เรื่องและภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง
ผลงานชิ้นนี้อยู่ภายใต้ซีรีส์คอนเทนต์ ‘พลังงาน / คน / ภาคเหนือ’ จากความร่วมมือระหว่าง Lanner และ JET in Thailand

จากรายงาน ‘การสำรวจพื้นที่หมู่บ้านที่ไม่สามารถพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และระบบสาธารณูปการ เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่หวงห้าม’ ของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่าในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ มีทั้งหมด 36 ชุมชน ใน 4 จังหวัด คิดเป็น 20.33% จากการสำรวจทั้งหมด 177 พื้นที่ ใน 18 จังหวัดทั้งประเทศ ที่ยังคงไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ ประกอบด้วย
พิษณุโลก
เป็นจังหวัดที่มีชุมชนที่ไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้มากที่สุด โดยมีทั้งหมด 16 ชุมชน และทั้งหมด 16 ชุมชนอยู่ใน อ.ชาติตระการ โดยเป็นพื้นที่ข้อพิพาทในประเด็นพื้นที่ป่าสงวน-ป่าอนุรักษ์ ประกอบด้วย
1. บ้านนาตอน, 2. บ้านขวดน้ำมัน, 3.บ้านลาดเรือ, 4.บ้านบ่อภาคเหนือ, 5.บ้านบ่อภาคใต้, 6.บ้านรักไทย, 7.บ้านนุชเทียน, 8.บ้านร่มเกล้า, 9.บ้านชำนาญจุ้ย, 10.บ้านเทอดชาติ, 11.บ้านหมั่นแสวง, 12.บ้านขุนน้ำคับ, 13.บ้านน้ำจวง, 14.บ้านรักชาติ, 15.บ้านสงบสุข, 16.บ้านน้ำจวงใต้
แม่ฮ่องสอน
มีชุมชนที่ไม่สามาถเข้าถึงไฟฟ้าทั้งหมด 12 ชุมชน โดยทั้งหมดอยู่ใน อ.สบเมย และเป็นพื้นที่ข้อพิพาทในประเด็นพื้นที่ป่าสงวน-ป่าอนุรักษ์ด้วยเช่นกัน ประกอบด้วย
1.แม่สวด, 2.ห้วยม่วง, 3.แม่เลาะ, 4.แม่หลุย, 5.อุมโล๊ะ, 6.แม่แฮด, 7.แม่หาด, 8.แม่สวดใหม่, 9.นาดอย, 10.สบโขง, 11.แม่แพใหญ่, 12.อุมโล๊ะเหนือ (กอบิคี)
เพชรบูรณ์
มีชุมชนที่ไม่สามาถเข้าถึงไฟฟ้าทั้งหมด 5 ชุมชน โดยอยู่ใน อ.ศรีเทพ 1 ชุมชน, อ.เมืองเพชรบูรณ์ 1 ชุมชน และอ.ชนแดน 4 ชุมชน และเป็นพื้นที่ข้อพิพาทในประเด็นพื้นที่ป่าสงวน-ป่าอนุรักษ์, ที่ดินสาธารณประโยชน์ และพื้นที่สงวนไว้เพื่อการเลี้ยงสัตว์ ประกอบด้วย
1.ทุ่งเลี้ยงสัตว์ดงชะเนียง (อ.ศรีเทพ), 2.บ้านผาแดง (อ.เมืองเพชรบูรณ์), 3.บ้านหนองระมาน (อ.ชนแดน) 4.บ้านดงเสือเหลือง (อ.ชนแดน) 5.บ้านวารีวงษ์ (อ.ชนแดน)
ลำปาง
มีชุมชนที่ไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าทั้งหมด 3 ชุมชน โดยอยู่ใน อ.เกาะคา และอ.วังเหนือ และเป็นพื้นที่ข้อพิพาทในประเด็นพื้นที่ป่าสงวน-ป่าอนุรักษ์ และพื้นที่คาบเกี่ยวหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย
1. อ่างแม่ดิบ (อ.เกาะคา), 2.บ้านทับป่าเส้า (อ.วังเหนือ), 3.บ้านใหม่ (อ.วังเหนือ)
