บทบาทของหัวเมืองล้านนาใน “ศึกเจ้าอะนุวง” พ.ศ.2369-2371

Date:

เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์

หลายปีมาแล้ว เมื่อจารุวรรณ ธรรมวัตร ได้ปริวรรตและสรุปเนื้อความเอกสารโบราณของลาวจำนวนหนึ่ง[1]  แล้วได้ระบุในคำนำว่า “เป็นไม่ได้ที่จะศึกษาอีสาน โดยไม่ใส่ใจศึกษาลาว เวียดนาม ล้านนา พม่า”  ในแง่เดียวกัน การศึกษาประวัติศาสตร์ลาว ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะไม่ใส่ใจประวัติศาสตร์ล้านนา พม่า และเวียดนาม   

กรณีบทบาทล้านนาในศึกเจ้าอะนุวง[2] พ.ศ.2369-2371 มะยุรี และเผยพัน เหง้าสีวัทน์[3]  ได้ชี้ให้เห็นว่าเจ้าอะนุวงเข้าใจสภาพการณ์ดีว่า หากทัพเวียงจันมุ่งสู่อีสานและภาคกลาง เป็นไปได้มากว่ากรุงเทพฯ จะมีคำสั่งให้หัวเมืองล้านนายกทัพลงมาช่วยเป็นศึกกระหนาบ แต่เจ้าอะนุวงก็เข้าใจอีกว่าหัวเมืองล้านนาก็อยู่ในสถานภาพเดียวกับล้านซ้างเวลานั้น คือต่างก็ตกเป็นประเทศราช หัวอกเดียวกัน เจ้าอะนุวงจึงร้องขอไปยังหัวเมืองล้านนาให้เคลื่อนทัพลงมาหยุดอยู่เพียงแดนเมืองระแหง (ตาก) ซึ่งดูเหมือนว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

กองทัพล้านนาอันประกอบด้วย เชียงใหม่ น่าน แพร่ ลำปาง ซึ่งสยามเรียกรวมกันว่า “ทัพพุงดำ” เมื่อได้รับคำสั่งจากกรุงเทพฯ ให้ยกไปช่วยปราบเจ้าอะนุวง กว่าจะเดินทัพไปถึงก็เป็นช่วงที่ทัพหลวงจากกรุงเทพฯ บุกถึงเวียงจันและเจ้าอะนุวงหลบหนีออกจากเมืองไปแล้ว คือไปถึงสมรภูมิในช่วงที่เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าฝ่ายใดแพ้ฝ่ายใดชนะ   

สุเนด โพทิสาน และคะนะ[4] ได้พิจารณาบทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างล้านนากับเวียงจันยุคเจ้าอะนุวง โดยย้อนกลับไปเหตุการณ์ในพ.ศ.2348 (ค.ศ.1805) หลังกลับจากศึกเชียงแสนได้ไม่ถึง 1 ปี  สยามก็มีศึกใหม่ให้เวียงจัน โดยได้มีคำสั่งให้เวียงจันไปตีเมืองเชียงตุง เชียงรุ้ง เมืองสิง และหัวเมืองรายทางข้างเคียง โดยในศึกนี้ให้เวียงจันยกไปสมทบกับทัพลำปาง เชียงใหม่ แพร่ และหลวงพระบาง เลยทำให้เจ้าอะนุวงในฐานะแม่ทัพเวียงจันมีความสนิทสนมและรู้จักมักคุ้นกันดีกับเหล่าแม่ทัพนายกองตลอดจนเจ้าฟ้าของหัวเมืองล้านนา เนื่องจากเคยร่วมในศึกเดียวกัน เป็น “มิตรร่วมรบ” กันมาก่อนนั่นเอง

ขณะที่สุวิทย์ ธีรศาศวัต เคยเปิดประเด็นตั้งคำถามว่า “ทำไมเจ้าอนุวงศ์จึงต้องปราชัย?”[5] แล้วได้ข้อสรุปว่าเพราะพันธมิตรของเจ้าอะนุวงไม่มาตามนัด พันธมิตรที่ว่านี้แม้ว่าสุวิทย์จะมุ่งเป้าไปที่อังกฤษ ซึ่งเคยสร้างความหวาดกลัวแก่ชนชั้นนำสยาม และเมื่อคราวเจ้าอะนุวงมาร่วมงานถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 2 ไพร่พลของเจ้าอะนุวงก็ได้รับการร้องขอให้ไปตัดต้นตาลที่เมืองสุพรรณบุรีลำเลียงไปปากแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อสร้างแนวป้องกันภัย (ที่คาดว่าจะมา) รุกรานคืออังกฤษ

คำถามและการเปิดประเด็นข้างต้นของสุวิทย์ นำมาสู่แง่มุมใหม่ เจ้าอะนุวงไม่ได้พ่ายศึกเพียงเพราะประเด็นเรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังไพร่พลที่มีน้อยกว่า อย่างที่เคยเข้าใจกัน หากแต่พ่ายศึกเพราะพันธมิตรไม่มาตามนัด มุมมองแบบสุวิทย์ยังขยายไปที่ตัวละครอื่นที่นอกเหนือจากอังกฤษอีก เช่น เวียดนาม และล้านนา เวียดนามก็ไม่มาตามนัด[6] ล้านนามาตามนัดแต่มาล่าช้า และเมื่อมาถึงล้านนากลับเปลี่ยนจากมิตรเป็นศัตรูไปเข้าร่วมกับสยาม ปราบเจ้าอะนุวง (ซะงั้น?)  

ภาพ อนุเสาวรีย์เจ้าอะนุวง (ภาพจาก เว้าพื้นประวัติศาสตร์)

อย่างไรก็ตาม คงเป็นการด่วนสรุปเกินไป หากกล่าวว่าล้านนาอยู่ฝั่งเดียวกับเจ้าอะนุวง แม้จะเพื่อนบ้านข้างเคียงที่รับรู้อยู่ก่อนใครอื่น (แม้แต่หลวงพระบางก็รู้ทีหลัง) ว่าเจ้าอะนุวงมีแผนการจะบุกสยาม การรั้งทัพรออยู่ที่ระแหง อาจเป็นเพียงการรอดูสถานการณ์ต่อไป เพราะเป็นช่วงที่สยามได้เปิดฉากตอบโต้เวียงจัน โดยยกทัพขึ้นไปทางนครราชสีมาและเพชรบูรณ์แล้ว จากระแหงจะสามารถเดินทัพไปทางตะวันออกเข้าสู่ลุ่มแม่น้ำป่าสักตอนบนและต่อไปจนถึงหนองคายและเวียงจันได้ ซึ่งก็ปรากฏว่าทัพล้านนาได้ใช้เส้นทางนี้ไปบรรจบกับทัพกรุงเทพฯ จริงอยู่ด้วย  

ตอนแรกที่ดูเหมือนจะมีใจให้กับฝ่ายเจ้าอะนุวง ตอนหลังกลับเปลี่ยนไปอยู่ข้างสยาม เป็นเรื่องน่าสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมล้านนาไม่ช่วยเวียงจันอย่างที่ควร ทั้งๆ ที่ต่างก็ตกอยู่ในสถานะเดียวกับที่เวียงจันต้องการจะปลดแอกจากสยาม พูดง่ายๆ คือล้านนากับล้านซ้างต่างก็มีศัตรูเดียวกันในเวลานั้น แต่ทำไมถึงไม่ช่วยเหลือกันในการจัดการกับศัตรูที่ว่านี้ 

เรื่องนี้ไม่ง่ายที่จะอธิบายว่าเพียงเพราะชนชั้นนำล้านนาเวลานั้นต้องการเข้าข้างฝ่ายชนะ จึงไปช่วยสยามแทนที่จะช่วยเวียงจัน ทำไมล้านนาปล่อยโอกาสที่จะได้ตั้งตัวเป็นอิสระให้หลุดลอยไปง่ายดายปานนั้น การจะตอบคำถามนี้ได้ จำเป็นต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างล้านนากับล้านซ้างเวียงจัน ตกลงแล้วเวียงจันกับล้านนาเป็นอะไรกัน มิตรหรือศัตรู หรือแค่ “อยู่เป็น”???    

