‘กาฬสินธุ์’ เกือบ 2 ทศวรรษ กับการพัฒนาที่ยังมาไม่ถึง

Date:

ภาพ: พื้นที่ไร่นาของเกษตรผู้ปลูกข้าว นายไพฑูรย์ ทำนาแพง

“แต่ก่อนถ้าเป็นจังหวัดชายแดนจะเป็นจังหวัดที่ไม่เจริญใช่ไหม แต่ทุกวันนี้การพัฒนามันไปมุ่งอยู่ที่ชายแดนหมดเลย ทั้งสนามบิน รถไฟ สะพาน จุดผ่านแดน แต่กาฬสินธุ์นี่แทบจะเป็นสะดืออีสาน มีทรัพยากรมากมาย กลับไม่ได้รับโอกาสจากรัฐในการพัฒนาเลย”

อนุชา สิงหดี ประธานเครือข่ายคนรุ่นใหม่พัฒนากาฬสินธุ์เปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ บอกเล่าถึงความรู้สึกที่ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานกว่าทศวรรษแล้ว แต่ ณ พื้นที่ที่เป็นบ้านเกิดของเขาแห่งนี้   ก็ยังไม่ได้ถูกพัฒนาไปตามกาลเวลาที่ผ่านไปเลย

‘กาฬสินธุ์’ มาจากคำว่า กาฬ ที่แปลว่า ดำ และ สินธุ์ ที่แปลว่า น้ำ กาฬสินธุ์เลยมีความหมายว่า ‘เมืองน้ำดำ’ ซึ่งมีพื้นที่ดินดำน้ำชุ่ม อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำที่สำคัญต่อการอุปโภคและใช้ในการทำเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำลำปาว แม่น้ำลำพะยังจากเทือกเขาภูพาน และแม่น้ำชีที่ไหลผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์บางส่วน  รวมทั้งยังมีพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสมต่อการทำการเกษตรมากมาย ตามข้อมูลในแผนพัฒนาจังหวัดกาฬสินธุ์ ระบุว่าในปี 2562 จังหวัดกาฬสินธุ์มีโครงสร้างทางเศรษฐกิจมากที่สุด ซึ่งมาจากภาคการเกษตร มูลค่ารวมกว่า 23% หรือ 13,552 ล้านบาท มีพื้นที่สำหรับทำการเกษตรเป็น 65% ของพื้นที่ท้ังหมด และมีเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรท้ังสิ้น 88% ของครัวเรือนทั้งจังหวัด โดยมี “ข้าว” เป็นพืชเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะ ‘ข้าวเหนียวเขาวง’ ซึ่งมีคุณภาพดีจนได้รับการระบุให้เป็นสิ่งบ่งชี้เฉพาะถิ่น GI (Geographical Indication) ทำให้รายได้หลักของจังหวัดมาจากการพึ่งพาภาคการเกษตร 

จากโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจังหวัดที่ขึ้นอยู่กับการผลิตภาคการเกษตรแล้ว จังหวัดกาฬสินธุ์ก็ไม่ควรจะมีเกษตรกรที่รายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนเลย แต่ตามรายงานวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและเหลื่อมล้ำของประเทศไทย ปีพ.ศ. 2564 จังหวัดกาฬสินธุ์กลับกลายเป็นจังหวัดที่ติด 1 ใน 10 อันดับของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด และมีความถี่ในการติดอันดับปัญหาความยากจนเรื้อรังติดต่อกันเป็นระยะเวลากว่า 17 ปี นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2547

ตาราง : รายงานวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและเหลื่อมล้ำของประเทศไทย ปี 2564

ระยะเวลาเกือบ 2 ทศวรรษที่จังหวัดเล็ก ๆ แทบจะตั้งอยู่ใจกลางภาคอีสานแห่งนี้ติดอยู่กับความยากจนเรื้อรัง แม้ว่าจะเป็นจังหวัดที่มีความมั่งคั่งทางทรัพยากรและศักยภาพของผู้คนที่พร้อมจะพัฒนาเพียงใดก็ตาม แต่สาเหตุของความยากจนเรื้อรังที่มาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขมูลค่าของการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับจังหวัด สัดส่วนรายได้ต่อหัวของประชากรที่ยังต่ำ รวมถึงสินค้าและบริการในพื้นที่ยังไม่ได้มีความหลากหลายมากพอนั้น ยังคงเป็นอุปสรรคฉุดรั้งการก้าวข้ามความยากจนของจังหวัด ซ้ำร้ายเมืองดินดำน้ำชุ่มแห่งนี้ ยังไม่เคยมีแม้แต่โอกาสที่จะได้รับการพัฒนาเลย

