กรณีร้องเรียนการสวมสิทธิ์ผลงานวิชาการภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังขยายตัวจากข้อพิพาทระหว่างอาจารย์ในแวดวงวิชาการ ไปสู่คำถามเชิงโครงสร้างต่อระบบตำแหน่งทางวิชาการ กลไกตรวจสอบภายใน และมาตรฐานจริยธรรมของสถาบันอุดมศึกษาไทย
จุดเริ่มต้นมาจากการที่ ผศ.ดร.สุรชัย จงจิตงาม อาจารย์ประจำคณะวิจิตรศิลป์ ระบุว่า งานวิจัยซึ่งตนเป็นผู้เขียนเพียงผู้เดียว ถูกนำไปสวมรอยและตีพิมพ์เป็นผลงานวิชาการเรื่อง ‘ประวัติศาสตร์เมืองฮอดในมิติศิลปวัฒนธรรม พิสดารนคร’ โดยระบุชื่อผู้อื่นเป็นผู้เขียนหลัก และเชื่อมโยงกับการยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการระดับศาสตราจารย์

แม้ในระยะแรก กรณีนี้จะถูกมองว่าเป็นข้อพิพาทด้านลิขสิทธิ์ผลงานวิชาการระหว่างบุคคล แต่เมื่อกระบวนการตรวจสอบดำเนินไป คำถามที่สังคมตั้งขึ้นกลับไม่ได้จำกัดอยู่เพียงว่า ‘ใครคือเจ้าของผลงาน’ หากแต่ขยับไปสู่คำถามที่ใหญ่กว่าและซับซ้อนยิ่งขึ้น นั่นคือ ใครมีอำนาจนิยามว่า การกระทำลักษณะนี้เป็นความผิดร้ายแรงเพียงใด และปัญหาการละเมิดผลงานวิชาการเช่นนี้ เป็นผลสะท้อนจากโครงสร้างของระบบตำแหน่งทางวิชาการที่ให้รางวัลสูง แข่งขันสูง แต่ตรวจสอบได้ยากหรือไม่
จากที่มาของงานวิจัย สู่การใช้ผลงานประกอบการขอตำแหน่ง
งานวิจัยที่เป็นประเด็นเริ่มต้นจากรายงานเรื่อง ‘โครงการสำรวจศิลปกรรมของชุมชนในอำเภอฮอด เบื้องต้น’ ซึ่ง ผศ.ดร.สุรชัยระบุว่าเป็นผลงานที่ตนดำเนินการเพียงผู้เดียว ตั้งแต่การลงพื้นที่ เก็บข้อมูล วิเคราะห์ และเขียนรายงาน ภายใต้งบประมาณของคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โครงการดังกล่าวแล้วเสร็จและปิดโครงการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563
ต่อมาในปี 2565 สุรชัยระบุว่า ได้รับการติดต่อจากอาจารย์ผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งขอให้เขียนรายงานเพิ่มเติมจากต้นฉบับเดิม หลังโครงการใหม่ได้รับงบประมาณจากโครงการยุทธศาสตร์ ‘ล้านนาสร้างสรรค์’ สำนักยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเขาเขียนเพิ่มเติมอีก 17 หน้า จนเกิดเป็นรายงานฉบับใหม่ในชื่อ ‘การสำรวจศิลปกรรมในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่’ และยืนยันว่า เนื้อหาทั้งหมดในรายงานฉบับนี้ ทั้งส่วนเดิมและส่วนที่เขียนเพิ่มเป็นผลงานของตนเองทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2567 ต้นฉบับรายงานดังกล่าวถูกนำไปจัดพิมพ์เป็นหนังสือในชื่อ ‘ประวัติศาสตร์เมืองฮอดในมิติศิลปวัฒนธรรม พิสดารนคร’ และเผยแพร่ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และไฟล์ PDF ออนไลน์ โดยระบุชื่อ รศ.อัศวิณีย์ หวานจริง เป็นผู้เขียนหลัก สุรชัยระบุว่า การเผยแพร่ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่ได้รับการแจ้งหรือมีโอกาสตรวจสอบต้นฉบับก่อน และแม้จะทักท้วงและร้องขอให้แก้ไขหลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการแก้ไขตามที่ร้องขอ
สุรชัยระบุว่า ก่อนหน้านี้ หนังสือเล่มเดียวกันเคยถูกเสนอให้สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่พิจารณาจัดพิมพ์ แต่ถูกปฏิเสธการตีพิมพ์ไปแล้ว ทว่าในเวลาต่อมากลับมีผู้ตรวจพบข้อมูลของหนังสือเล่มดังกล่าวปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยไม่ปรากฏความชัดเจนว่าอยู่ในขั้นตอนใด ก่อนที่ข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำออกจากเว็บไซต์ในวันที่ 27 เมษายน 2568
ข้อร้องเรียนทางวินัยและประเด็นงบประมาณ