ความสัมพันธ์ล้านนากับเวียงจันสมัยเจ้าอะนุวง  

จาก “พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)”[7] ลาวพุงดำที่สระบุรีเป็นกลุ่มที่เข้าร่วมกับเจ้าอะนุวงอย่างแข็งขันที่สุดกลุ่มหนึ่ง คนล้านนาที่สระบุรีซึ่งในอดีตถูกกวาดต้อนลงไปสยามนั้น จะได้ติดต่อประสานกับเจ้าเมืองล้านนามากน้อยแค่ไหน ไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เป็นไปไม่ได้ที่แม่ทัพนายกองล้านนาและเจ้าเมืองล้านนาจะไม่ทราบว่าคนล้านนาที่สระบุรีเข้าร่วมกับเจ้าอะนุวง

น่าน แพร่ เชียงใหม่ ลำปาง เพิ่งเข้าร่วมฝ่ายปราบปรามจริงๆ ก็เมื่อทัพสยามยึดเวียงจันได้แล้ว แต่ทั้งนี้หัวเมืองล้านนาก็ได้มีการเกณฑ์ไพร่พลเตรียมทัพและยกออกจากเมืองมาในเวลาไล่เลี่ยกับที่เจ้าอะนุวงแบ่งทัพลงมากวาดต้อนอยู่ในอีสานแล้ว ซึ่งในเวลานั้นสยามยังไม่ล่วงรู้ ข่าวศึกยังไปไม่ถึงเมืองหลวง กรุงเทพฯ เพิ่งทราบว่ามีศึกก็เมื่อทัพเวียงจันคุมโดยเจ้าลาดซะวง (เจ้าเหง้า) ยกลงไปถึงปากเพรียว (สระบุรี) และกวาดต้อนครัวสระบุรีขึ้นไปแล้ว  

นั่นคือหัวเมืองอย่างน่าน แพร่ เชียงใหม่ ลำปาง รับรู้อยู่ก่อนกรุงเทพฯ มาได้ระยะหนึ่งแล้วว่า เจ้าอะนุวงจะบุกสยาม แต่ไม่ได้แจ้งข่าวไปยังสยาม เมืองที่พยายามส่งข่าวศึกให้แก่กรุงเทพฯ คือหลวงพระบาง แต่ก็ล่าช้า เพราะคนนำสารต้องเดินทางผ่านหัวเมืองอีสานซึ่งฝ่ายเจ้าอะนุวงได้เข้ายึดและกวาดต้อนผู้คนอยู่[8] ขุนนางใกล้ชิดเจ้าอะนุวงที่ไม่เป็นใจด้วยกับการศึกครั้งนี้อย่างเจ้าอุปฮาดติสสะ กว่าจะติดต่อกับฝ่ายสยามได้ ก็เมื่อสยามส่งกองทัพตอบโต้ขึ้นไปถึงเมืองยโสธรแล้ว

แต่ทั้งหมดก็อาจไม่ใช่ช่องว่างที่เกิดจากอุปสรรคการสื่อสารและการคมนาคมในสมัยนั้นอย่างเดียว เพราะสถานการณ์ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าฝ่ายไหนจะชนะ และอันที่จริงแนวโน้มของสงครามในช่วงแรกก็ดูเหมือนฝ่ายเจ้าอะนุวงจะได้เปรียบอยู่ไม่น้อย ถึงแม้การกวาดต้อนครัวในอีสานจะประสบปัญหาและถูกต่อต้านที่บริเวณทุ่งสำริด แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นไปในทางสมคะเนของเจ้าอะนุวง เพราะวางแผนและเตรียมการมาอย่างดี ในขณะที่ฝ่ายสยามไม่คาดคิดกันมาก่อนเลยว่า เวียงจันจะกล้าเปิดศึกกับตนเช่นนั้น   

เมื่อเห็นเวียงจันกล้าทำเช่นนั้นแล้ว ชนชั้นนำสยามก็หวั่นเกรงว่าหัวเมืองอื่นจะเอาเยี่ยงอย่างลุกขึ้นสู้กับพวกตนบ้าง  จากหลักฐานของฝ่ายสยาม แสดงให้เห็นทั้งความไม่มั่นใจในตอนแรก และท่าทีต่อหัวเมืองประเทศราชอื่นๆ โดยเฉพาะล้านนากับหลวงพระบางด้วยแล้ว เต็มไปด้วยความระแวดระวัง แม้จะเป็นช่วงที่สยามยึดเวียงจันได้แล้ว สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)[9] ซึ่งเสด็จไปเป็นแม่ทัพหลวงตั้งค่ายอยู่ที่หนองคาย หลังจากแม่ทัพนายกองหัวเมืองล้านนามาถึงและเข้าเฝ้าแล้ว ก็ยังมีจดหมายไปกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 รายงานสถานการณ์ให้ทรงทราบว่า:

“ฝ่ายทัพพุงดำ 5 หัวเมือง และหัวเมืองหลวงพระบางนั้น ถ้าทัพหลวงไม่ได้เมืองเวียงจันท์ ก็หามีผู้ใดมาถึงเมืองเวียงจันท์ไม่ มีแต่จะคอยเก็บครอบครัวช้างม้าอยู่ริมเขตแดนคอยทีไหวพริบเป็น 2 เงื่อน แต่บัดนี้ใช้สอยได้เป็นปกติต้องขู่บ้าง ปลอบบ้าง แต่ยังดูน้ำใจทั้ง 6 หัวเมือง เมืองหลวงพระบางอ่อนนัก เมืองเชียงใหม่ เมืองลำพูน 2 เมืองนี้ ก็สุดแต่เมืองละคร (ลำปาง-ผู้อ้าง) เมืองแพร่นั้นตามธรรมเนียม แต่เมืองน่านนั้นการเดิมไหวอยู่ พระยาลครคนนี้มีอัธยาศัยมาก สมควรที่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมชุบเลี้ยง เห็นเป็นราชการได้ยืนยาว”[10]

สิ่งที่สร้างความไม่พอใจให้แก่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์กับชนชั้นสยามเวลานั้นอย่างมาก นอกจากเดินทัพไปช่วยการศึกล่าช้าแล้ว “ครอบครัวเมืองเวียงจันท์ก็หลบหนีไปทางเมืองละคร เมืองเชียงใหม่ เมืองลำพูน เมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองหลวงพระบางเป็นอันมาก”[11] จึงเหมือนว่าหัวเมืองล้านนาที่ไม่ยอมช่วยในสงครามกลับจะ “ชุบมือเปิบ” ได้สินสงครามโดยไม่ต้องลงมือลงแรงอะไร

ทั้งนี้หากมองในแง่ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและสถานการณ์การเมืองระหว่างแว่นแคว้นต่างๆ รอบข้างเวียงจันขณะนั้น หากไพร่บ้านพลเมืองของเวียงจันจะอพยพหลบหนีสงครามแล้ว ลงใต้ไปจำปาสักไม่ได้ ไม่พ้นสงคราม ตรงข้ามจำปาสักที่เจ้าลาดซะบุด (เจ้าโย้) ครองอยู่นั้นได้เข้าร่วมการศึกครั้งนี้ตั้งแต่แรก เวียดนามอยู่ไกลและต่างวัฒนธรรมกัน ที่วัฒนธรรมใกล้เคียงกันและปลอดพ้นสงครามเวลานั้นก็มีหลวงพระบางกับล้านนา แต่หลวงพระบางกับเวียงจันก็เป็นศัตรูคู่อริกันมาจนแยกตัวเป็นอิสระต่อกันมาได้พักใหญ่แล้ว จึงเหลือทางเลือกอยู่เพียงล้านนา โดยเฉพาะเมืองน่าน ซึ่งมีข้อมูลการอพยพลี้ภัยของชาวเวียงจันเป็นอันมาก

