เชียงใหม่กำลังจับตาการปรับปรุงผังเมืองรวมฉบับใหม่ ที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนพื้นที่ริมน้ำปิงและคลองแม่ข่า จากเดิมที่กำหนดไว้เพื่อการนันทนาการและรักษาสิ่งแวดล้อม ไปสู่พื้นที่พาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่น การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่จะพลิกโฉมภูมิทัศน์เมือง แต่ยังอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิการเข้าถึงทรัพยากรสาธารณะของคนเชียงใหม่

ข้อกำหนดร่างใหม่เปิดทางให้อาคารริมแม่น้ำสร้างได้สูงถึง 23 เมตร จากเดิมที่กำหนดไว้เพียง 12 เมตร ลดพื้นที่ว่างรอบอาคารจากอย่างน้อย 50% เหลือ 20% และลดพื้นที่น้ำซึมผ่านได้จาก 25% เหลือเพียง 4% นั่นหมายความว่าความหนาแน่นของอาคารจะเพิ่มขึ้น การระบายน้ำผิวดินแย่ลง และความร้อนสะสมในเมืองสูงขึ้น การถมดินเพื่อพัฒนาโครงการโดยเอกชนยังอาจเพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วมให้กับพื้นที่ข้างเคียง
พื้นที่ริมน้ำที่เคยเป็นสีเขียวเพื่อการพักผ่อนและการใช้ประโยชน์ร่วมกันของคนทั้งเมือง กำลังจะถูกจำกัดเป็นสิทธิส่วนบุคคลของเอกชน สิทธิในการเข้าถึงแม่น้ำ การมองเห็น และการใช้ประโยชน์อาจไม่ใช่เรื่องของสาธารณะอีกต่อไป หากร่างผังเมืองใหม่นี้ถูกประกาศใช้
มุมมองจากเวทีเสวนาวิชาการ
วันที่ 4 กันยายน 2568 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดงานเสวนาใหญ่เพื่อเปิดตัวหลักสูตร “การวางแผนภาคและเมืองมหาบัณฑิต” โดยมีผู้เชี่ยวชาญหลายภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองต่ออนาคตเชียงใหม่ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. ภาครัฐและการสนับสนุน การวางผังเมืองและการพัฒนาเมือง อบจ.เชียงใหม่ให้การสนับสนุนทุนและกิจกรรม เช่น การจัดทำเอกสารเพื่อเสนอเชียงใหม่เป็น เมืองมรดกโลก UNESCO ยอมรับว่าปัจจุบัน อบจ. ยังขาดผู้เชี่ยวชาญด้านผังเมือง แต่พร้อมประสานงานกับมหาวิทยาลัยและผู้เชี่ยวชาญ
2. ภูมิปัญญาล้านนาและภาคประชาชน ผังเมืองใหม่ต้องไม่ทิ้ง ภูมิปัญญาท้องถิ่น และองค์ความรู้ดั้งเดิม การอนุรักษ์วัฒนธรรมควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างเมือง จะช่วยให้เมืองไม่สูญเสียรากเหง้าหรือเรียกว่า ผังวิถีชีวิต
3. มรดกทางวัฒนธรรมและโบราณคดี เสนอให้การวางผังเมือง เคารพโบราณสถานและมรดกทางวัฒนธรรม การสร้างใหม่ในเขตเมืองเก่าควรกลมกลืนกับสถาปัตยกรรมดั้งเดิม
4. มิติการเมืองและการกระจายอำนาจ การออกแบบเมืองไม่ควรขึ้นอยู่กับส่วนกลางเพียงฝ่ายเดียว ท้องถิ่นควรมีอำนาจและศักยภาพ ในการกำหนดผังเมือง เพราะเข้าใจบริบทพื้นที่ดีที่สุด
5. พื้นที่สาธารณะและการออกแบบเพื่อประชาชน ผังเมืองกับพื้นที่สีเขียวและพื้นที่สาธารณะ ที่ทุกคนเข้าถึงได้ กระบวนการออกแบบควรเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น
ผศ.ดร.จาตุรงค์ โพคะรัตน์ศิริ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เชียงใหม่ต้องการนักผังเมืองที่ไม่เพียงมีความรู้ด้านเทคนิค แต่ต้องเป็นคนของพื้นที่ เข้าใจทั้งปัญหาและศักยภาพของเมือง เพื่อร่วมออกแบบอนาคตที่ยั่งยืน”
ทางเลือกเชิงนิเวศที่ถูกมองข้าม