อนุชา สิงหดี ประธานเครือข่ายคนรุ่นใหม่พัฒนากาฬสินธุ์

“กาฬสินธุ์เราจนโอกาส โอกาสที่จะได้รับการอำนวย หรือได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ  ถ้าโอกาสมา ความยากจนก็อาจจะลดลง” 

อนุชา สิงหดี ประธานเครือข่ายคนรุ่นใหม่พัฒนากาฬสินธุ์ ตั้งข้อสังเกตถึงอีกหนึ่งสาเหตุความยากจนเรื้อรังของจังหวัดกาฬสินธุ์นั้นมาจากการขาดโอกาสในการรับการพัฒนาทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจขนาดใหญ่จากภาครัฐ  ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2555 เกิดการรวมตัวของคนรักบ้านเกิดที่อยากจะผลักดัน อยากจะแก้ปัญหาความยากจน และลดการเลื่อมล้ำผ่านช่องทางออนไลน์ จนเกิดเป็นเครือข่ายคนรุ่นใหม่พัฒนากาฬสินธุ์ขึ้น การผลักดันตรงนี้เกิดจากการเล็งเห็นคุณค่าและศักยภาพของจังหวัดที่พร้อมจะพัฒนาในทุก ๆ มิติ ทั้งด้านการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว รวมถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์ เพื่อเรียกร้องและขับเคลื่อนให้มีการพัฒนาเกิดขึ้นในพื้นที่

ในปีเดียวกันนี้ ความหวังที่จะได้รับการพัฒนาของจังหวัดกาฬสินธุ์ปรากฎขึ้นในแผนพัฒนาโครงข่ายเชื่อมต่อภูมิภาค ซึ่งเป็นโปรเจกต์ขนาดใหญ่ของรัฐ มีแผนดำเนินโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟขึ้นหลายสายทั่วประเทศ หนึ่งในนั้นคือเส้นทางรถไฟทางคู่สายอีสาน มีระยะเวลาดำเนินการในปี 2555-2562 ซึ่งในแผนการศึกษาโครงการดังกล่าวแสดงเส้นทางรถไฟที่ตัดผ่านพื้นที่ในภาคอีสานถึง 4 เส้นทาง

ภาพ: โครงการภายใต้แผนงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ, กระทรวงการคลัง

แต่ความหวังที่ปรากฎขึ้นนั้นก็ค่อยๆริบหรี่ลง เมื่อเส้นทางรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-นครพนม (เส้นสีแดง) เลือกตัดผ่านเส้นทางเฉพาะพื้นที่ในกลุ่มจังหวัด ‘ร้อยแก่นสารสินธุ์’ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น ร้อยเอ็ด และมหาสารคามเท่านั้น มีเพียงกาฬสินธุ์จังหวัดเดียวที่ถูกผลักให้ตกขบวนรถไฟไปอย่างน่าเสียดาย เครือข่ายคนรุ่นใหม่พัฒนากาฬสินธุ์ในขณะนั้น จึงมีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้แก้ไขเส้นทางรถไฟให้ตัดผ่านพื้นที่ในจังหวัดกาฬสินธุ์ด้วยอย่างน้อย 1 สถานี เพื่อให้จังหวัดกาฬสินธุ์ได้รับการแชร์ประโยชน์ ลดความเหลื่อมล้ำและเป็นการพัฒนาร่วมกันในทุก ๆ มิติของกลุ่มจังหวัดร้อยแก่นสารสินธุ์จากรถไฟสายอีสานซึ่งเป็นเมกะโปรเจกต์ของประเทศ แต่ทว่าน่าเสียดายที่การดิ้นรนเรียกร้องของคนทั้งจังหวัดในครั้งนั้น ไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเลย ทำให้กาฬสินธุ์ยังคงเป็นเพียงเมืองผ่านที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แม้แต่ทางรถไฟก็ยังไม่ตัดผ่าน