ก.ศ.ร.กุหลาบ (กุหลาบ ตฤษณานนท์) ได้เคยนำเอาจดหมายใบบอกข้างต้นนี้ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์มาลงไว้ทั้งฉบับ ไม่ได้ตัดตอนมาแบบพระราชพงศาวดารฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) โดยให้เหตุผลไว้ในวงเล็บท้ายบท ระบุว่า “จดหมายใบบอกกรมพระราชวังบวรฯ ฉบับนี้ ไม่ได้ตัดรอน กล่าวไว้เต็มตามต้นฉบับเดิม เพราะจะให้ท่านทั้งหลายฟังสำนวนท่านโบราณเป็นขนบธรรมเนียมราชการต่อไปภายหน้า”[12]

มีความตอนหนึ่ง (ซึ่งในพระราชพงศาวดารได้ตัดออก) ก็คือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ มีพระราชดำริจะลงโทษเหล่าแม่ทัพนายกองล้านนากับหลวงพระบางอย่างเด็ดขาด “หัวเมืองลาวพุงดำและหลวงพระบาง ที่ยกทัพมาล่าไม่ทันราชการทั้งหกเมืองนั้น ปรับโทษหัวเมืองทั้งหกว่า มาตีเวียงจันท์ไม่ทันทัพหลวงมีความผิดมาก ตกอยู่ในระหว่างเป็นกองทัพ มีโทษตามบทกฎหมายพระอัยการศึก”[13]  

ภาพ อนุสาวรีย์สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ณ วัดไพชยนต์พลเสพย์ จังหวัดสมุทรปราการ (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม)

เมื่อเห็นภัยกำลังมาถึงตัว ฝ่ายล้านนากับหลวงพระบาง จึงได้รีบเข้าเฝ้าสมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมมหาศักดิพลเสพย์ ขอพระราชทานอภัยโทษและขอทำคุณทดแทน “ฝ่ายพระยานครลำปาง พระยาน่าน พระยาแพร่ พระยาอุปราชเชียงใหม่ พระยาอุปราชลำพูน เจ้าอุปราชหลวงพระบาง และแสนท้าวพระยาลาวนายทัพนายกองทั้งหกเมือง เข้าชื่อกันทำเรื่องราวสารภาพรับผิดถวายแม่ทัพหลวง ขอพระราชทานทำการฉลองพระเดชพระคุณแก้ตัวต่อไป รับอาสาจะติดตามจับตัวเจ้าอนุ และเจ้าจำปาศักดิ์ เจ้าราชวงศ์ เจ้าสุทธิสาร เจ้าโถง เจ้าหน่อคำ และบุตรภรรยาญาติของเจ้าอนุ มาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายให้ได้ ถึงมาดว่าจะมิได้ตัวกบฏเหล่าร้ายเหล่านี้ก็ดี ก็คงจะคิดจัดการบ้านเมืองไม่ให้กบฏเหล่าร้ายเหล่านี้กลับมา ตั้งที่บ้านเมืองให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินต่อไปได้”[14]

แม้จะได้รับการพระราชทานอภัยโทษ แต่ที่ขอตามจับตัวเจ้าอะนุวงและขอควบคุมดูแลการกวาดต้อนครัวนั้น ไม่ได้รับอนุญาต เพราะอย่างที่ระบุไว้แล้วว่า สิ่งที่สร้างความไม่พอใจต่อล้านนาเวลานั้น นอกจากส่งทัพมาช่วยล่าช้าไม่ทันการแล้ว ยัง “ชุบมือเปิบ” กวาดเก็บเอาสินสงครามที่ควรจะเป็นของสยามแต่เพียงผู้เดียวไปเป็นของตน

แน่นอนว่าตามมุมมองของสยาม ย่อมไม่มีประเด็นว่าชาวเวียงจันบางส่วนได้อพยพหลบลี้พวกตนไปอยู่ล้านนาเอง การแพร่หลายของวัฒนธรรมล้านซ้างในบางเมืองของล้านนาที่มีเขตแดนติดต่อกับล้านซ้าง ถึงกับทำให้เมืองอย่างน่านเกิดความสับสนในชั้นหลังมานี้ว่า ตกลงแล้ววัฒนธรรมน่านเป็นวัฒนธรรมล้านนาหรือล้านซ้างกันแน่? 

นั่นเป็นปัญหาของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งต้องการแสวงหาอัตลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่น (และของชาติ) แต่ในอดีตสิ่งนี้ไม่ได้มีความจำเป็นมากเท่าไรนัก ตรงข้ามการแลกเปลี่ยนผสมผสานกันข้ามวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่พบเห็นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั่วไป น่านกับล้านซ้าง (ทั้งหลวงพระบางและเวียงจัน) อยู่ใกล้ชิดติดกัน ผู้คนย่อมเดินทางไปมาค้าขายและแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ร่วมกันมาเป็นปกติ  และอันที่จริงการเกิดอัตลักษณะเฉพาะที่ว่านั้นก็มีที่มาจากการแลกเปลี่ยนผสมผสานที่ว่านี้ด้วยซ้ำ   

เจ้าอะนุวง (เมื่อครั้งยังจงรักภักดีต่อสยาม) กับ ศึกเชียงแสน

น่าสังเกตว่า หัวเมืองอย่างเชียงแสน เชียงราย พะเยา ไม่ได้เข้าร่วมในศึกนี้ เชียงแสนบอบช้ำจากที่เคยถูกกองทัพเจ้าอะนุวงเมื่อครั้งยังจงรักภักดีต่อสยามบุกตีสร้างความเสียหายมาก จึงเข้าใจได้ที่ไม่มีทัพจากแอ่งเชียงราย-ลุ่มน้ำกก เข้าร่วมศึกในครั้งนี้ เอกสาร “พื้นเมืองเชียงแสน” ได้เล่าถึงความเป็นอริต่อกันระหว่างเชียงแสนกับล้านซ้าง เชียงแสนเคยเผชิญการรุกรานจากหลวงพระบางหลายครั้ง ในทัพพม่าที่ไปตีเวียงจันสมัยพระเจ้าไซยะเซดถาทิลาด ก็มีทัพเชียงแสนร่วมไปกับทัพพม่าด้วย แต่ก็แพ้เวียงจันอย่างยับเยิน  

จนกระทั่งถึงพ.ศ. 2345 (2 ปีก่อนเจ้าอะนุวงขึ้นครองราชย์) “เจ้าอิน เมืองจันทปุรีแล (หมายถึงเจ้าอินทะวง กษัตริย์เวียงจันขณะนั้น-ผู้อ้าง) เจ้าอุปราชอนุตนน้อง (คือเจ้าอะนุวง พระราชอนุชาของเจ้าอินทะวง สมัยยังเป็นเจ้าอุปฮาด-ผู้อ้าง) แลอโยธิยา (ในที่นี้หมายถึงกรุงเทพฯ-ผู้อ้าง) เจ้ากาวิละเชียงใหม่ ลคอร เมืองแพร่ เมืองน่าน ทั้งมวลกำลังมีแสน 2 หมื่น ขึ้นมารบเชียงแสน”[15]  

ถึงจะเป็นศึกตีเชียงแสนที่อยู่ภายใต้การปกครองของพม่า แต่หลักฐานของเชียงแสนเอง ระบุว่าเป็นการรุกรานจากสยามและลาว โดยมีพม่าและเชียงของช่วยป้องกันเมือง  กองทัพเหล่านี้ผลัดกันตีเชียงแสน เมืองอื่นไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ ลคร (ลำปาง) แพร่ น่าน ต่างก็เข้าตีแบบ “พอเป็นพิธี” แล้วก็ถอยทัพกลับบ้านเมืองตนไป แต่ทัพสุดท้ายที่เข้าตีคือทัพเวียงจันนำโดยเจ้าอะนุวง กลับไม่ใช่อย่างนั้น “พื้นเมืองเชียงแสน” เล่าบรรยายฉากการสู้รบระหว่างเชียงแสน (ที่อยู่ใต้อำนาจพม่า) กับกองทัพลาวนำโดยเจ้าอะนุวง ไว้อย่างดุเดือด เป็นศึกที่หนักหนาสาหัสสำหรับชาวเชียงแสนมาก ดังจะเห็นได้จากตัวบทหลักฐานต่อไปนี้:    