จากพื้นที่ทั้งหมด พบว่าส่วนใหญ่ กว่า 86.11% หรือ 31 ชุมชน จากทั้งหมด 36 ชุมชน เป็นชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ข้อพิพาทป่าสงวน-ป่าอนุรักษ์ จึงทำให้ไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากกฎหมายป่าไม้ (พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ, พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ) ที่ไม่อนุญาตให้พื้นที่ดังกล่าว สามารถดำเนินการ ‘สร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ ในพื้นที่เขตดังกล่าวได้‘ ตามมาตรา 14 ใน พ.ร.บ. ป่าสงวนฯ พ.ศ. 2507 และ มาตรา 16 ใน พ.ร.บ. อุทยานฯ พ.ศ. 2504 ดังนั้น การตั้งเสาไฟฟ้าและการก่อสร้างต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการไฟฟ้า จึงอาจจะถูกตีความว่าเป็นการทำผิดกฎหมายป่าไม้ได้
นอกจากนี้ยังมีประเด็น การถือครองโฉนดที่ดิน เนื่องจากในหลายชุมชน เป็นชุมชนดั้งเดิม ที่อาศัยอยู่มาก่อนการประกาศกฎหมายป่าไม้ ทำให้เมื่อหลังจากการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว ชุมชนเหล่านี้จึงไม่ได้ถูกรับรองว่าเป็นชุมชนที่มีสิทธิตาม ‘กฎหมายใหม่’
ส่วนอีก 8.33% หรือ 3 ชุมชน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สาธารณะประโยชน์และพื้นที่สงวนไว้เพื่อการเลี้ยงสัตว์ สาเหตุก็มีความใกล้เคียงกับกฎหมายป่าไม้เช่นกัน เนื่องจาก ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ก็เป็นการประกาศทับชุมชนดั้งเดิม โดยกำหนดให้เป็นพื้นที่ของรัฐ โดยไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดิน ‘ที่ถูกอ้างสิทธิว่าเป็นที่ดินของรัฐ’ ส่วนอีก 2.77% หรือ 1 ชุมชน เป็นชุมชนที่อยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวหลายหน่วยงาน
จากข้อพิพาททางกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมชุมชนเหล่านี้ถึงไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ เนื่องจากความ ‘คาราคาซัง’ ของกฎหมาย ที่ไม่ได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับยุคสมัย ซึ่งไม่รับรองสิทธิให้แก่ชุมชนเหล่านี้ แม้ว่าพวกเขาจะอาศัยมาก่อนกฎหมายจะประกาศก็ตาม
และแม้ในปัจจุบันจะเป็นยุคที่ไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตไปแล้ว ทว่าความเป็นจริงภาพของชุมชนเหล่านี้กลับสะท้อนความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงพลังงานอย่างชัดเจน และปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ในขณะที่บางพื้นที่ไม่มีแม้แต่ไฟฟ้าใช้ แล้วคนที่อยู่ในเมืองหรือในเขตที่มีไฟฟ้าใช้ ใช้ไฟฟ้ามากแค่ไหน และต้องแบกรับค่าไฟที่เพิ่มขึ้นอย่างไรบ้างในรอบทศวรรษที่ผ่านมา
อ่าน [ชุดข้อมูล] สำรวจโรงไฟฟ้าภาคเหนือ ปี 2568 กำลังการผลิตไฟฟ้าทะลุ 4,000 เมกะวัตต์ รัฐ-เอกชนแบ่งกันคนละครึ่ง https://www.lannernews.com/14062568-03/
ที่มา

วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง
อดีตนักศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง ผู้ชื่นชอบในการเดินป่า ปรัชญาและดนตรีสากล พบเจอได้ตามร้านขายเครื่องดื่ม ทุกเทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์