ในปี พ.ศ. 2559  ความหวังที่จะได้รับการพัฒนาส่องสว่างขึ้นที่แดนดินถิ่นไดโนเสาร์แห่งนี้อีกครั้ง  หลังจากคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจได้เสนอโครงการ “นำร่องเมืองข้าว: จังหวัดกาฬสินธุ์ Rice city pilot kalasin province” ต่อสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่เพื่อนำร่องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของข้าวไทย ซึ่งสืบเนื่องมาจากรายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยที่ระบุไว้ถึงความสัมพันธ์กันของเกษตรกรและความยากจนที่เกี่ยวข้องกับขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดน้อยถอยลงของประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก การแก้ปัญหาข้าวของประเทศจึงเกี่ยวข้องและจำเป็นต่อการแก้ปัญหาของเกษตรกรซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสภาพยากจน ทำให้กาฬสินธุ์ที่มีจุดเด่นในเรื่องผลผลิตข้าวและยังติด 1 ใน 10 อันดับเมืองยากจนเรื้อรัง จึงเหมาะสมต่อการถูกเสนอให้เป็นเมืองนำร่องเมืองข้าวเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตข้าวและความยากจนของเกษตรกร

ภาพ: รายงาน “นำร่องเมืองข้าว : จังหวัดกาฬสินธ์ุ Rice City Pilot Project : Kalasin Province”

โดยโครงการดังกล่าวมีแผนพลักดันการใช้กลไกขับเคลื่อนด้วยเขตเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนการผลิตข้าวคุณภาพเชิงอุตสาหกรรม การเพิ่มมูลค่าข้าวด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Thailand 4.0) การผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อเป็นมาตรการจูงใจให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ (Rice S-Curve Industries Special Economic Zone) สนับสนุนการเข้าถึงโอกาสของเกษตรกรชาวนาและประโยชน์ที่ได้รับ ซึ่งจะทำให้แก้ปัญหาความไม่แน่นอนด้านราคา หรือถูกกดราคารับซื้อ ซึ่งมีระยะเวลาในการร่างแผนและดำเนินงานตั้งแต่ ปี พ.ศ 2559 – 2561 