“เดือน 3 แรม 13 ฅ่ำ วันจันทร์ ลาวขึ้นมารอดเวียงแล้ว ก็รบทางน้ำทางบกทุกฝ่าย เสียงอมอกสินาดเหมือนดั่งฟ้าร้อง (ทั้ง) 2 ฝั่งน้ำของ (แม่น้ำโขง-ผู้อ้าง) แหน้นหนา เขาก็มาแปลงขัวพ่วงหว่ายมาหาเวียงแล เมื่อนั้นเจ้าฟ้าเมืองยองฅนทัพพายเรือข้ามแหกตัดหัวขัว เขาฝ่ายพุ้นก็ปุดตกน้ำของ ลาวก็ไหลน้ำแม่ของ ชาวเวียงเชียงแสนออกพายเรือออกข้า (ฆ่า) กับน้ำ ลาวตายมากนักแล ทางฝ่ายวันตกลาวออกรบแต่สบกกไปตราบเถิงเวียง แล้วมีในวัน 1 ลาวลู่เข้าปะตูท่าม่าน (เข้า) ไปได้ซาววาแล้ว เมื่อนั้นเจ้าพระญาเชียงรายก็ยกพลกับลูกน้อง 300 ฅน ก็ขี่ม้าออกไล่แทงลาว ลาวก็แตกหนีออกเวียงไป ก็ไล่ทวยแผวสบน้ำแม่ตำแล แทงลาวตายตกน้ำแม่ของเปนอันมากแล

เดือน 5 แรม 12 ฅ่ำ วัน 7 ลาวเอาเรือ (บรรทุก) อมอกหลวงเลียบริมน้ำของฝ่ายนี้ขึ้นมารอดสบซัน หั้นแล เจ้าพระญาเชียงของกับลูกน้อง 10 ฅน ไปหลอนยิงลาว ลาวแตกพ่ายหนีละเรืออมอกเสียแล้ว ท่านก็เอาลูกน้อง 10 ฅนนั้น เอาเรืออมอกนั้นเลียบขึ้นของ (โขง) มา ฅนบ่แพ้เรือมาช้าบ่โว้ยเสีย ลาวฅืนมายิงพระญาเชียงของตายเสีย ลาวฅืนได้อมอกไปแถมแล ถัดนั้นมาลาวก็เข้าล้อมเวียงด้านใต้ด้านวันตกข้างเหนือไฅว่ 3 ชั้นชุด้าน ฝ่ายทางวันออกก็ออกดอนแท่น ที่นั้นเต็มไปด้วยลาวแล

เดือน 6 ออก 9 ฅ่ำ วัน 5 เจ้าพระญาเทิงถูกสินาดลาวยิงตายแล ลาวก็ขุดดันพื้นกำแพงเข้าชุด้านชุพาย ทังพายในเวียงก็ต้มน้ำร้อนหล่อลง ลาวตายด้วยน้ำร้อนลวกมากนัก เขาทนบ่ได้ก็หยุดเสียแล เดือน 6 แรม 3 ฅ่ำ วัน 7 เจ้าใหม่เมืองไรยถูกสินาด (ของลาว) ก็ตายไปแล เมื่อนั้นลาวก็ขุดเปนร่องเหมือง แต่ไกลเข้ามาก็มาปลูกหอเลอขึ้นงำเวียงอยู่ชุแห่งแล

เดือน 7 แรม 2 ฅ่ำ วัน 7 เจ้าฟ้าเชียงรายยกริพลไปยั้งกินเข้างายอยู่เสีย ลูกสินาด (ลาว) ลวดยิงถูกหน้าผากเข้า ลวดจุติตายไปแล เมื่อนั้นเจ้าฟ้าโมยหงวร นาขวาแล โป่ซุก ก็เสียกีบเล็บฅนหานเสี้ยงแล ก็พร้อมกันปลงเมือง หื้อเจ้าฟ้าเมืองยองเล่าแล เมื่อนั้นก็พร้อมกันเก็บเอาทองได้ล้าน 1 มาหล่อได้อมอกบอก 1 แล้วก็ยิงหอเลอลาวแล แต่นั้นมาลาวเข้าแปลงหอเลอใกล้บ่ได้ เขาก็แวดอยู่ที่ไกลรบแล ลาวก็เอาอมอกขึ้นอยู่เขาจอมกิตติพุ้น ยิงมาตกกลางเวียงเล่าแล เมื่อนั้นในเวียงค็ขุดคะทูกอยู่แล

สักราชได้ 1165 ตัว ปีก่าใค้ (พ.ศ.2346/1803) เดือน 8 เพ็ง เม็งวัน 7 แล ไทยกัดเหม้า ครูบามหาสังฆราชาวัดสังกามีนามกรว่า กุลวงศ์ อนิจจะกัมม์ไป ยามรุ่งแจ้งแล้ว ก็สร้างใส่ปราสาทห้างรูปหัสดีลิงค์แล้วก็ทำเรือใส่สการเสียที่ท่าหลวงหั้น ในวันเดือน 9 ออก 3 ค่ำ วัน 3 ไทยรวายสัน ยามตาวันซ้ายแล เดือน 9 ออก 7 วันจันทร์ ยามนั้นหัวเสิก็ลาวผู้ชื่อว่า พระญาตับเหล็กนั้นกับลูกน้อง 20 ฅน ก็เปี่ยงกำแพงเวียงเข้ามา ยามนั้นท้าวใจเหล็กสีมือดี ยิงถูกหัวแก่มันไปสนามแล้ว ถามเชื้อใด ก็บ่ปาก ก็เอาไปข้า (ฆ่า) ที่ปะตูท่ากัมม์หั้น ฟันเชื้อใด ก็บ่เข้า ลวดเหลี้ยมไม้จดเข้ารูก้นผดออกซอกฅอแล้วมันก็ฅลายเพ็ก (เพชร) ยังปากมันออกมาแล้วก็ตายไป หั้นแล ก็ตัดเอาหัวมันแล้ว ก็เอาไปไหลน้ำของเสียแล้ว ก็เอาหัวมันเสียบไม้เหลี้ยมปักไว้หนทางหลวง หั้นแล เดือน 9 ออก 13 ฅ่ำ วัน 2 ไทยรวายสะง้า ยามรุ่งแจ้ง ลาวทังหลายก็ค้าน ถอยเรือล่องหนีไปวันนั้นแล”[16]

ทำไมเจ้าอะนุวงถึงทุ่มเทกับการตีเชียงแสนมากขนาดนั้น ไม่ตีแค่ “พอเป็นพิธี” เหมือนอย่างหัวเมืองอื่นๆ อาจเพราะต้องการครองเชียงแสน เพราะหากตีได้สำเร็จ เจ้าอินทะวงก็จะสามารถกราบทูลให้กษัตริย์สยาม (รัชกาลที่ 1) แต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองเชียงแสน ภายหลังยุทธศาสตร์นี้ได้ใช้กับจำปาสัก โดยตั้งเจ้าราชบุตร (เจ้าโย้) เป็นเจ้านครจำปาสัก ซึ่งเข้าทางเจ้าอะนุวงมากกว่าเชียงแสนอีก เพราะถือเป็นการรวมอาณาจักรลาวที่เคยแตกแยกเข้าด้วยกัน  นอกจากนี้สมัยนั้นอาณาจักรจำปาสักนอกจากมีอำนาจคุมหัวเมืองลาวใต้ต่อแดนกัมพูชาแล้ว ยังคุมบางส่วนของหัวเมืองแถบอีสานใต้ตอนล่างของลุ่มแม่น้ำมูน (ใครเขาพาเขียน “มูล” ไม่ใช่… ภาษาไทยมันแปลว่า “อุนจิ” คำนี้จริงๆ คือ “มูนมัง” ที่ลาวอีสานแปลว่า “มรดก” ต่างหากล่ะ!!!)   

