จากกรณีชาวบ้านในพื้นที่ตำบลแม่อิงและตำบลห้วยแก้ว อำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยา แจ้งเหตุผ่านสื่อพะเยาทีวี เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568 ว่าพบการเผาและฝังกลบซากหมูจำนวนมากในฟาร์มแห่งหนึ่งใกล้พระธาตุภูขวาง บริเวณระหว่างบ้านสันต้นผึ้งและบ้านม่วงคำ ส่งกลิ่นเหม็นกระจายทั่วชุมชน สร้างความตื่นตระหนกและกังวลในหมู่ชาวบ้านว่าจะเป็นโรคระบาด
โดยเวลา 13.30 น. ในวันเดียวกัน ปศุสัตว์จังหวัดพะเยาพร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงตรวจสอบฟาร์มหมูดังกล่าว พบว่าสาเหตุที่มีหมูตาย 70 ตัวในช่วง 20 วัน มาจากระบบไฟฟ้าไม่เสถียรส่งผลให้ระบบระบายอากาศขัดข้อง เนื่องจากซากหมูที่ตายนั้นมีจำนวนมากเกินกว่าความสามารถของบ่อฝังซากภายในฟาร์ม คนงานจึงได้นำไปเผาที่บริเวณท้ายฟาร์มใกล้สระน้ำ ซึ่งอยู่ในเขตฟาร์ม ส่งผลให้เกิดภาพการเผาซากจำนวนมากแพร่กระจายผ่านสื่อสังคมออนไลน์
ทั้งนี้ปศุสัตว์จังหวัดยืนยันไม่พบโรคระบาด ย้ำให้ฝังกลบอย่างถูกวิธี พร้อมตรวจระบบบำบัดน้ำเสียซึ่งพบว่ายังใช้งานได้ดี และได้เก็บตัวอย่างเลือด ซีรั่ม และ swab จากซากหมูเพื่อตรวจหาเชื้อเพิ่มเติม ผลเบื้องต้นไม่พบรอยโรคผิดปกติในหมูที่ยังมีชีวิต สุขภาพทั่วไปยังดี
ต่อมา วันที่ 9 มิถุนายน 2568 ทีมข่าวพะเยาทีวีตรวจสอบและพบว่า ฟาร์มหมูดังกล่าวมีเจ้าของคือ บริษัท เอชทีแอล มารีน โปรดักท์ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนธุรกิจเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2562 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่ทา อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ โดยบริษัทเริ่มก่อสร้างและดำเนินการฟาร์มหมูในพื้นที่ตำบลห้วยแก้วช่วงปี 2566–2567 มีกำลังผลิตหมู 5,000 ตัว ใน 8 โรงเรือน และเป็นฟาร์มในระบบลูกเล้า (Contract farming) ภายใต้กลุ่มบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านการผลิตอาหารของประเทศ
ภายหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัทเบทาโกรได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมสถานการณ์ทันที และเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 มีการเคลื่อนย้ายหมูที่ยังมีชีวิตจำนวนกว่า 2,000 ตัวออกจากพื้นที่ โดยได้รับการยืนยันจากศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคเหนือตอนบน จังหวัดลำปาง กรมปศุสัตว์ ว่าไม่พบเชื้ออหิวาต์แอฟริกาในหมู (ASF) จากการตรวจตัวอย่างเลือดทุกตัวด้วยวิธี Real-time PCR
ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ฟาร์มหมูผกาวดีในนามของบริษัท เอชทีแอล มารีน โปรดักท์ จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า เหตุการณ์หมูตายจำนวนมากเกิดจากปัญหาในระบบระบายอากาศภายในโรงเรือนช่วงท้ายของรอบการเลี้ยง ไม่ใช่โรคระบาดแต่อย่างใด ส่วนการเผาทำลายซากที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบ เป็นผลจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ประกอบการรายใหม่
ภายหลังเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาทางเทคนิคทราบเรื่อง ได้รีบลงพื้นที่เพื่อแนะนำให้ดำเนินการฝังกลบซากหมูตามระเบียบของกรมปศุสัตว์ พร้อมให้แนวทางแก้ไขอย่างเหมาะสม และย้ำว่าหากเกิดปัญหาในอนาคตจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจดำเนินการใดๆ
ผู้ประกอบการยังได้เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงต่อผู้นำชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จนได้รับความเข้าใจร่วมกัน พร้อมขออภัยต่อชาวบ้านในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงดำเนินการภายใต้มาตรฐานเพื่อไม่ให้ฟาร์มส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนอีกในอนาคต
ฟาร์มหมูไม่โปร่งใส ปมอนุญาตไม่ชัด-ไร้ประชาคม ชาวบ้านยังกังวลผลกระทบ
