จากกรณีที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งได้ยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เหล็กครอบคลุมพื้นที่กว่า 221 ไร่ในเขตเขาปูน เขาใหญ่ จังหวัดนครสวรรค์ พื้นที่เขาหินปูนอันอุดมสมบูรณ์ที่เปรียบเสมือนแหล่งต้นน้ำ แหล่งอาศัยของสัตว์ป่า และพืชพรรณหลากชนิด อีกทั้งยังเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ฝังรากอยู่ในวิถีชีวิต ความเชื่อ และจิตวิญญาณของชุมชนมาอย่างยาวนาน ประชาชนในพื้นที่จึงออกมาร่วมปกป้องทรัพยากรและคัดค้านกระบวนการขอประทานบัตรเหมืองแร่เหล็กในพื้นที่
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ‘กลุ่มคนรักษ์เขาปูน–เขาใหญ่’ ร่วมกับ ‘เครือข่ายชุมชนปกป้องทรัพยากรนครสวรรค์’ และภาคประชาชน จัดกิจกรรม ‘เวทีชาวบ้านปกป้องสิทธิชุมชน คัดค้านเหมืองแร่’ ณ ศาลาวัดเขาปูน ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี เพื่อแสดงพลังคัดค้านการขอประทานบัตรเหมืองแร่ และยืนยันจุดยืนในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและศักดิ์ศรีของชุมชนอย่างชัดเจน
ต่อมาในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 กลุ่มคนรักษ์เขาปูน-เขาใหญ่ พร้อมประชาชนในพื้นที่ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ยื่นหนังสือคัดค้านการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เหล็ก ทะเบียนคำขอที่ 4/2568 ต่อสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ผู้แทนพรรคประชาชน และผู้แทนคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระหว่างเวทีรับฟังความคิดเห็นที่จัดขึ้น ณ ศาลาวัดหนองตาราม พื้นที่ซึ่งเป็นจุดหมายของการทำเหมืองโดยบริษัทเอกชน
ประชาชน–ผู้นำรวมใจสาบาน ไม่เอาเหมืองในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของหนองโพ
กลุ่มคนหนองโพไม่เอาเหมือง ได้รวมตัวแสดงเจตจำนงแน่วแน่ในการคัดค้านเหมืองแร่เหล็ก ด้วยเหตุผลว่า พื้นที่กว่า 221 ไร่ที่ถูกยื่นขอประทานบัตรนั้น คือพื้นที่เขาปูน–เขาใหญ่ อันเป็นแหล่งต้นน้ำธรรมชาติ แหล่งน้ำซับซึม แหล่งอาศัยของสัตว์ป่า พรรณไม้ท้องถิ่น รวมถึงเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณของชุมชนมาหลายชั่วอายุคน
ในช่วงหนึ่งของกิจกรรม ชาวบ้านได้อัญเชิญพระบูชาหลวงพ่อเดิมมาประดิษฐานไว้กลางวงล้อมของผู้เข้าร่วม โดยมีผู้นำชุมชน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ร่วมอยู่ในบริเวณนั้น ท่ามกลางบรรยากาศเปี่ยมด้วยความเคารพและศรัทธา ชาวบ้านได้เชิญผู้นำท้องถิ่นออกมาสาบานต่อหน้าหลวงพ่อเดิม โดยมีทั้งกำนันตำบลหนองโพ ผู้ใหญ่บ้านจากหลายหมู่บ้าน และสมาชิกสภา อบต. กล่าวยืนยันเสียงหนักแน่นว่า “หากพี่น้องชาวบ้านทุกท่านไม่เอาเหมือง พวกเราทุกคนก็ไม่เอาเหมืองเช่นกัน” จากนั้นมัคนายกประจำหมู่บ้านได้ประกอบพิธีจุดธูปสาบานร่วมกันของผู้นำชุมชนทั้งหมดต่อหน้าพระบูชา ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านผู้คัดค้านนับร้อยที่เฝ้าดูด้วยความตั้งใจ
