11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Cross-Cultural Foundation) เปิดเผยว่าได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ กรณี พลทหารราเชน ยวามื่อ เสียชีวิตภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก หลังเข้ารับการฝึกเพียงไม่ถึง 10 วัน โดยทางมูลนิธิเตรียมยื่นเรื่องต่อศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายในพื้นที่ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน และให้ความเป็นธรรมแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต
เบื้องต้น มูลนิธิฯ ระบุว่า ครอบครัวได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ทหารว่าพบพลทหารราเชน ‘ผูกคอเสียชีวิต’ ภายในค่าย แต่ญาติยังไม่ปักใจเชื่อ และต้องการทราบความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงก่อนการเสียชีวิต
จากข้อมูลที่เผยแพร่โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘จ๊อ โล’ ระบุว่า ผู้เสียชีวิตมีภูมิลำเนาอยู่บ้านห้วยเย็น ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เข้าประจำการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ที่ค่ายสฤษดิ์เสนา จังหวัดพิษณุโลก ก่อนครอบครัวได้รับแจ้งการเสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน โดยต้นสังกัดระบุว่า ‘ผูกคอเสียชีวิต’
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวยังคงตั้งข้อสงสัย เนื่องจากผู้ตายเพิ่งเข้าค่ายได้เพียง 10 วัน และไม่เคยมีพฤติกรรมที่บ่งชี้ว่าจะทำร้ายตนเอง จึงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และเปิดเผยผลต่อสาธารณะโดยเร็ว
กองทัพระบุ ‘ผูกคอตายในห้องน้ำ’ พร้อมมีประวัติรักษาทางจิตเวช
12 พฤศจิกายน 2568 พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงว่า พลทหารราเชน ยวามื่อ สังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หน่วยฝึกกรมรบพิเศษที่ 4 จังหวัดพิษณุโลก ได้ผูกคอเสียชีวิตภายในห้องน้ำของห้องขังกองรักษาการณ์ โดย ‘ไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือถูกทำร้ายร่างกาย’
กองทัพระบุเพิ่มเติมว่า ผู้ตายมีประวัติการรักษาอาการทางจิตเวชจากโรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่ และหลังเข้ารับราชการได้ถูกส่งต่อให้แพทย์โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง โดยพบแพทย์ครั้งแรกวันที่ 4 พฤศจิกายน และตามนัดครั้งที่สองวันที่ 10 พฤศจิกายน
ระหว่างรอพบแพทย์ในวันดังกล่าว พลทหารราเชนหลบหนีออกจากโรงพยาบาลและขโมยรถจักรยานยนต์ของประชาชน ก่อนถูกตำรวจควบคุมตัวในสภาพมึนเมาและส่งกลับค่ายเวลาประมาณ 22.00 น. ของวันที่ 10 พฤศจิกายน หน่วยฝึกจึงควบคุมตัวไว้ในห้องขังเพราะยังมีอาการมึนเมา
เช้าวันที่ 11 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่พบว่าเขาผูกคอเสียชีวิตในห้องน้ำของห้องขัง เหตุเกิดเวลาประมาณ 09.10 น. ทางหน่วยประสานตำรวจและโรงพยาบาลวังทองเข้าดำเนินการชันสูตรตามขั้นตอนกฎหมาย และแจ้งครอบครัวทันที
พลตรีวินธัยยืนยันว่า กองทัพจะตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา และดูแลช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเต็มที่ พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
‘ไม้แขวนเสื้อ–ไฟดับ–กล้องเสีย’ จุดสงสัยจากคนใกล้ชิด