“พื้นเมืองเชียงแสน” ให้ภาพเจ้าอะนุวงในฐานะผู้รุกรานล้านนา และไม่ได้มีแต่หลักฐานของเชียงแสนเท่านั้นที่กล่าวถึงบทบาทของเจ้าอะนุวงเช่นนี้ เอกสารประเภทตำนานของเชียงใหม่และเชียงราย ต่างก็ให้ภาพเจ้าอะนุวงไปในทางเดียวกัน เพราะช่วงเวลาห่างกันไม่มาก เป็นธรรมดาที่ศึกเชียงแสนครั้งนี้จะอยู่ในสายตาของชนชั้นนำล้านนาอยู่ด้วย ถึงแม้เชียงแสนช่วงนั้นจะอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า แต่การศึกครั้งนี้ก็เห็นแล้วว่าเจ้าอะนุวงต้องการขยายอำนาจเข้ามาล้านนา หรือไม่ก็ต้องการครัวชาวล้านนากลับไปเวียงจัน

นัยยะของเอกสารล้านนาที่เล่าเรื่องนี้ดูจะสอดคล้องตรงกันในแง่ว่า กองทัพที่สร้างความเสียหายให้แก่เชียงแสนมากที่สุดในศึกนี้ก็คือทัพเจ้าอะนุวง  ช่วงที่ยังจงรักภักดีต่อสยาม เจ้าอะนุวงเคย “เล่นใหญ่” มาก่อน ดังนั้นจึงเข้าใจได้ที่เมื่อเจ้าอะนุวงเปลี่ยนมาตีสยาม ชนชั้นนำล้านนาอาจจะไม่ไว้วางใจ เพราะเคยเห็นฝีมือมาแล้วในศึกเชียงแสนรวมทั้งศึกอื่นๆ (เช่น ศึกเชียงตุง) เจ้าอะนุวงก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี ยังแสดงท่าทีและทำการศึกแข็งขันในฐานะประเทศราชสยาม

ถ้าหากเป็นแผนลวง หัวเมืองที่เข้าร่วมกับเวียงจันครั้งนี้ก็ตกที่นั่งลำบาก ต้องถูกกองทัพสยามจัดการเสียเอง แต่ถึงอย่างนั้นแม่ทัพนายกองล้านนาก็ได้ลองเสี่ยง ทำตามที่เจ้าอะนุวงร้องขอคือการเดินทัพล่าช้า ซึ่งอาจเป็นเรื่องสมประสงค์กันทั้งสองฝ่าย  ใครจะอยากพาตัวเองเข้าสู่สมรภูมิรบที่ไม่ใช่สมรภูมิของตนเอง

หากว่าเป็นแผนลวงก็รอด หากว่าต้องไปรบกับเวียงจันและไปช้า อย่างมากก็ถูกสยามลงโทษและเมื่อไปถึงจู่ๆ ก็เข้าชื่อขอพระราชทานอภัยโทษจากแม่ทัพหลวง (คือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์) กันอย่างทันท่วงที นั่นก็แสดงว่ามีการ “เตรี๊ยม” กันไว้แล้ว ทางที่รอดปลอดภัยดีที่สุดก็คือเดินทัพล่าช้ากว่ากำหนดแล้วค่อยไปแก้ตัวเอานั่นแหล่ะ  ถ้ามองจากจุดของฝ่ายล้านนา ยังไงสูญเสียน้อยที่สุด ทางเลือกอื่นเสี่ยงเกินไป     

หากว่าเลือกเข้าข้างฝ่ายเจ้าอะนุวงโจมตีสยาม ก็ยังไม่แน่ว่าจะชนะ หรือต่อให้ชนะก็เป็นปัญหาอีกว่าจะเอายังไงต่อ ล้านนาจะสามารถตั้งตัวเป็นอิสระได้จริงๆ หรือแค่เปลี่ยนเจ้านายใหม่ จากเจ้ากรุงเทพฯ เป็นเจ้าเวียงจัน สภาพการณ์เช่นนั้นเห็นได้ชัดว่าจะบุ่มบ่ามใจร้อนหุนหันพลันแล่นไม่ได้ เพราะพลาดนิดเดียว ไม่ได้หมายถึงแค่ชีวิตของเหล่าแม่ทัพนายกอง หากแต่ชะตากรรมของบ้านเมืองของตนในช่วงเวลาหลังจากนั้น ไม่ง่ายที่จะตัดสินไปแบบเด็ดขาดแต่อย่างใดเลย

น่านกับเวียงจัน: ความสัมพันธ์ในระดับไพร่ราษฎร  

ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำด้วยกันก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องคือความสัมพันธ์ในระดับไพร่ราษฎร ล้านนากับล้านซ้างยังไงก็ต้องเคยปฏิสัมพันธ์กันเป็นธรรมดา โดยเฉพาะน่านกับหลวงพระบางที่มีพรมแดนติดต่อกัน กับเวียงจันก็มีเส้นทางติดต่อไปมาหาสู่ เมื่อเกิดสงครามเจ้าอะนุวง น่านเป็นเมืองที่ชาวเวียงจันเลือกที่จะอพยพลี้ภัยไปตั้งรกรากอยู่อาศัยด้วยมาก

ในทางกลับกัน เมื่อล้านนาเกิดมีศึกสงคราม เวียงจันก็เป็นจุดหมายปลายทางของผู้ที่ต้องการอพยพลี้ภัยเช่นกัน ดังปรากฏว่าเมื่อพ.ศ.2318 เจ้ามงคลวรยศ เมืองน่าน เคยลี้ภัยพม่าไปประทับอยู่ที่เวียงจัน เมื่อเวียงจันถูกกองทัพสยามโจมตีและกวาดต้อนเมื่อพ.ศ.2322 เจ้ามงคลวรยศกับสมัครพรรคพวกก็ถูกกวาดต้อนลงมาภาคกลางของสยามด้วย[17] 

จารึกฐานพระพุทธรูปวัดศรีบุญเรือง อ.ภูเพียง จ.น่าน ระบุถึงปีจุลศักราช 1155 (พ.ศ.2336) ช่วงที่เจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญเริ่มต้นฟื้นฟูเมืองน่าน ได้มีคำสั่งให้นำช่างทอง (ทองเหลือง) จากล้านช้างมาหล่อพระพุทธรูป[18] ซึ่งเป็นธรรมดาเพราะงานช่างทองช่างโลหะ ชาวล้านซ้างมีจุดเด่น เพราะเป็นกลุ่มชนแรกๆ ในภูมิภาคที่มีการทำเหมืองขุดแร่ทองนำออกสู่ตลาดการค้านานาชาติได้ช้านานแล้ว งานช่างทองและโลหกรรมจึงพัฒนามากในล้านซ้าง[19]   

อิทธิพลวัฒนธรรมล้านซ้างกลมกลืนกับน่านในล้านนา เพราะใกล้เคียงกัน หลังพ.ศ.2369 ซึ่งเป็นปีที่เจ้าอะนุวงเริ่มเปิดศึกกับสยามนั้น ก็เป็นช่วงที่มีชาวเวียงจันอพยพไปยังเมืองน่านมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แน่นอนว่าส่วนใหญ่หลังจบสงครามชาวเวียงจันถูกกวาดต้อนไปยังสยามมากกว่าไปที่อื่น  จาก “ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่” ได้ระบุถึงตัวเลขผู้คนที่ถูกกวาดต้อนครัวจากเวียงจันไปสยามว่ามี “มากกว่า 3 แสนเสส” เป็นตัวเลขที่จัดว่ามหาศาลมากสำหรับสมัยนั้น[20]