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ผศ.ดร.สุรชัยได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและสอบสวนทางวินัยในประเด็นการสวมสิทธิ์ผลงานทางวิชาการ
นอกจากนี้ สุรชัยยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการบริหารงบประมาณของโครงการในปี 2565 โดยระบุว่า มีการตั้งงบประมาณค่าจ้างบันทึกภาพที่ปรากฏในหนังสือปีละ 50,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 ปี รวมเป็นเงิน 100,000 บาท ทั้งที่ในทางปฏิบัติ สุรชัยและผู้ร่วมสำรวจเป็นผู้ถ่ายภาพเองทั้งหมดระหว่างการลงพื้นที่ และไม่ได้มีค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าว
สุรชัยยังระบุเพิ่มเติมว่า โครงการดังกล่าวมีการตั้งงบประมาณสำหรับการเก็บข้อมูลร่วมกับชุมชนปีละ 45,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 ปี รวมเป็นเงิน 90,000 บาท อย่างไรก็ตาม จากรายงานการดำเนินงานในปี 2563 และ 2565 เขายืนยันว่า การใช้งบประมาณจริงไม่ถึงตามจำนวนที่ระบุไว้ในโครงการ
สุรชัยเห็นว่า ประเด็นดังกล่าวควรถูกตรวจสอบอย่างละเอียด เนื่องจากอาจสะท้อนปัญหาการใช้งบประมาณที่ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
มุมโต้แย้ง ข้อกล่าวหาเรื่อง ‘การกลั่นแกล้ง’
ขณะเดียวกัน ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาและผู้สนับสนุนได้ออกมาโต้แย้งว่า กรณีดังกล่าวไม่ใช่เพียงข้อพิพาททางวิชาการ แต่เป็นความพยายาม ‘กลั่นแกล้งอย่างเป็นระบบ’ ภายในคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2568 เฟซบุ๊กเพจ ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์’ เผยแพร่โพสต์ระบุว่า มี ‘ขบวนการสกัดดาวรุ่ง’ ที่มุ่งทำลายชื่อเสียงของ รศ.อัศวิณีย์ หวานจริง และครอบครัว โดยอ้างว่า การร้องเรียนเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่การขอตำแหน่งศาสตราจารย์ใกล้จะได้รับการเสนอแต่งตั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นกระบวนการพิจารณาดำเนินไปตามปกติและไม่พบการคัดค้านใดๆ

ทางเพจกล่าวยังอ้างว่า การโจมตีเกิดขึ้นพร้อมกันหลายด้าน ทั้งการดำเนินคดีทางกฎหมายกับบุคคลในครอบครัว และการร้องเรียนด้านวิชาการ โดยมองว่าเป็นความพยายามทำลายความน่าเชื่อถือและอนาคตทางราชการของผู้ถูกกล่าวหา พร้อมยืนยันว่า หนังสือ ‘พิสดารนคร’ เป็นผลงานที่อาจารย์อัศวิณีย์ทำหน้าที่หัวหน้าโครงการจริง และผลงานที่ใช้ยื่นตำแหน่งศาสตราจารย์เป็นงานคนละชิ้นกับหนังสือที่เป็นข้อพิพาท
อำนาจในการนิยามความผิด
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทัศนัย เศรษฐเสรี อาจารย์ประจำคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า กรณีนี้ไม่ควรถูกมองเป็นเพียงความขัดแย้งส่วนบุคคล แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบตำแหน่งทางวิชาการในมหาวิทยาลัยไทย
ทัศนัยตั้งข้อสังเกตว่า ในกรณีร้องเรียนการสวมสิทธิ์ผลงานวิชาการที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะกรรมการสอบสวนและรวบรวมข้อเท็จจริงชุดหนึ่งเคยสรุปว่าเข้าข่ายความผิดวินัย ‘ร้ายแรง’ และพบข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งบประมาณ ทว่า ต่อมาอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กลับมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนวินัยในกรอบ ‘ไม่ร้ายแรง’ ขึ้นอีกชุดหนึ่ง
เขาตั้งข้อสังเกตว่า ข้อร้องเรียนในกรณีนี้เป็นการกล่าวอ้างถึงการนำผลงานวิจัยทั้งเล่มไปใช้ประกอบการขอตำแหน่งทางวิชาการ ไม่ใช่เพียงการคัดลอกบางส่วน ซึ่งตามมาตรฐานจริยธรรมทางวิชาการ ควรถูกพิจารณาอย่างเข้มข้นและโปร่งใส