หลังเสร็จสิ้นพิธี ชาวบ้านผู้คัดค้านได้เชิญสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ออกมารับฟังความเห็น โดย ส.ส.ได้กล่าวกับประชาชนว่า ตนเองเพิ่งทราบข่าวการยื่นขอประทานบัตรในครั้งนี้ พร้อมยืนยันว่า หากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนไม่เห็นด้วย หน่วยงานรัฐก็ต้องรับฟัง แต่ก็ขอให้ประชาชนใจเย็น และไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย
กระบวนการรับฟังที่ประชาชนไร้อำนาจ
ในกระบวนการรับฟังความคิดเห็น การประชุมเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางเก้าอี้ว่างเปล่าจำนวนมาก โดยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เขต 5 พิษณุโลก และตัวแทนบริษัทเอกชนร่วมชี้แจงข้อมูล
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีชาวบ้านจำนวนมากที่ประสงค์จะเข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นตามสิทธิของผู้มีส่วนได้เสีย แต่กลับถูกจำกัดจำนวนผู้เข้าประชุม ชาวบ้านจึงได้เดินขึ้นศาลาและชูป้ายคัดค้านเหมือง พร้อมตะโกนเสียงประสาน “คัดค้าน! เหมืองแร่ออกไป!” ขณะที่หัวหน้าสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดก็ได้พยายามชี้แจงว่า เวทีนี้เป็นเพียงขั้นตอนตาม พ.ร.บ.แร่ 2560 ที่เปิดให้ผู้ยื่นขอประทานบัตรแนะนำตัว และรับฟังความคิดเห็น ไม่ใช่เวทีประชาพิจารณ์หรือการตัดสินใจใด ๆ โดยย้ำว่า “ราชการทำหน้าที่ตามระเบียบ ต้องเปิดโอกาสให้บริษัทชี้แจง จากนั้นจึงเข้าสู่เวที EIA ต่อไป”
คำชี้แจงนี้ยิ่งตอกย้ำความไม่พอใจของชาวบ้าน ที่ถามกลับว่า เวทีเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร หากเสียงของผู้มีส่วนได้เสียไม่มีผลต่อการตัดสินใจใดๆ พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการบันทึกมติของประชาชนลงในรายงานการประชุม แต่คำขอถูกปฏิเสธ
อย่างไรก็ตาม เวทีดังกล่าวกลับถูกปิดก่อนกำหนด โดยหัวหน้าสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดกล่าวปิดประชุมในเวลา 11.20 น. พร้อมระบุว่า การประชุมครั้งนี้ “ไม่ใช่การประชาพิจารณ์ ไม่ใช่การโหวต และไม่ได้เป็นการตัดสินใจใดๆ” ซึ่งทำให้ชาวบ้านหลายคนผิดหวัง เพราะเห็นว่ากระบวนการนี้ไม่สะท้อนความจริงใจในการรับฟังประชาชน
แม้ตัวแทนบริษัทเอกชนที่ยื่นขอประทานบัตรจะระบุว่า “ไม่มีการระเบิดภูเขา” และพร้อมทำตามกฎหมาย แต่กลับไม่สามารถตอบคำถามชาวบ้านเกี่ยวกับผลกระทบต่อระบบนิเวศ หรือมาตรการป้องกันอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย เช่น กรมป่าไม้ กลับไม่มีตัวแทนเข้าร่วมเวที
ท้ายที่สุด ชาวบ้านจึงตัดสินใจยื่นหนังสือคัดค้านการขอประทานบัตรอย่างเป็นทางการต่อสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด พร้อมยืนยันว่าต้องมีการบันทึกเจตจำนงของประชาชนไว้ในรายงานการประชุมครั้งนี้ เพราะหากไม่มีการรับฟังอย่างแท้จริง การมีอยู่ของเวทีเช่นนี้ย่อมเป็นเพียงพิธีกรรมที่ปลอมแปลงการมีส่วนร่วม
ชาวบ้านย้ำเวทีรับฟังต้องไม่ใช่เพียงพิธีกรรมของรัฐ
ในช่วงท้ายของเวที ตัวแทนประชาชนได้อ่านแถลงการณ์ ‘ชาวหนองโพไม่เอาเหมือง’ โดยระบุเหตุผลคัดค้านไว้อย่างชัดเจน 5 ประการ ได้แก่
