พญาผาบ (ปราบสงคราม): ผู้ก่อการร้ายหรือวีรบุรุษ? ตอนที่ 3 ปิดทองหลังพระ(ยาผาบ)

Date:

เรื่อง อภิวัฒน์ สุวรรณพินิจ, ทิชานนท์ เจริญชนม์, ศุภณัฐ ไชยการ, วรปรัชญ์ เมืองยศ

ตอนที่ 3 ปิดทองหลังพระ(ยาผาบ)

เจ้านายฝ่ายเหนือกับการลุกฮือขึ้นมาต่อต้านของพญาผาบ

เจ้าหลวงหรือเจ้านายเมืองเชียงใหม่มีส่วนเห็นโดยในการก่อกบฏ  โดยสาเหตุของการเพราะอาจมาจากเหตุการปฏิรูปการปกครองแบบใหม่ของรัชกาลที่ 5 ทำให้เจ้าเมืองเชียงใหม่สูญเสียผลประโยชน์จากการสัมปทานป่าไม้ รวมทั้งทรัพยากรมีค่าต่างๆ เช่น นอแรด น้ำผึ้ง งา ช้างเป็นต้น ทรัพยากรเหล่านี้ถูกบริษัทต่างชาติโดยเฉพาะอังกฤษเข้ามาสัมปทาน เก็บผลประโยชน์ไปยังประเทศของตนเอง[1]

การเกิดกบฏครั้งนี้ถูกรัฐเรียกว่า “กบฏภาษี” แต่ชาวบ้านล้านนาเรียกว่า เศิก(ศึก)พญาผาบ ชาวบ้านไว้วางใจในตัวของผญาผาบ เป็นที่พึ่งได้ของตนเองได้ จึงเกิดการรวมตัวกัน มีหัวหน้าชุมชนจากหลากหลายพื้นที่เข้าร่วมต่อสู้กับพญาผาบ ส่วนเจ้าหลวงหรือเจ้านายเมืองเชียงใหม่ ก็มีส่วนรู้เป็นใจกับการกระทำที่พญาผาบกับพวกได้ลุกขึ้นมาต่อต้าน ยกเว้นเจ้าอินทวิชยานนท์ ทางกรุงเทพได้พุ่งเป่าสงสัยไปยังเจ้าอุปราชหรือเจ้าอิทวิโรรสมากกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่ได้ลงโทษเจ้านายฝ่ายเหนือแต่อย่างใด แต่เหตุการณ์ก็มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งฝ่ายรัฐบาลได้ออกคำสั่งลงวันที่ 15 กันยายน 2432 โดยพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าโสณบัณฑิต ข้าหลวงพิเศษ ให้พญาผาบเข้ามอบตัวภายใน 5 วัน แต่พญาผาบปฏิเสธการมอบตัว และยกกำลังเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ เพื่อฆ่าคนไทยภาคกลางและพ่อค้าชาวจีน แต่แผนดังกล่าวก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีอุปสรรคเกิดขึ้นจึงทำให้พวกพญาผาบไปไม่พร้อมเพรียงกัน จึงได้มีคำสั่งจากรัฐบาลอีกครั้งให้มีการปราบปรามพวกพญาผาบในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2432 นำโดยเจ้าอุปราชบุรีรัตน์และเจ้าบุตรหลาน โดยมีการนำอาวุธที่ทันสมัยไปต่อสู้ ส่งผลให้พวกพญาผาบพ่ายแพ้แก่รัฐบาลทหารลง ชาวบ้านบางส่วนถูกโทษประหาร บางส่วนก็ถูกจับไปเป็นทาส และบางส่วนก็ถูกจับเฆี่ยนตี ได้รับความทารุณจากเจ้าหน้าที่สยามอย่างเลือดเย็น ส่วนพญาผาบได้หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่เมืองเชียงตุงและได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าเมืองเชียงตุง ส่วนเจ้าภาษีอากรก็ได้รับโทษประหารเช่นกัน เพราะเป็นเหตุให้ประชาชนก่อกบฏ[2]