ทัศนัยยังตั้งคำถามต่อสิทธิของผู้ร้องเรียน หลังมหาวิทยาลัยแจ้งว่ากระบวนการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว แต่ผู้ร้องกลับไม่ได้รับทราบผลการพิจารณาอย่างเป็นทางการ พร้อมกับเตือนว่า หากการตรวจสอบภายในมหาวิทยาลัยขาดความเป็นอิสระ หรือไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอ ข้อร้องเรียนด้านจริยธรรมทางวิชาการอาจถูกจัดการในลักษณะ เงียบภายใน มากกว่าการตรวจสอบเพื่อคุ้มครองหลักการทางวิชาการและผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง
“กรณีนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นเรื่องมาตรฐานของวงการวิชาการไทย นักวิชาการต้องได้รับการคุ้มครองตามหลักลิขสิทธิ์และจรรยาบรรณ ผลงานวิชาการต้องไม่ถูกสวมสิทธิ์เพื่อประโยชน์ส่วนตัว และสถาบันการศึกษาต้องยืนหยัดบนความโปร่งใสและความถูกต้อง” ทัศนัย ระบุ
กรณีนี้จึงถูกจับตามองว่า จะกลายเป็นเพียงข้อพิพาทที่จบลงภายในรั้วมหาวิทยาลัย หรือจะนำไปสู่การทบทวนเชิงโครงสร้างของระบบตำแหน่งทางวิชาการ และธรรมาภิบาลของสถาบันอุดมศึกษาไทยในระยะยาว
คำถามต่อระบบตรวจสอบในมหาวิทยาลัยที่ยังไร้คำตอบ

ต่อมา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ศาสตราจารย์สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยชี้แจงความคืบหน้า กระบวนการสอบสวน และผลการพิจารณาในกรณีดังกล่าวอย่างชัดเจนต่อสาธารณะ
สมชายระบุว่า หากมีการคัดลอกหรือแอบอ้างผลงานทางวิชาการเกิดขึ้นจริง มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเป็นความผิดร้ายแรงที่กระทบต่อมาตรฐานและความน่าเชื่อถือของวงการวิชาการโดยตรง ขณะเดียวกัน หากผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิด การปล่อยให้กระบวนการตรวจสอบยืดเยื้อและขาดความชัดเจน ก็ย่อมสร้างความเสียหายต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องและต่อสถาบันไม่แพ้กัน
จดหมายเปิดผนึกฉบับดังกล่าวยังตั้งข้อสังเกตถึงประเด็นการใช้งบประมาณวิจัย และผลกระทบต่อหลักธรรมาภิบาลของสถาบันอุดมศึกษา หากมหาวิทยาลัยไม่สามารถอธิบายกระบวนการตัดสินใจและกลไกการตรวจสอบต่อสาธารณะได้อย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้
จนถึงขณะนี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง ผลการสอบสวน หรือแนวทางจัดการต่อกรณีดังกล่าว
คำถามสำคัญจึงยังคงค้างอยู่ที่ว่า กระบวนการตรวจสอบภายในมหาวิทยาลัยมีความโปร่งใสและเป็นธรรมเพียงใด และสถาบันอุดมศึกษาจะฟื้นฟูความเชื่อมั่นของสังคมต่อระบบจริยธรรมทางวิชาการได้อย่างไร ท่ามกลางข้อกล่าวหาที่ยังยังไม่มีข้อยุติที่ชัดเจน
ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบตำแหน่งทางวิชาการไทย
กรณีร้องเรียนการสวมสิทธิ์ผลงานวิชาการในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบตำแหน่งทางวิชาการในมหาวิทยาลัยไทย ที่ผลงานวิชาการไม่ได้เป็นเพียงผลผลิตของความรู้ หากแต่กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเลื่อนสถานะ อำนาจ และความมั่นคงในสายงาน ทำให้เกิดแรงจูงใจเชิงระบบที่บิดเบือนคุณค่าของจริยธรรมทางวิชาการ
ภายใต้โครงสร้างดังกล่าว เมื่อการบังคับใช้จริยธรรมขึ้นอยู่กับโครงสร้างที่ไม่เท่าเทียม คำถามเรื่องความถูกต้องของผลงานจึงเสี่ยงถูกลดทอนเหลือเพียงประเด็นทางวินัย มากกว่าการคุ้มครองหลักการพื้นฐานของแวดวงวิชาการ
กรณีนี้จึงไม่ใช่เพียงบททดสอบของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากแต่เป็นบททดสอบของระบบตำแหน่งทางวิชาการ และความเชื่อมั่นต่อธรรมาภิบาลของสถาบันอุดมศึกษาไทยทั้งระบบ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