แม้ผู้ประกอบการฟาร์มหมูในพื้นที่ตำบลห้วยแก้ว อำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยา จะออกแถลงการณ์ขอโทษและดำเนินการตามระเบียบแล้ว แต่ชาวบ้านยังคงวิตกถึงความปลอดภัยของแหล่งน้ำและผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว หลังพบว่าซากหมูจำนวนมากถูกเผาทิ้งอย่างไม่เหมาะสมใกล้ลำน้ำร่องไผ่ ที่เป็นแหล่งน้ำสายสำคัญในพื้นที่
เตชพัฒน์ มโนวงศ์ หรือ พ่อหลวงขวัญ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ตำบลแม่อิง เปิดเผยกับ Lanner ว่า ฟาร์มดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมถึง ใกล้แหล่งน้ำเกษตรกรรมของชาวบ้าน และการดำเนินการหลายขั้นตอนของฟาร์มยังไม่มีความชัดเจน ทั้งการขออนุญาตสร้าง-ขยายฟาร์ม การนำหมูเข้ามาเลี้ยง และการกำจัดซากหมู
“บริษัทยืนยันว่าเกิดจากอากาศร้อน แต่เราก็ยังสงสัยว่าฟาร์มได้มาตรฐานหรือเปล่า เพราะฟาร์มขนาดใหญ่มักจะมีระบบระบายความร้อน เช่น พัดลม แต่ฟาร์มนี้เราไม่แน่ใจว่ามีมาตรฐานตรงไหน และยังไม่มีหน่วยงานตรวจสอบอย่างจริงจัง”
พ่อหลวงขวัญเปิดเผยว่า บริษัท เอชทีแอล มารีน โปรดักท์ จำกัด ได้ขออนุญาตจัดตั้งฟาร์มหมูในพื้นที่ตำบลห้วยแก้ว อำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยา โดยใบอนุญาตก่อสร้างมีอายุหนึ่งปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ถึงมิถุนายน 2567 แต่เมื่อครบกำหนด ฟาร์มยังไม่แล้วเสร็จ และไม่มีความชัดเจนว่าบริษัทได้ขออนุญาตขยายระยะเวลาก่อสร้างหรือไม่
อย่างไรก็ตาม พ่อหลวงขวัญยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนหน้าที่จะมีการทำฟาร์มหมูก็ไม่ได้มีการทำประชาคมเพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่อย่างโปร่งใส ข้อมูลการก่อสร้างและขออนุญาตโรงเรือนไม่เคยถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ ขณะที่ผลกระทบด้านกลิ่นเหม็น มลภาวะจากน้ำเสีย และความเสี่ยงต่อแหล่งน้ำชุมชนเริ่มชัดเจนขึ้น
เหตุการณ์ซ้ำเติมเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน เมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ลุ่มน้ำอิง รวมถึงบริเวณก่อสร้างฟาร์ม ทำให้ชาวบ้านยิ่งกังวลเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากนั้นได้มีการรวมตัวกันร้องเรียนต่อหน่วยงานราชการและยื่นหนังสือถึงอำเภอและศูนย์ดำรงธรรม แต่กลับไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน
“เราก็ได้มีการยื่นหนังสือถึงส่วนราชการว่าชาวบ้านมีความกังวลเรื่องฟาร์มหมู กลัวว่าจะเกิดมลพิษต่างๆ เพราะว่าเราได้เห็นประสบการณ์จากที่อื่นมา แล้วก็มีการรวบรวมพี่น้องชาวบ้าน รวมถึงรวบรวมข้อมูลต่างๆ ว่ามันจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่อีกหรือเปล่า แล้วก็มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อติดตามสถานการณ์เรื่องฟาร์มหมูในพื้นที่ของอำเภอภูกามยาว”
ภายหลังจึงมีการประสานไปยังคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของรัฐสภา ซึ่งลงพื้นที่และจัดตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องฟาร์มหมูในจังหวัดพะเยา” โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และมีตัวแทนบริษัทเข้าร่วมชี้แจง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการขอตรวจสอบมาตรฐานฟาร์ม บริษัทกลับปฏิเสธ อ้างว่ายังไม่พร้อมเปิดให้ตรวจ
การประชุมของคณะกรรมการเกิดขึ้นเพียงสองครั้งก่อนจะเงียบหาย ขณะเดียวกัน บริษัทกลับเดินหน้าก่อสร้างจนแล้วเสร็จ และเริ่มนำหมูเข้าฟาร์มจำนวนกว่า 5,600 ตัว ทั้งที่ยังไม่มีเอกสารชี้ชัดว่าได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานใด
“หมูจำนวนขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก การนำเข้าฟาร์มต้องผ่านทั้งปศุสัตว์จังหวัดและ อบต.ห้วยแก้ว แต่จนถึงตอนนี้เรายังไม่เห็นหลักฐานหรือหนังสืออนุญาตอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานใดเลย” พ่อหลวงขวัญกล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากภาครัฐไม่สามารถตอบคำถามชาวบ้านได้ ก็ยากที่จะสร้างความมั่นใจต่อความปลอดภัยของแหล่งน้ำและชุมชน
ชาวบ้านห่วงฟาร์มหมูใกล้ลำน้ำซ้ำเติมปัญหาสิ่งแวดล้อม ร้องรัฐเร่งตรวจสอบก่อนสถานการณ์ลุกลาม
พ่อหลวงขวัญ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ตำบลแม่อิง ระบุว่า ฟาร์มดังกล่าวตั้งอยู่ห่างจากลำน้ำร่องไผ่ไม่ถึง 10 เมตร ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาที่แยกมาจากแม่น้ำอิงและไหลรวมกลับไปที่บ้านหนองลาว โดยชาวบ้านใช้แหล่งน้ำนี้ทำเกษตรกรรมในพื้นที่ทุ่งดอกคำใต้ แหล่งปลูกข้าวหอมมะลิชื่อดัง รวมถึงอนุรักษ์พันธุ์ปลาและหาปูปลาจากลุ่มน้ำเพื่อยังชีพ
นอกจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม พ่อหลวงขวัญยังตั้งข้อสังเกตว่า ฟาร์มตั้งอยู่ใกล้พระธาตุภูขวาง โบราณสถานสำคัญของชุมชน เพียง 500 เมตร ขณะที่กฎหมายควบคุมฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่กำหนดให้ต้องอยู่ห่างจากโบราณสถานอย่างน้อย 2 กิโลเมตร จึงอาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมายอีกประเด็นหนึ่ง
“กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมีผลต่อทั้งสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ แต่ที่ผ่านมายังไม่มีใครให้คำตอบชัดเจนเลย” พ่อหลวงขวัญกล่าว พร้อมระบุว่า หากไม่มีชาวบ้านเข้าไปพบเหตุการณ์ด้วยตัวเอง เรื่องนี้อาจเงียบหาย ไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ
ด้วยความไม่ชัดเจนในหลายประเด็น ทั้งใบอนุญาตประกอบกิจการ การจัดการซากสัตว์ และการวางตำแหน่งฟาร์มในพื้นที่อ่อนไหวทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ทำให้พระสงฆ์และชาวบ้านในพื้นที่เริ่มรวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นเรื่องต่อคณะกรรมาธิการของรัฐสภาอีกครั้ง พร้อมเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจัง
“ชาวบ้านห่วงอนาคต ไม่รู้ว่าฟาร์มนี้จะได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อหรือไม่ และจะมีมาตรการป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างไร ขณะเดียวกันพื้นที่อื่นๆ ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องน้ำเสีย น้ำท่วม และระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนลงมาตรวจสอบอย่างเป็นรูปธรรมเลย” พ่อหลวงขวัญกล่าว
ชาวบ้านยังระบุว่า ฟาร์มหมูบางแห่งในพื้นที่เคยปล่อยน้ำเสียลงลำห้วยบงและน้ำร่องไผ่ ทำให้ชาวบ้านที่นำน้ำไปใช้ในนา เริ่มพบปัญหาข้าวไม่ออกดอกแม้จะเจริญเติบโตดี สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากแก๊สหรือสารอินทรีย์ที่สะสมในน้ำมากเกินไป ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบหรือให้คำตอบที่ชัดเจน
“ที่ผ่านมาเราพยายามเสนอให้มีการตรวจคุณภาพน้ำ สำรวจพันธุ์ปลา และให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการรับรู้ข้อมูลต่างๆ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ เราอยากให้รัฐออกมาอธิบาย วางแนวทางจัดการที่ชัดเจน และสร้างความมั่นใจให้คนในชุมชนว่าแหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อมจะได้รับการปกป้อง” พ่อหลวงขวัญกล่าวทิ้งท้าย
แม้ตัวแทนฟาร์มจะยืนยันว่าพร้อมปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่ความเงียบของหน่วยงานรัฐกลับทำให้ความไม่มั่นใจในพื้นที่ยังคงดำเนินต่อไป เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่เพียงปัญหาเฉพาะถิ่น แต่สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมและความโปร่งใสที่สังคมไทยยังต้องเผชิญ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...