การเก็บภาษีผูกขาดจากทางส่วนกลางของสยามชาวล้านนามองว่านโยบายการปรับปรุงการปกครองล้านนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในช่วง  พ.ศ. 2427 เป็นการก้าวก่ายและลิดรอนอำนาจที่ตนเคยมี ส่งผลให้เกิดการต่อต้านระบบการปกครองของรัฐบาลกลางสยามจนกลายเป็นการก่อกบฏ สอดคล้องกับบทความในหนังสือของ ชูสิทธิ์ ชูชาติ ปัจจัยการก่อเกิด กบฏพญาผาบ เกิดจากทางส่วนกลางสยามที่สร้างระบบการเก็บภาษีที่เปลี่ยนผันอย่างกะทันหัน ผนวกกับทางส่วนกลางสยามกลัวเสียผลประโยชน์อันต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ จากส่วนกลางสยาม หัวเมืองฝ่ายเหนือ และภายในหมู่บ้านหรือชุมชน ตามลำดับ ไม่มีตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่าย ทำการโดยทันทีจึงเกิดการรวมกองทหารจากส่วนกลางสยามเข้าปราบปราม ชาวนาผู้ถูกกล่าวหาว่า “กบฏ” ชาวนาผู้ซึ่งอดทนและอดกลั้นจากการ “ขูดเลือดขูดเนื้อ” จากเจ้าภาษีของนครเชียงใหม่ แม้ว่าทางส่วนกลางจะปรับเปลี่ยนการเป็นภาษีนอกจากเงินตรา เป็นสิ่งของมีค่า หรือผลผลิตแทน แต่เจ้าภาษีไม่ยอมปฏิบัติตามนโยบายใหม่ทั้งยังข่มขู่และกล่าวหาการก่อกบฏ จนทำให้กบฏพญาผาบ ถูกปราบปรามจนสิ้น และในสังคมและบริบทของชาวล้านนาถึง ภาพตัวแทนของผู้ชาย ผู้กล้าหาญ ไม่เกรงกลัวต่อความเป็นไม่เป็นธรรม เป็น “วีรชนเอก” หรือ “ตัวละครเอก” สำคัญในการขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ล้านนา[3]

การร้องเรียนของเจ้าภาษีแก่ข้าหลวงใหญ่ที่มาจากส่วนกลางทำให้เกิดการเข้ามาของอำนาจที่เกิดให้การเปลี่ยนแปลงภายในนครเชียงใหม่ โดยไร้การสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากเจ้าภาษี ที่ขูดเลือดขูดเนื้อ ทั้งยังเก็บภาษีที่เน้นเงินตราเท่านั้น ยังให้ความรุนแรงและทารุณชาวนาผู้ซึ่งไม่สามารถจ่ายภาษีเป็นเงินตราได้ เป็นการจุดชนวนทีทำให้กบฏพญาผาบเกิดขึ้น เพื่อต่อต้านและปราบอำนาจที่ที่กดขี่ ทั้งจาก ข้าหลวงใหญ่นครเชียงใหม่ เจ้าภาษี และส่วนกลาง (กรุงเทพฯ) ผนวกกับการรวมมือทั้งสามฝ่ายก่อให้เกิดการปราบปรามกบฏพญาผาบโดยง่าย[4]

จากการต่อสู้ของพญาผาบนั้นแสดงให้ถึงความกล้าต่อสู้กับกลุ่มข้าหลวง ข้าราชการจากส่วนกลาง และพ่อค้าต่างชาติ ที่เขามากดขี่ข่มเหงชาวล้านนา ถึงแม้พญาผาบจะได้รับความพ่ายแพ้ แต่ผลของความกล้าหาญของพญาผาบนั้น ส่งผลให้รัฐบาลส่วนกลางหรือกรุงเทพผ่อนปรนการเก็บภาษี เปิดโอกาศให้เจ้าเมืองเชียงใหม่แต่งตั้งข้าราชการท้องถิ่นมามีบทบาทในการเก็บภาษี เพื่อให้ชาวบ้านและรัฐบาลกลางหรือกรุงเทพเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน และลดความตึงเครียดทางการเมืองลง