ไทม์ไลน์การร่างแผนและแผนดำเนินโครงการนำร่องเมืองข้าวจังหวัดกาฬสินธุ์

  • พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2559 – การประชุมคณะอนุกรรมาธิการ
  • ประชุมอนุมัติหัวข้อที่จะศึกษา ฯ
  • ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 
  • ประชุมกับกรอ. จังหวัดกาฬสินธุ์
  • มิถุนายน ปี พ.ศ. 2559 – ประชุมพิจารณาแนวทางการศึกษา
  • กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2559 – คณะอนุกรรมาธิการขับเคลือนการปฏิรูปเศรษฐกิจด้านการเกษตร ในคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ “นำร่องเมืองข้าว : จังหวัดกาฬสินธุ์ Rice City Pilot Project : Kalasin Province” 
  • ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ หน่วยงานรัฐ และเอกชน
  • ลงพื้นที่ดูงานโครงการส่งน้ำ และบำรุงรักษาเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์
  • ลงพื้นที่ดูงานพื้นที่เพาะปลูกข้าว บ้านเลิงทุ่ม ต.นาเชือก อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์
  • จังหวัดเสนอให้ ต.โคกดอนหัน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เป็น “พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษข้าวครบวงจร” 
  • ศึกษาดูงานบริษัท อีสเทิร์น ไรซ์มิลล์ จำกัด จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นอุตสาหกรรมนำร่อง “ESAN RICE CITY” โดยใช้จังหวัดกาฬสินธุ์เป็น“HUB”ของภาคอีสานเชื่อมโยงวัตถุดิบคุณภาพ ซึ่งมีปริมาณวัตถุดิบทั้งปี
  • สิงหาคม ปี พ.ศ. 2559 – นำเสนอ (ร่าง) รายงานการศึกษาต่อคณะอนุกรรมาธิการฯ
  • ธันวาคม ปี พ.ศ. 2559 – เสนอรายงานการศึกษาต่อคณะกรรมาธิการฯ
  • กุมภาพันธ์ – เมษายน พ.ศ. 2560 – ดำเนินโครงการระยะที่1 กำหนดจังหวัดเป้าหมายนำร่อง
  • จังหวัดกาฬสินธุ์ถูกเสนอให้เป็นจังหวัดนำร่อง โดยมีเหตุผลประกอบด้านศักยภาพและความพร้อมของจังหวัดในการขับเคลื่อนโครงการ โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ของจังหวัดที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือล้อมรอบด้วยจังหวัดต่างๆซึ่งมีศักยภาพ เช่น ขอนแก่น อุดรธานี สกลนคร ทำให้การติดต่อเชิงธุรกิจมีความสะดวก ด้านพลังงานสำหรับอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งมีภาคเอกชนลงทุนด้านพลังงาน เช่น บริษัท มิตรผลไบโอเพาเวอร์ ฯลฯ มีแหล่งนำ้และระบบชลประทานจากเขื่อนลำปาว ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชี 
  • พฤษภาคม – ตุลาคม พ.ศ. 2560 – ดำเนินโครงการระยะที่ 2 การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัด
  • กำหนดให้มีการผลักดันสู่นโยบายระดับจังหวัดเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรม โดยมีคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนโครงการ ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กระทรวงพาณิชย์ ด้านงานวิชาการให้มหาวิทยาลัยในจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นหน่วยงานศึกษาด้านความเป็นไปได้ กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแปรรูปข้าวครบวงจร ในเบื้องต้นพื้นที่เหมาะสมอยู่ที่ ตำบลโคกดอนหัน อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ พื้นที่ประมาณ 1,500 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ราชพัสดุที่ทางจังหวัดเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะบริหารจัดการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ 
  • พฤศจิกายน 2560 – เมษายน พ.ศ. 2561 – ดำเนินโครงการระยะที่ 3 สนับสนุนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ
  • รัฐบาลควรมีมติคณะรัฐมนตรีสนับสนุนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้เกิดการลงทุน อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวเชื่อมโยงในการแปรรูปและเพิ่มมูลค่าข้าว การสนับสนุนมาตรการทางการคลังผ่านทาง BOI การสนับสนุนมาตรการทางภาษีให้เทียบเท่ากิจการซึ่งเข้าไปลงทุนในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ทั้งด้านการอำนวยความสะดวกของหน่วยงานซึ่งอยู่ในพื้นที่และมาตรการส่งเสริมการลงทุน

แผนพัฒนาโครงการดังกล่าวเป็นเหมือนความหวังระลอกสอง ที่กลายเป็นเพียงตัวอักษรในกระดาษเท่านั้น  เพราะการดำเนินการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษข้าวครบวงจรในตำบลโคกดอนหัน อ.ยางตลาด นั้นไม่ได้มีการดำเนินการและผลักดันให้เกิดโครงการขนาดใหญ่ระดับเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นจริงในพื้นที่ ทำให้เกษตรกรชาวนาในพื้นที่ที่มีความคาดหวังว่าโครงการนำร่องเมืองข้าวนี้จะเข้ามายกระดับการผลิตข้าวและคุณภาพชีวิตของชาวนาในพื้นที่ให้หลุดพ้นจากเส้นความยากจนนั้นหลุดลอยไป

“มีนา 6-7 ไร่ ขายข้าวได้ 7,000 บาท ตกไร่ละพัน ไม่เหลือกำไรอะไรหรอก…ในอนาคตมันจะไม่ได้ขายแค่ข้าว แต่อาจจะต้องขายนาไปด้วย ทำเองไม่ไหว สิ้นปีมีแต่หนี้”

