมหรือเสี่ยงภัย
- การจัดให้โรงไฟฟ้าขยะเป็นพลังงานทดแทน/พลังงานทางเลือก มีสิทธิ์รับซื้อไฟในราคาพิเศษ กระตุ้นให้ทุนพลังงานสนใจลงทุน
- การยกเว้นการทำรายงาน EIA สำหรับโรงไฟฟ้าขยะขนาดต่ำกว่า 10 เมกะวัตต์ ทำให้กระบวนการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ “หลุดมือผู้เชี่ยวชาญ” และกลายเป็นช่องว่างด้านการคุ้มครองชุมชน
สุมิตรชัยชี้ว่า โรงไฟฟ้าขยะเกี่ยวพันกับอย่างน้อย 4 กระทรวง – มหาดไทย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรม และพลังงาน – โดยรัฐทำหน้าที่จัดหาที่ดินและหาขยะให้ เอกชนที่ลงทุน 100%
“ตราบใดที่แผนแม่บทนี้ยังอยู่ โรงไฟฟ้าขยะจะอยู่กับเราไปอย่างน้อยถึงปี 2570… คนลำพูนจึงต้องตื่นตัวต่อเนื่อง แม้วันนี้นายก อบจ.จะรับปากแล้วก็ตาม”

วัชลาวลี คำบุญเรือง มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) เสริมว่า ปัญหาที่เผชิญในลำพูนแทบไม่ต่างจากเชียงราย นครราชสีมา หรือจังหวัดอื่นๆ พื้นที่ตั้งไม่เหมาะสม ขยะไม่พอ กระบวนการมีส่วนร่วมบิดเบือน ชาวบ้านขาดข้อมูลครบถ้วน ขณะที่คนออกมาวิพากษ์โครงการกลับเสี่ยงถูกฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP)
กลไกตรวจสอบที่มีอยู่ และเพดานของมัน

ธนากร อัฏฐ์ประดิษฐ์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร เล่าบทบาทของคณะกรรมาธิการว่า เป็น ‘กลไกเชิญหน่วยงานรัฐมาชี้แจงต่อหน้าประชาชน’ มีอำนาจขอเอกสาร เรียกหน่วยงาน และเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านที่สื่อสารกับหน่วยงานไม่ได้
เขายอมรับว่า แม้มีคณะกรรมาธิการ มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีศาลปกครอง แต่ในหลายพื้นที่ก็ยังพบว่า เจ้าหน้าที่รัฐ–ตำรวจ–ส.ส. ‘เข้าโรงงานไม่ได้’ เพราะมีคนถือปืนเดินเฝ้าพื้นที่ เหตุการณ์แบบนี้สะท้อนว่า ปัญหาโรงไฟฟ้าขยะไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคการจัดการขยะ แต่เกี่ยวพันกับอำนาจทุน ความรุนแรง และโครงสร้างการเมืองที่เอื้อโครงการมากกว่าปกป้องชุมชน
ธนากรเสนอว่า จังหวัดที่ไม่ต้องการโรงไฟฟ้าขยะ ต้องยกระดับให้เป็น ‘วาระจังหวัด’ เช่น การผลักดันมติ ‘จังหวัดปลอดโรงไฟฟ้าขยะ’ ร่วมกันของผู้ว่าฯ อบจ. เทศบาล อบต. และภาคประชาชน เพื่อส่งสัญญาณชัดไปยังส่วนกลางและกลุ่มทุน
การเมือง ขยะ และรัฐธรรมนูญ โจทย์ระยะยาวของคนลำพูน