การที่พญาผาบและชาวบ้านได้จับอาวุธเพื่อต่อสู้กับสยามจนก่อให้เกิดเหตุการณ์ “กบฏพญาผาบ” ขึ้นนั้น เป็นเพราะการไม่ได้รับการตอบสนองต่อการร้องเรียนเรื่องภาษีจากเจ้าเชียงใหม่ สะท้อนให้เห็นว่าการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลสยามทำให้ความน่าเชื่อถือของราษฎรหรือไพร่ที่มีต่อบรรดาเจ้านายได้ลดลง หันมาพึ่งตนเองและระดมคนที่เดือดร้อนจากปัญหาเดียวกันมาเข้าร่วมจนกลายเป็นกบฏที่ต่อต้านอำนาจของรัฐ นอกจากนี้พระองค์เจ้าโสณบัณฑิตย์ได้ตั้งข้อสังเกตว่าบรรดากลุ่มเจ้านายและบุตรหลานในเมืองเชียงใหม่ เป็นผู้ที่มีส่วนรู้เห็นกับกบฏของพญาผาบ แม้จะไม่มีหลักฐานที่เชื่อมโยงถึงกลุ่มเจ้านายและบุตรหลานในเมืองเชียงใหม่ก็ตาม

กล่าวโดยสรุป การปฏิรูประบบราชการในรัชกาลที่ 5 เพื่อทัดเทียมกับต่างชาติ โดยการปรับปรุงระบบราชการนั้นปรับเปลี่ยนเป็นทอด ๆ อันต่อเนื่องในระบบราชการ ได้แก่ ส่วนกลาง หัวเมืองฝ่ายเหนือ และหมู่บ้านหรือชุมชนตามลำดับ การเปลี่ยนผันของระบบที่รวดเร็วนั้นทำให้เกิดช่องว่างของระบบราชการ ซึ่งช่องว่างนั้นมีผู้เห็นช่องทางในการแสวงผลประโยชน์มากมาย ในกรณีนี้คือการเก็บภาษีที่สูง ทั้งยังกระทำการรุนแรงแก่ประชาชน เป็นการจุดชนวนความโกรธแค้นจากการถูกกดขี่และอดทนมาเกินพอแล้ว จึงต้องการแสวงหาทางหลุดพ้นจากอำนาจที่กดขี่ตน ก่อเกิดเป็น “กบฏ”หรือ เรียกว่า “กบฏพยาผาบ” ตามที่ชาวบ้านเรียกกัน แต่ทางรัฐจะเรียกว่า “กบฏภาษี” การต่อสู้จากการเรียกร้องการเก็บภาษีที่สูง กลายเป็นการต่อสู้เพื่อทำลายระบบราชการทั้งหมดในนครเชียงใหม่ จนกระทั่งส่วนกลางหรือภาครัฐสยาม มองเห็นถึงการเสียผลประโยชน์ที่จะตามมา และส่งทหารเข้าไปปรามปราบจนสิ้น จนภายหลังทางรัฐยินยอมให้มีการรับราชการที่มาจากฝ่ายเหนือหรือนครเชียงใหม่ เพื่อปกครองกันเอง ส่งผลให้ “พญาผาบ แห่งล้านนา” กลายเป็นภาพลักษณ์ของ “วีรชนล้านนา” ผู้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ต่อสู้กับรัฐสยาม และอำนาจที่กดขี่ไว้ สะท้อนถึงการไม่ยอมตกภายใต้อำนาจที่กดขี่และเอารัดเอาเปรียบ และสร้างบุคคลผู้ดำเนินการทางประวัติศาสตร์และการขับเคลื่อนเพื่อเรียกร้องความถูกต้องเป็นธรรม 


[1] เรื่องเดียวกัน.

[2] วรยุทธ มูลเสริฐ , การเมืองวัฒนธรรมล้านนา : การตอบโต้การครองอำนาจนำของสยามในล้านนาภายใต้วาทกรรมว่าด้วยความศิวิไลซ์และความเป็นสยาม (ม.ท.ป : ม.ป.ป) หน้า 14-18.

[3] สุภาวดี เพชรเกตุ และกาญจนาวิชญาปกรณ, “กบฏล้านนา : การประกอบสร้างภาพแทนผู้ชายล้านนา ในนวนิยายไทยระหว่าง พ.ศ. 2490-2560,” พิฆเนศวร์สาร 15, 1 (มกราคม – มิถุนายน 2562): 71-72,75.

[4] ชูสิทธิ์ ชูชาติ, “กบฏพยาผาบ (ปราบสงคราม) กบฏชาวนาในภาคเหนือ,” ใน สังคมศักดินาในอาณาจักรล้านนาหรือในภาคเหนือ (เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2522), หน้า 53-63.

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...