นายไพฑูรย์ ทำนาแพง ชาวนาผู้ปลูกข้าวใน อ.เมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ เล่าให้ฟังถึงปัญหาและความยากลำบากจากสถานการณ์ราคาข้าวที่ตกต่ำในปัจจุบันว่ามีต้นทุนที่สูงขึ้น ตลาดรับซื้อทางเลือก เช่น ตลาดเกษตรปลอดภัยยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ รวมถึงความช่วยเหลือจากรัฐที่มีความล่าช้า สวนทางกับเป้าหมายของแผนพัฒนาเมืองนำร่องข้าวที่ระบุว่าจะช่วยแก้ปัญหาข้าวและความยากจนของเกษตรกรทำให้กาฬสินธุ์เหมือนถูกกรีดซ้ำรอยแผลเดิมจากการโครงการรถไฟทางคู่สายอีสานที่ทอดทิ้งเมืองน้ำดำแห่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เวลาพิจารณางบประมาณระดับประเทศจะมีการทำการแข่งขันของแผนโครงการกัน เพื่อดึงงบประมาณไปที่จังหวัดของตัวเองให้ได้มากที่สุด คนที่มีข้อมูลที่พร้อม มีศักยภาพ และมีความเป็นไปได้ในการทำ ก็จะได้งบประมาณไป…ทำให้โครงการข้าวของจังหวัดกาฬสินธุ์เลยถูกยกระดับให้เป็นของกลุ่มจังหวัดร้อยแก่นสารสินธุ์แทน ” ดร.พิมพ์ลิขิตกล่าว

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิมพ์ลิขิต แก้วหาหนาม อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิมพ์ลิขิต แก้วหาหนาม อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ หนึ่งในคณะทำงานวิจัยเพื่อพลักดันการแก้ไขปัญหาความยากจนเรื้อรังในจังหวัด อธิบายถึงการพิจารณาและแข่งขันในการนำเสนอโครงการเพื่อดึงงบประมาณในการพัฒนา โดยชี้ว่าเมื่อเกิดปัญหาในประเด็นเดียวกันขึ้นและโครงการในแต่ละจังหวัดก็ถูกเสนอขึ้นมาในลักษณะแบบเดียวกัน ทำให้ปัญหาข้าวกลายเป็นปัญหาที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาพร้อมกันในหลายจังหวัด ซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาได้จากการเคลื่อนงานในระดับจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งนั้น สุดท้ายจึงถูกกำหนดให้เป็นยุทธศาสตร์ของกลุ่มจังหวัดที่ต้องร่วมกันแก้ไข นอกจากนี้ ดร.พิมพ์ลิขิต ยังกล่าวถึงความไปได้ในส่วนของการขับเคลื่อนงานในระดับจังหวัด ประเด็นเรื่องข้าวนี้ก็ถูกปรับให้อยู่ในรูปแบบโครงการย่อยต่างๆ ตามยุทธศาสตร์ข้าวของทางจังหวัดด้วย เช่น งบประมาณเพื่องานวิจัยต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ข้าว การพัฒนาแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ การสนับสนุนตลาดเกษตรสีเขียว การทำเกษตรปลอดภัย เป็นต้น เพียงแต่โครงการย่อยเหล่านี้อาจจะไม่ได้ถูกดำเนินการในชื่อของโครงการนำร่องเมืองข้าวเดิม

ดร.พิมพ์ลิขิต มองว่าแม้จะมีการสนับสนุนการพัฒนาภาคการเกษตรในแผนงานพัฒนาทั้งในระดับกลุ่มจังหวัดและภายในจังหวัดเอง แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมการพัฒนาขนาดใหญ่ต่อจังหวัดกาฬสินธุ์ให้สามารถหลุดพ้นจากความยากจนเรื้อรังได้ ทำให้ทั้งหน่วยงานรัฐระดับจังหวัดและหน่วยงานทางวิชาการจึงพยายามอย่างมากที่จะหาทางแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้มาโดยตลอด จนเกิดเป็น ‘โครงการกาฬสินธุ์ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ หรือ ‘KALASIN Happiness Model’ ซึ่งเป็นโครงการเพื่อพลักดันและขับเคลื่อนการแก้ไขความยากจนในจังหวัดกาฬสินธุ์ ดร.พิมพ์ลิขิต เล่าถึงโครงการดังกล่าวว่าความพยายามที่เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้นในปีพ.ศ 2558 โดยบรรจุประเด็นปัญหาความยากจนให้เป็นยุทธศาสตร์และนโยบายของจังหวัด ผ่านการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ในการออกแบบกลไกแก้ไขความยากจนเชิงพื้นที่ โดยใช้กลไกการแก้ไขความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ ซึ่งมีฐานข้อมูลที่ตรงเป้าในการตัดสินใจ