ณ เวลาเมื่อทำศึกกับสยามอยู่นั้นความสัมพันธ์กับน่าน แม้จะแน่นแฟ้นในระดับไพร่ราษฎร แต่ในระดับชนชั้นนำด้วยกันแล้ว ยังคงมีความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันอยู่สูง เรื่องที่จะรวมกำลังกันต่อต้านสยาม ยิ่งเป็นเรื่องห่างไกล แม้จะมีศัตรูคนเดียวกันก็ตาม    

วิธีการจัดการปกครองที่สยามใช้กับหัวเมืองประเทศราช ก็มีส่วนทำให้เกิดความแตกแยกไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ดังที่ “ราชวงศปกรณ์ พงศาวดารเมืองน่าน”[21] ได้เล่าว่ารัชกาลที่ 3 เป็นผู้รับรองอำนาจเป็นทางการแก่เจ้ามหายศ ให้เป็นเจ้านครน่าน และส่งเสริมให้เจ้ามหายศมีอำนาจวาสนามากขึ้นจากการให้ไปเป็นผู้ช่วยรั้งราชการเมืองหลวงพระบาง ทั้งนี้เพราะตั้งแต่ก่อนเกิดศึกเจ้าอะนุวงแล้วที่สยามไม่ไว้วางใจ กลัวว่าล้านนากับล้านซ้างจะรวมตัวกันได้แล้วพุ่งเป้ามาหากรุงเทพฯ จึงคอยยุยงส่งเสริมให้เกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันเรื่อยมา

นครราชสีมาก็ได้รับการส่งเสริมให้มีอำนาจควบคุมอีสานมากเสียจนไปกระทบผลประโยชน์ของเวียงจันและจำปาสักอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยน “กองส่วยอีสาน” ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่นครราชสีมา ให้เป็น “กองสักเลข” และให้มีอำนาจเดินทัพไปล่าจับคนมาสักเลขเป็นทาสเข้ากรมกองจากบริเวณอีกฝั่งฟากแม่น้ำโขง โดยไม่คำนึงว่าจะล้ำแดนล่วงเข้าไปในถิ่นของเวียงจัน จำปาสัก หรือหลวงพระบาง

ภาพ อนุสาวรีย์สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ณ วัดไพชยนต์พลเสพย์ จังหวัดสมุทรปราการ (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม)

ภาพ ชาวอีสาน พิธีเผาศพตามประเพณีแบบพื้นเมืองสองฝั่งโขง ภาพลายเส้นฝีมือชาวยุโรป เขียนสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงต้นแผ่นดินรัชกาลที่ ๕ (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม)

กองสักเลขที่เที่ยวออกไปล่าจับคนในเขตล้านซ้างมาเป็นทาส และเป็นกองที่ถูกส่งไปโดยเจ้าเมืองนครราชสีมาซึ่งได้รับการสนับสนุนรับรองอำนาจนี้โดยชนชั้นนำกรุงเทพฯ นี้เอง จากเอกสาร “พื้นเวียง”[22] ได้เล่าว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เวียงจันกับจำปาสักรู้สึกหมดความอดทนอดกลั้น และเมื่อทัพเวียงจันลงมายึดนครราชสีมาไว้ได้แล้ว กวาดต้อนผู้คนไปเสร็จ จึงได้ทำการ “ล้างแค้น” โดยเจ้าอะนุวงให้เผาเมืองนครราชสีมาเสีย อีกทั้งยังเป็นการทำลายฐานที่มั่นและแหล่งเสบียงอาหารสำคัญสำหรับกองทัพสยามที่จะยกขึ้นมาตีเวียงจันอีกด้วย

ตามความในจดหมายกราบบังคมทูลฯ ถวายรายงานแด่พระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ ได้ระบุถึงข้อผิดพลาดของฝ่ายเจ้าอะนุวงที่ทำให้ฝ่ายสยามได้เปรียบ ก็คือทำลายหัวเมืองที่อยู่ที่เส้นทางเดินทัพแค่เมืองนครราชสีมา เมืองอื่นไม่ได้ทำ ทำให้เมื่อกองทัพสยามไปถึงก็หาเสบียงอาหารและตั้งค่ายมั่นได้

แต่หากมองในแง่สภาพหัวเมืองอีสานเวลานั้น ที่จริงหัวเมืองที่อยู่ข้างฝ่ายสยามจริงมีเพียงนครราชสีมา ชัยภูมิ และกาฬสินธุ์ นอกนั้นส่วนใหญ่อยู่ฝ่ายเวียงจันหมด เจ้าอะนุวงต้องการเพียงกวาดต้อนครัวขึ้นไปเวียงจัน การทำลายหัวเมืองที่มิตรเป็นพรรคพวกของตนอยู่แล้ว นอกจากจะไม่มีความจำเป็นแล้ว ยังจะสร้างความเสียหายให้แก่ฝ่ายตน เมืองที่อยู่ข้างตนแล้วยังไปทำลาย ก็อาจทำให้มิตรกลายเป็นศัตรูไปอยู่ข้างฝ่ายสยามได้ง่าย

ตรงข้ามการทำลายเมืองที่เป็นอริกันมาแต่เดิม ก็เป็นตัวอย่างว่าถ้ายังอยู่กับสยามจะมีชะตากรรมเป็นอย่างไร อันที่จริงชนชั้นนำท้องถิ่นในอีสานเวลานั้นต่างก็มีความไม่พอใจต่อเจ้าเมืองนครราชสีมาอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  เพราะเป็นหัวเมืองใหญ่ที่อาศัยการยึดโยงกับอำนาจสยามไปกดขี่ข่มเหงบ้านเล็กเมืองน้อยอื่นๆ แถมเมื่อเปลี่ยน “กองส่วย” เป็น “กองสักเลข” เที่ยวล่าจับไพร่บ้านพลเมืองไปเป็นทาสเชลย ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชนชั้นนำท้องถิ่นทั้งในหัวเมืองอีสานและล้านซ้าง       

นัยยะของคำว่า “ฟื้นพระมหากระสัตรเจ้า” ในหลักฐานล้านนา

ในเอกสารหลักฐานของล้านนา มักจะมีคำหนึ่งปรากฏอย่างสม่ำเสมอในการอธิบายให้ความหมายต่อการกระทำของเจ้าอะนุวง คือคำว่า “ฟื้นมหากระสัตรเจ้า” เช่นใน “ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่” ระบุถึงเจ้าอะนุวงและสาเหตุที่ทำสงครามกับสยามว่า “ในขณะนั้น เจ้าอนุเวียงจันคึดกบถฟื้นพระมหากระสัตรเจ้า[23]

นัยความหมายของคำว่า “พระมหากระสัตรเจ้า” ที่เจ้าอะนุวงจะ “ฟื้น” ขึ้นใหม่นี้คืออะไร? เข้าใจได้จากการอธิบายในเชิงคู่ตรงข้าม เมื่อผู้บันทึกหลักฐานก็ระบุถึงสถานะของกษัตริย์กรุงเทพฯ ด้วยคำเดียวกันนี้ เช่นว่า เมื่อทัพเชียงใหม่มารวมกับทัพลำพูนแล้ว “ก็ยกริพลโยธาไปด้วยระยะมัคคาตรายเถิงเวียงจันบรรจบกองทัพหลวงพระมหากระสัตรเจ้าแล้วเข้ายุทธกัมม์เอาเวียงจัน”[24]

“ทัพหลวงพระมหากระสัตรเจ้า” ที่ “ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่” กล่าวถึงในที่นั้นคือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ กษัตริย์วังหน้าของสยามสมัยนั้น คำนี้ต้องใช้สำหรับกษัตริย์วังหลวง (พระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ 3) ด้วยเป็นแน่