หากผังเมืองใหม่เดินหน้า ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ ความเสี่ยงน้ำท่วมที่รุนแรงขึ้นจากการถมดินและพื้นที่ซึมน้ำที่หายไป ความร้อนและคุณภาพอากาศที่เลวร้ายลง ภูมิทัศน์ริมแม่น้ำถูกบดบัง และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรเมืองที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในขณะที่เชียงใหม่กำลังเผชิญปัญหาฝุ่นพิษ น้ำท่วม และการขยายตัวของเมือง พื้นที่ริมน้ำสามารถพัฒนาไปในทิศทางที่แตกต่าง โดยใช้แนวทาง Nature-Based Solutions และโครงสร้างพื้นฐานสีฟ้า–เขียว (Blue-Green Infrastructure) เพื่อสร้าง
- พื้นที่สาธารณะคุณภาพสูง
- สะพานนิเวศที่เชื่อมระบบธรรมชาติ
- ทางสัญจรที่ไม่สร้างมลพิษ
- พื้นที่บรรเทาน้ำท่วมและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ผังเมืองและอนาคตของพื้นที่ริมน้ำ
ผังเมืองควรเป็นเครื่องมือที่กำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองเพื่อความอยู่ดีมีสุขของทุกคน และช่วยให้เราจินตนาการถึงคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในอนาคต
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ริมแม่น้ำปิงและคลองแม่ข่า ซึ่งเคยถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่โล่งเพื่อการนันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในผังเมืองฉบับปัจจุบัน กำลังจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่พาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นในผังเมืองฉบับใหม่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบ ดังนี้
- วัตถุประสงค์การใช้พื้นที่เปลี่ยนจากประโยชน์สาธารณะและสิ่งแวดล้อม ไปสู่การพาณิชย์และประโยชน์ส่วนบุคคล
- การพัฒนาพื้นที่สาธารณะสีเขียวริมแม่น้ำเพื่อคนทั้งเมืองจะทำได้ยากขึ้น
- อาคารริมแม่น้ำสร้างได้สูงสุด 23 เมตร (จากเดิม 12 เมตร) ส่งผลต่อมุมมองริมแม่น้ำ
- พื้นที่ว่างรอบอาคารลดลงจากอย่างน้อย 50% เหลือเพียง 20% ความหนาแน่นอาคารเพิ่มขึ้น
- พื้นที่น้ำซึมผ่านได้ลดลงจากขั้นต่ำ 25% เหลือเพียง 4% ความร้อนสะสมของพื้นที่เพิ่มขึ้น การระบายน้ำผิวดินแย่ลง
- การถมดินเพื่อพัฒนาโดยเอกชน อาจทำให้พื้นที่ข้างเคียงเสี่ยงน้ำท่วมหนักขึ้น
- สิทธิ์การมองเห็น เข้าถึง และใช้ประโยชน์จากน้ำ เปลี่ยนจากสิทธิ์สาธารณะเป็นสิทธิ์ของเอกชน
คำถามสำคัญคือ การเปลี่ยนพื้นที่ริมแม่น้ำเหล่านี้ให้เป็นพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่น เป็นการพัฒนาเมืองที่นำไปสู่ “ความอยู่ดีมีสุขของทุกคน” จริงหรือ?
แม้จะเคยมีการรับฟังความคิดเห็นในช่วงเวลาที่จำกัด 10 มีนาคม – 7 มิถุนายน 2566 แต่การเข้าถึงข้อมูลยังไม่ทั่วถึง และกระบวนการทบทวนร่างผังเมืองยังไม่เปิดกว้างพอ ปัจจุบัน แม้เวลารับฟังความคิดเห็นอย่างเป็นทางการจะผ่านไปแล้ว แต่ยังมีเสียงเรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันสะท้อนความเห็น เพื่อให้ร่างผังเมืองได้รับการทบทวนอีกครั้งก่อนประกาศใช้
ผังเมืองควรเป็นเครื่องมือที่กำหนดทิศทางการพัฒนาเพื่อ “ความอยู่ดีมีสุขของทุกคน” แต่คำถามสำคัญคือ การเปลี่ยนพื้นที่ริมน้ำปิงและคลองแม่ข่าให้กลายเป็นเขตพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่น จะนำไปสู่เป้าหมายนั้นจริงหรือไม่? หรือจะกลายเป็นการพรากพื้นที่สาธารณะของคนเชียงใหม่ไปอีกครั้ง อนาคตของเมืองจึงไม่ควรถูกกำหนดโดยเอกชนหรือส่วนกลางฝ่ายเดียว แต่ต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เป็นเจ้าของเมืองตัวจริง
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...