ในมุมการเมืองระดับชาติ วิทวิสิทธิ์ ปั่นสวนปลูก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 1 ลำพูน พรรคประชาชน ย้ำบนเวทีว่า ลำพูน “ยังไม่จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าขยะ” และความไม่โปร่งใสของกระบวนการในอดีตสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับทุนพลังงานอย่างชัดเจน
“ตอนปี 2565 จะสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 500 ตันต่อวัน แต่จังหวัดมีขยะแค่ 200 ตัน ต้องดึงขยะจากต่างจังหวัดเข้ามา… คำถามคือ ใครได้ประโยชน์? ชาวบ้านได้อะไร?”
เขาเสนอว่าถ้าจะเปลี่ยนจริง ต้องย้อนกลับไปแก้ ‘ต้นตอ’ คือมรดกคสช.และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่หนุนให้โครงการพลังงานแบบนี้เดินต่อ โดยย้ำว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป ประชาชนต้องใช้สิทธิ์ตรวจสอบว่า นักการเมือง “ทำงานเพื่อใคร นายทุนหรือชาวบ้าน”
ด้านสุมิตรชัยและวัชลาวลีเห็นร่วมกันว่า วาระรัฐธรรมนูญใหม่ในปีหน้าเป็น ‘หน้าต่างโอกาส’ สำคัญที่สุด หากต้องการให้สิทธิด้านสิ่งแวดล้อมของชุมชนได้รับการรับรองอย่างแท้จริง ตั้งแต่สิทธิในอากาศสะอาด น้ำสะอาด ไปจนถึงสิทธิในการกำหนดรูปแบบการพัฒนาในพื้นที่ของตัวเอง
“รัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่มีหลักประกันสิทธิสิ่งแวดล้อมของชาวบ้านอย่างจริงจัง ถ้าอยากให้อนาคตลูกหลานหายใจในอากาศที่สะอาด เราต้องเข้าไปอยู่ในขบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย” วัชลาวลีเน้นย้ำ
จากศรีบัวบานสู่ลำพูนทั้งจังหวัด ทำให้ ‘ไม่เอาโรงไฟฟ้าขยะ’ เป็นมติร่วม

ช่วงท้ายเวที ผู้ร่วมเสวนาเสนอแนวทางร่วมกัน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 4 แนวทาง ได้แก่
- ผลักดันให้คณะกรรมการระดับจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมมีมติชัดเจนว่า ‘ลำพูนไม่มีปริมาณขยะเพียงพอสำหรับโรงไฟฟ้าขยะ และไม่เห็นชอบให้จัดตั้งโรงไฟฟ้าขยะในจังหวัด’ เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันต่อกระทรวงมหาดไทยและกลุ่มทุน
- เสริมความเข้มแข็งของชุมชน ผ่านโมเดลจัดการขยะที่ต้นทาง เช่น แยกขยะ–หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่–ใช้รายได้ช่วยกลุ่มเปราะบางในหมู่บ้าน ลดปริมาณขยะลงจริง เพื่อตัดวงจรผลประโยชน์จากขยะ
- ทำให้ประเด็น ‘จังหวัดปลอดโรงไฟฟ้าขยะ’ เป็นวาระร่วมของภาคประชาชน ท้องถิ่น ผู้แทนราษฎร และพรรคการเมือง
- เข้าร่วมกระบวนการรณรงค์ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ให้มีการกระจายอำนาจจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง
เสียงจากเวทีศรีบัวบานในวันนั้นไม่ได้พูดเพียงว่า ‘ไม่เอาโรงไฟฟ้าขยะ’ แต่ชี้ให้เห็นด้วยว่า ถ้าจะยุติโรงไฟฟ้าขยะอย่างแท้จริง เราต้องเปลี่ยนทั้งวิธีจัดการขยะ วิธีคิดเรื่องพลังงาน และโครงสร้างอำนาจที่กำหนดอนาคตจังหวัด จากบนลงล่าง ให้กลายเป็นจากล่างขึ้นบนจริงๆ
และบทเรียนจากศรีบัวบาน ก็ส่งสัญญาณไปไกลกว่าลำพูน ว่าถ้าชุมชนเข้มแข็งพอ ‘เตาเผา’ ที่ถูกออกแบบจากส่วนกลาง ก็ใช่ว่าจะตั้งขึ้นได้ง่ายๆ อีกต่อไป
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