นอกจากนี้ ตาม “พื้นเมืองเชียงแสน” ก็ยังเคยระบุถึงพระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ด้วยคำเดียวกันนี้ว่า “ตั้งแต่มหากระสัตรมกโชนั่งแท่นแก้วอังวะแล”[25]  (คำว่า “มกโช” นี้หมายถึง “มุกโชโบ” ตำบลบ้านของอองไจยะ (พระเจ้าอลองพญา) ก่อนจะสถาปนากรุงอังวะ) หรืออย่างอีกแห่งหนึ่ง เอกสารเดียวกันนี้ก็กล่าวว่า “บัณณาการ ช้างร้อย ม้าร้อย งัวร้อย ควายร้อย ซุอันได้มาแล้วเอาลงไปถวายมหากระสัตรเจ้าอังวะ หั้นแล”[26]  

สถานะของกษัตริย์กรุงเทพฯ กับกษัตริย์อังวะเหมือนกันอยู่อย่างคือความเป็นราชาเหนือราชาองค์อื่น หรือก็คือ “พญาจักรพรรดิราช” คำว่า “มหากระสัตรเจ้า” ก็คือคำเรียกกษัตริย์ผู้เปรียบเสมือนเป็นพญาจักรพรรดิราชนั่นเอง 

การปรากฏคำนี้อธิบายการกระทำของเจ้าอะนุวง จึงสะท้อนความรับรู้และเข้าใจสาเหตุเบื้องหลังของสงครามเจ้าอะนุวงว่าเป็นสงครามเพื่อฟื้นฟูสถานภาพจักรพรรดิราชของกษัตริย์ล้านซ้าง สมัยนั้นคำว่า “เอกราช” จะหมายถึง “เอกราชา” คือราชาผู้เป็นที่หนึ่งในท่ามกลางราชาองค์อื่นๆ ยังไม่ได้มีความหมายเท่ากับเอกราชของชาติบ้านเมือง 

อย่างไรก็ตาม ก็เป็นธรรมดาที่นักประวัติศาสตร์ลาวในชั้นหลังจะนิยมอธิบายให้ความหมายต่อศึกเจ้าอะนุวงว่าเป็นการลุกขึ้นสู้เพื่อเรียกร้อง “เอกราช” ในลักษณะเดียวกับที่ขบวนการชาตินิยมในอุษาคเนย์กำลังต่อสู้เรียกร้องกันอยู่ในยุคหลัง ทั้งนี้เพราะเจ้าอะนุวงได้รับการยกย่องเป็น “วีรบุรุษแห่งชาติ” ของลาว[27] 

แต่ในหลักฐานประวัติศาสตร์ล้านนา ผู้บันทึกต่างมองว่า เจ้าอะนุวงทำสงครามเพื่อฟื้นฟูสถานะของตนเองให้กลับมาเป็นใหญ่เหมือนเช่นกษัตริย์ล้านซ้างในอดีต เป็นเรื่องผลประโยชน์ของราชวงศ์เจ้าอะนุวงเอง ดังนั้นหากเจ้าอะนุวงชนะศึกนี้จึงอาจจะยังไม่นำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่ล้านนา เพราะแค่จะเปลี่ยน “พระมหากระสัตรเจ้า” องค์ใหม่เท่านั้น  

เมื่อคิดเห็นไปในทางนั้น จึงส่งผลให้เกิดความลังเลและยังไม่อาจไว้วางใจได้ ผลประโยชน์ยังไม่ลงตัวและอันที่จริงก็ไม่ปรากฏว่ามีการติดต่อเจรจาเพื่อตกลงร่วมกันมาก่อนเลยว่า หากชนะศึกนี้แล้วล้านนาจะได้อะไรเป็นการตอบแทนบ้าง  ต่างจากฝ่ายสยามที่เรื่องนี้จะมาก่อนเป็นอันดับแรก  แต่อย่างไรก็ตาม หากมองจากจุดของฝ่ายเจ้าอะนุวง ขณะนั้นเวียงจันอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากล้านนามากกว่าแค่เดินทัพล่าช้า เพราะต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ เรื่องพวกนั้นอาจตกลงกันทีหลังก็ได้

บทสรุปและส่งท้าย

จะเห็นได้ว่า ศึกเจ้าอะนุวง พ.ศ.2369-2371 นี้เป็นศึกใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยต้นรัตนโกสินทร์ เพราะมีตัวละครที่ไม่ใช่แค่สยามกับเวียงจัน หากแต่มีตัวละครอื่นๆ อีก พัวพัน “อิรุงตุงนัง” กันไปหมด จนไม่รู้ใครมิตร-ใครศัตรู (ไม่มีมิตรแท้-ศัตรูเทียม)

ไม่เหมือนสงครามที่ไทยรบกับพม่า ตีพม่าพ่ายไปก็จบ แต่ศึกเจ้าอะนุวงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเมื่อเจ้าประเทศราชหนึ่งลุกขึ้นมาประกาศตนเป็นอิสระและแถมยกทัพลงมากวาดต้อน ก็สะเทือนในระดับภูมิภาค ในเมื่อล้านซ้างเวียงจันไม่ใช่ประเทศราชเพียงเมืองเดียวในเวลานั้น นอกจากเวียงจัน อีสาน และลาวใต้จำปาสักแล้ว สยามจึงต้อง “เหลือบตามองบน” ไปที่ล้านนาและหลวงพระบางด้วยว่าจะอยู่ข้างไหน ในเมื่อล้านนากับหลวงพระบางดุจะมีผลประโยชน์ร่วมกับเวียงจันอยู่   

จากที่เอกสารล้านนาให้นัยความหมายการกระทำของเจ้าอะนุวงด้วยคำว่า “ฟื้นพระมหากระสัตรเจ้า” ทำให้ทราบว่าแท้ที่จริงล้านนาไม่ใช่ไม่อยากเข้าร่วมฝ่ายเจ้าอะนุวง แต่เพราะเข้าใจไปว่ายังไม่อาจร่วมผลประโยชน์กันได้เต็มที่ แต่ไม่ถึงกับต้องเป็นศัตรูกันตั้งแต่ต้น เพราะก็หัวอกเดียวกัน อยู่ใต้อำนาจกดขี่เดียวกัน และลึกๆ ก็ต้องการปลดแอกเหมือนกัน  

แต่ไม่อาจไว้วางใจเจ้าอะนุวงได้เต็มที่ เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่าเมื่อครั้งยังจงรักภักดีต่อสยามนั้น เจ้าอะนุวงได้ “เล่นใหญ่” อย่างไรในศึกที่สยามสั่งให้ตีเชียงแสน นอกจากนี้ คำนี้ (ฟื้นพระมหากระสัตรเจ้า) ยังใช้อธิบายการกระทำของฝ่ายล้านนาได้ด้วยว่า เพราะเหตุใด ทำไมจึงต้องรอเลือกข้างเอาก็เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้  ไม่ถึงกับเป็นพฤติกรรมแบบ “อยู่เป็น” แค่รอจังหวะ

หากทัพเวียงจันที่ค่ายส้มป่อยยื้อเวลาต่อต้านกองทัพสยามไว้ได้นานกว่านั้น หรือหากกองทัพเวียงจันไม่หยุดอยู่แค่สระบุรี ยกลงไปประชิดกรุงเทพฯ ฝ่ายล้านนาจะมีตัวเลือกอยู่เพียง 2 ทาง คือ ยกลงตีทัพเวียงจัน สร้างความดีความชอบต่อสยาม แล้วกลับบ้านเมืองตนไปเป็นอย่างเดิม กับอีกทางเลือกคือช่วยทัพเวียงจันรุมกรุงเทพฯ เสีย แล้วกลับบ้านเมืองไปตั้งตัวเป็นอิสระ

ต้องขอบอกว่าแนวโน้มของการเลือกในแบบที่ผู้บันทึกเอกสารล้านนากล่าวเป็นนัยๆ ไว้นั้น คือทางเลือกที่สอง แต่ก็นั่นแหล่ะ ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะในโลกที่คนพร้อมจะเอนไหวไปตามแรงจูงใจในผลประโยชน์ (ที่คาดว่าจะได้รับ) นั้นไม่มีอะไรแน่นอนตายตัวหรอก

อย่างไรก็ตาม การพยายามยืนยันสิทธิที่จะเป็นอิสระของคนลาวล้านซ้าง จะถูกพูดถึงอีกครั้งในปลายศตวรรษเดียวกัน เมื่อชาติตะวันตกแผ่อิทธิพลเนื่องในลัทธิล่าอาณานิคมเข้ามาเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19  แล้วเจ้าอะนุวงกับชาวเวียงจันก็สมหวังทางอ้อมเมื่อปลดแอกจากฝรั่งเศสได้ ก็ตั้งตัวเป็นประเทศอิสระ ขณะที่ล้านนายังคงถูกยึดครองโดยสยามมาจนทุกวันนี้…             

เชิงอรรถ


[1] จารุวรรณ ธรรมวัตร (บก.ปริวรรตและเรียบเรียง). พงศาวดารแห่งประเทศลาวคือ หลวงพระบาง, เวียงจันท์, เมืองพวน และจำปาสัก. มหาสารคาม: สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม, ไม่ระบุปีที่พิมพ์.