1.สิทธิของประชาชนในการคัดค้าน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 43
2.พื้นที่ขอประทานบัตรเป็นต้นน้ำ ที่ห้ามตาม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2560
3.ผลกระทบต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยของชุมชน
4.คุณค่าเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
5.ขัดต่อยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในประเด็นความเสมอภาคและสิ่งแวดล้อม
“เวทีรับฟังความคิดเห็นจะต้องไม่ใช่แค่ขั้นตอนของทางราชการ แต่ต้องเป็นพื้นที่ของประชาชนในการประกาศสิทธิของตนเอง และกำหนดอนาคตของชุมชนได้” – แถลงการณ์ประชาชน
หลังเวทีปิดลง ชาวบ้านผู้คัดค้านยังคงปักหลักแสดงพลัง โดยนายก อบต.หนองโพ ได้กล่าวต่อหน้าชาวบ้านด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ขอพูดในฐานะพลเมือง ต้องการอนุรักษ์ และขอให้ชาวบ้านทุกคนช่วยกันสู้ ยืนยันว่าไม่เอาเหมืองแร่”
ตัวแทนพรรคประชาชน และผู้แทนกรรมาธิการที่ดินฯ ได้เข้ารับหนังสือคัดค้านอย่างเป็นทางการ ขณะที่นายโรจน์ ตัวแทนชาวบ้าน ระบุว่า นี่คือประวัติศาสตร์ของหนองโพที่เสียงชาวบ้านเป็นไปในทางเดียวกัน เป็นความฝันที่เราอยากเห็นความสามัคคีของชุมชนในการพัฒนา ไม่ใช่การต่อสู้กับนายทุนแบบนี้
“เราอยากให้ภาครัฐเคารพสิทธิชุมชน และให้ชาวบ้านมีอำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริง”
ด้าน นิวัฒน์ ประชาชนที่บ้านอยู่ใกล้เขตประทานบัตรที่สุด ฝากถึงภาครัฐว่า รัฐต้องให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมมากที่สุด โดยที่ไม่ต้องเอาอะไรมาตัดสิน แค่เห็นว่าประชาชนมาคัดค้านเยอะ ภาครัฐควรที่จะรับฟังและยกเลิกการขอประทานบัตรเหมืองแร่ และหน่วยงานป่าไม้ต้องมาดูความสมบูรณ์ไม่ตัดสินความสมบูรณ์ตามฤดูกาล และอุตสาหกรรมจังหวัดต้องให้ความสำคัญกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่การประมาณผลตามกฎหมาย
“การเกษตรจะได้รับผลกระทบ พืชผลจะลดจำนวนเพราะฝุ่นจากการทำเหมืองจะเกาะใบ จนไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้อย่างเต็มที่ และแหล่งน้ำบริเวณพื้นที่ประทานบัตรจะไม่สามารถใช้ได้ การเปลี่ยนแปลงของฟ้าฝนที่จะไม่ตกตามฤดูกาลตามมาด้วยปัญหาหนี้สิน”
ที่ผ่านมา ชาวบ้านในนามกลุ่มคนรักษ์เขาปูน–เขาใหญ่ และเครือข่ายปกป้องทรัพยากรนครสวรรค์ ได้รวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง และยืนยันว่าการเคลื่อนไหวจะไม่หยุดอยู่เพียงเวทีนี้ โดยจะติดตามขั้นตอนต่อไปของการประชุมสภา อบต.หนองโพ เพื่อผลักดันให้มีมติไม่เห็นชอบกับคำขอประทานบัตรเหมืองแร่ในพื้นที่
ประชาชนในพื้นที่ยังเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐ ภาคประชาสังคม องค์กรอิสระ และสื่อมวลชน ร่วมตรวจสอบการละเมิดสิทธิชุมชนทุกรูปแบบ สนับสนุนการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และร่วมกันสร้างสังคมที่เคารพสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...