“กลไกแก้ไขความยากจนเชิงพื้นที่แบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ เป็นการเก็บเอาครัวเรือนยากจนทั้งในระบบและนอกระบบฐานข้อมูล เข้ามาอยู่ในฐานระบบข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อให้การวิเคราะห์ ตรวจสอบ และช่วยเหลือสามารถทำได้อย่างตรงเป้า ทำให้ครัวเรือนยากจนสามารถเข้าถึงการพัฒนาศักยภาพในการสร้างอาชีพ และเกิดการกระจายของทรัพยากรที่มาตามแผนงานโครงการได้อย่างแม่นยำ” ดร.พิมพ์ลิขิตกล่าว

อาจารย์ พิมพ์ลิขิต อธิบายทิ้งท้ายถึงรูปแบบการทำงานของกลไกแก้ไขความยากจน  ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินมาแล้วเป็นระยะเวลา 3 ปี และจะดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงปี 2570 แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่สามารถผลักดันให้จังหวัดหลุดพ้นจาก 10 อันดับความยากจนได้ไป เนื่องจากการแก้ไขปัญหาความยากจนนั้นไม่ใช้เรื่องง่าย และมีช่องว่างของการดำเนินการเกิดขึ้นมากมาย ทั้งปัญหางบประมาณจังหวัด การจัดหาอาชีพและพื้นที่ทำกินแก่ครัวเรือนยากจน ปริมาณผลผลิตจากครัวเรือนยากจนที่ยังผลิตได้น้อย การเข้าถึงตลาดรับซื้อ รวมถึงกำไรค่าตอบแทนที่ไม่เพียงพอจะจัดสรรแก่เกษตรกรที่เป็นแบบรวมกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่เกิดขึ้นนี้ทำให้จังหวัดตั้งเป้าหมายที่จะต้องบรรลุให้ได้ และหวังว่าในอีก 4 ปีข้างหน้าผลจากความพยายามนี้จะออกดอกออกผลความสำเร็จให้เห็น คือกาฬสินธุ์จะเป็นจังหวัดที่หลุดพ้นจาก 10 อันดับความยากจนเรื้อรัง  

แม้จะล่วงเลยมาเกือบ 2 ทศวรรษที่เมืองน้ำดำถูกทิ้งร้างไว้ข้างหลัง แต่แสงแห่งความหวังไม่เคยมอดดับไปจากที่แห่งนี้  สุดท้ายนี้ กาฬสินธุ์ยังคงต้องการและรอโอกาสในการพัฒนาที่ยังมาไม่ถึง

ภาพ: พื้นที่ไร่นาของเกษตรผู้ปลูกข้าว นายไพฑูรย์ ทำนาแพง

อ้างอิง


บทความนี้เป็นผลงานผู้เข้าร่วมโครงการ Activist Journalist ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิสื่อประชาธรรม (Prachatham Media Foundation) และสำนักข่าวลานเน้อ (LANNER News Media) โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Citizen Accountability for Local governance Media (CALM)

นิตยา ภูมิดอนชัย

ส.ส.พรรคประชาชน จี้รัฐบาลชี้แจง MOU แร่แรร์เอิร์ธ ไทย–สหรัฐ หวั่นไทยเสียเปรียบ กระทบสิ่งแวดล้อม-ชาติพันธุ์-ต้นน้ำปิง

ภาพ: Pai Deetes  30 ตุลาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 35 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง)...

ละลานล้านนา: ล้านนาในรสลับ วัฒนธรรมการกินที่บอกผ่านความไม่บอก

เรื่อง: ปวีณา หมู่อุบล, ภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง ไม่นานมานี้ บนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะที่ X...

ค่าชีวิตไม่เท่ากัน ชะตากรรมคนเหนือเขื่อนภูมิพล

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย, ภาพ: ปรัชญา ไชยแก้ว 22 ตุลาคม 2568 น้ำปิงหนุนสูงเข้าท่วมตำบลฮอด...

55 ปีมูลนิธิดรุณาทร สู่พลังแห่งการช่วยเหลือ พัฒนาเด็กและเยาวชน

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่โรงแรมแชงกรี-ลา จังหวัดเชียงใหม่ มูลนิธิดรุณาทร จัดงาน “ร้อยเรียงเรื่องราว 55...