[2] กรณีที่เป็นชื่อบุคคลและสถานที่ของลาว ผู้เขียนขออนุญาตเขียนตามอักขรวิธีของลาว รวมทั้งการระบุตัวสะกดและพยัญชนะต่างๆ ที่โควตมาจากหลักฐานล้านนา ก็ขออนุญาตคงไว้ตามเอกสารเดิมด้วย ทั้งนี้เพื่อรักษาตัวบทหลักฐานไว้คงเดิม แต่หากคำไหนเป็นคำเฉพาะ เข้าใจยากในภาษาไทย ก็จะวงเล็บภาษาไทยไว้ให้

[3] มะยุรี และ เผยพัน เหง้าสีวัทน์. เจ้าอะนุ 1767-1829: ปะซาซนลาวและอาซีอาคะเน (เลื่องเก่า, บันหาใหม่). (เวียงจัน: โรงพิมแห่งลัด, 1988), หน้า 35.

[4] สุเนด โพทิสาน และคะนะ. ปะหวัดสาดลาว (ดึกดำบัน-ปะจุบัน). (เวียงจัน: กะซวงถะแหลงข่าวและวัดทะนะทำ, 2000), หน้า 380-381.

[5] สุวิทย์ ธีรศาศวัต. “ทำไมเจ้าอนุวงศ์จึงต้องปราชัย?” ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 27 ฉบับที่ 11 (กันยายน 2549), หน้า 76-90.

[6] กรณีบทบาทเวียดนามในศึกเจ้าอะนุวง ผู้เขียนอธิบายไว้แล้วใน กำพล จำปาพันธ์. “ศึกเจ้าอะนุวงในเอกสารหลักฐานเวียดนาม” ทางอีศาน. ปีที่ 13 ฉบับที่ 152 (ธันวาคม 2567), หน้า 41-47.  

[7] เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค). พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 3. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2538.

[8] “ศุภอักษรเมืองหลวงพระบาง” ใน ประชุมจดหมายเหตุเรื่องปราบกบฏเวียงจันท์. (พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนกร, 2473), หน้า 137-138.

[9] คนมักจะเข้าใจผิดไปว่า แม่ทัพหลวงคือพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) หรือต่อมาเมื่อเสร็จศึกเจ้าอะนุวงได้เลื่อนตำแหน่งเป็น “เจ้าพระยาบดินทรเดชา” แต่ที่จริงจากหลักฐานชั้นต้น แม่ทัพหลวงในศึกนี้คือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ต่างหาก ดังนั้นที่มีเอกสารจดหมายเหตุในหมวดชื่อ “ระยะทางเสด็จพระราชดำเนินกองทัพหลวง ตั้งแต่กรุงเทพฯ ถึงเมืองเวียงจันท์ ปีจออัฐศก 1188” นั้น คำว่า “กองทัพหลวง” หรืออย่างคำว่า “เสด็จพระราชดำเนิน” ไม่ได้หมายถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 ทรงเป็นแม่ทัพหลวงเสด็จยกทัพไปเวียงจันด้วยพระองค์เอง หากแต่เป็นสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์เป็นแม่ทัพหลวง เพราะสถานะของเจ้านายวังหน้าสมัยนั้นเป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง กองทัพที่ทรงบัญชาการรบนั้นจึงใช้ชื่อ “กองทัพหลวง” ได้ไม่ผิดแผกอันใด ดูเอกสารนี้ได้ใน จดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 เล่ม 2. (กรุงเทพฯ: กองจดหมายเหตุ หอสมุดแห่งชาติ, 2530), หน้า 77-84.  

[10] เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค). พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 3, หน้า 25.

[11] เรื่องเดียวกัน, หน้า 26.

[12] ก.ศ.ร.กุหลาบ (กุหลาบ ตฤษณานนท์). อานามสยามยุทธ. (นนทบุรี: ศรีปัญญา, 2564), หน้า 109. 

[13] เรื่องเดียวกัน, หน้า 105.

[14] เรื่องเดียวกัน, หน้า 105-106.

[15] ประชุมพงศาวดารฉบับราษฎร์: พื้นเมืองเชียงแสน. ปริวรรตโดย สรัสวดี อ๋องสกุล, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์, 2546), หน้า 252.

[16] เรื่องเดียวกัน, หน้า 252-254.

[17] บริพัตร อินปาต๊ะ. “ล้านช้างในน่าน: ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับชาวล้านช้างในน่านยุคพุทธศตวรรษที่ 24-25” วารสารวิชาการมนุษย์และสังคม. ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2565), หน้า 292.

[18] เรื่องเดียวกัน, หน้า 293.

[19] ดูรายละเอียดใน กำพล จำปาพันธ์ และโมโมทาโร่. Downtown Ayutthaya ต่างชาติต่างภาษา และโลกาภิวัตน์แรกในสยาม-อุษาคเนย์. (กรุงเทพฯ: มติชน, 2566), หน้า 65-66.

[20] ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ฉบับเชียงใหม่ 700 ปี. (เชียงใหม่: ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่, 2538), หน้า 167.

[21] “ราชวงศปกรณ์ พงศาวดารเมืองน่าน” ใน ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 7. (กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2545), หน้า 309.

[22] จารุบุตร เรืองสุวรรณ (บก.). พื้นเวียง (กลอน 7) พงศาวดารเวียงจันทน์ สมัยพระเจ้าอนุรุทธาธิราช (พระเจ้าอนุวงศ์). กรุงเทพฯ: สมาคมประวัติศาสตร์, 2525; ดูการศึกษาความสำคัญของเอกสารนี้ใน ธวัช ปุณโณทก. พื้นเวียง: การศึกษาประวัติศาสตร์และวรรณกรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2526.

[23] ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่. ปริวรรตโดย อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว และเดวิด เค. วัยอาจ, (เชียงใหม่: ตรัสวิน, 2543), หน้า 211.

[24] เรื่องเดียวกัน, หน้า 212.

[25] ประชุมพงศาวดารฉบับราษฎร์: พื้นเมืองเชียงแสน. ปริวรรตโดย สรัสวดี อ๋องสกุล, หน้า 232.

[26] เรื่องเดียวกัน, หน้า 238.

[27] ตัวอย่างการอธิบายให้ความหมายต่อบทบาทของเจ้าอะนุวงเช่นนี้ก็อย่างเช่น อู่คำ พมวงสา. ความเปนมาของลาว หรือเล่าเลื่องซาดลาว. เวียงจัน: ยุวะสะมาคมแห่งปะเทดลาว,  1958; พูทอง แสงอาคม. ซาดลาว คนลาว อะดีดและปะจุบัน. เวียงจัน: โรงพิมนะคอนหลวง, 2006; ดวงไซ หลวงพะสี. วีละบุลุดแห่งแผ่นดินลาวล้านซ้าง. เวียงจัน: โรงพิมแห่งลัด, 2000.   

กำพล จำปาพันธ์

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...