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวและผู้ใกล้ชิดเปิดเผยข้อมูลต่อผู้สื่อข่าวว่า มีหลายประเด็นที่ยังคลุมเครือและควรตรวจสอบอย่างอิสระ ได้แก่
ไม้แขวนเสื้อในห้องขัง เจ้าหน้าที่อ้างว่าเป็นของคนที่อาบน้ำแล้วลืมไว้ แต่โดยปกติห้องขังทหารจะไม่มีสิ่งของใดๆ การมีไม้แขวนเสื้อจึงเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก
ภาพถ่ายที่เกิดเหตุ แม่ของผู้เสียชีวิตขอดูภาพในที่เกิดเหตุ แต่เจ้าหน้าที่อ้างว่า ‘ไม่ได้ถ่ายรูป’ เพราะมัวคุยโทรศัพท์ และไม่มีใครในหน่วยมีภาพถ่าย ซึ่งถือเป็นช่องว่างสำคัญในการตรวจสอบ
ประวัติทางจิตเวช ทหารอ้างว่าผู้เสียชีวิตตอบสนองช้ากว่าคนอื่นและถูกส่งตรวจโรงพยาบาล ซึ่งระบุว่า ‘เป็นจิตเวช’ แต่คนใกล้ชิดยืนยันว่า เขาเป็นคนฉลาด ร่าเริง และไม่เคยมีอาการป่วยทางจิต อีกทั้งหากเป็นจริงย่อมไม่ผ่านการคัดเลือกเข้ารับราชการทหาร
เหตุการณ์หนีออกจากโรงพยาบาล ข้อมูลบางส่วนชี้ว่า อาจมีการทำร้ายก่อนหน้า จนนำไปสู่การหลบหนี และการให้โทรศัพท์และบุหรี่ก่อนนำไปขังอาจไม่ใช่ความเมตตา แต่เป็นส่วนหนึ่งของ ‘แผนการบางอย่าง’
เหตุไฟดับและกล้องวงจรปิดเสีย แหล่งข่าวคุณ A ระบุว่า หลังนำพลทหารราเชนไปขัง มีไฟดับทั่วค่ายราว 20 นาที และมีทหาร 5 นายออกมาจากห้องขังหลังไฟกลับมา กล้องวงจรปิดบริเวณดังกล่าวชำรุดในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งถือเป็น ‘ความบังเอิญที่น่าสงสัยอย่างมาก’
ครอบครัวและเพื่อนๆ ของผู้ตายยืนยันว่า พลทหารราเชนเป็นคนมีความหวังในชีวิต ก่อนไปค่ายยังพูดกับแม่ว่า ‘จะกลับมาสร้างบ้านให้แม่’ และไม่เคยแสดงอาการซึมเศร้า จึงไม่เชื่อว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมชี้ปัญหาเชิงระบบในกองทัพยังไม่ได้รับการแก้ไข เรียกร้องความโปร่งใสและการป้องกันการสูญเสียซ้ำ
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมระบุว่า เหตุการณ์ทหารเกณฑ์เสียชีวิตภายในค่ายทหารยังเกิดขึ้นซ้ำอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย หลายกรณีไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดหรือหาข้อเท็จจริงได้อย่างชัดเจน สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบกองทัพที่ยังเปิดช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยไม่ต้องรับผิด แม้ประเทศไทยจะมี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 บังคับใช้มานานกว่าสองปีแล้วก็ตาม โดยกฎหมายฉบับนี้เพิ่งถูกนำมาใช้เอาผิดเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ในคดีครูฝึกและพลทหารรุ่นพี่ 13 นาย ร่วมกันทำร้ายทหารใหม่จนเสียชีวิต
นอกจากนี้ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจศาลยังมีคำสั่งให้คดีพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต อยู่ในการพิจารณาของศาลแพ่ง ไม่ใช่ศาลทหาร ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญต่อการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกเกณฑ์ทหาร มูลนิธิฯ จึงเรียกร้องให้กองทัพบกและศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ดำเนินการตรวจสอบกรณีการเสียชีวิตของพลทหารราเชนอย่างโปร่งใส เปิดเผยผลการสอบสวนต่อสาธารณะ และให้การเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งทบทวนมาตรการดูแลทหารใหม่ในค่ายอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้โศกนาฏกรรมในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




