จากลำห้วยคลิตี้สู่แม่น้ำกก เสียงเยาวชนที่โตในน้ำพิษ น้ำกกเพิ่งเริ่ม ก่อนที่มันจะสาย

Date:

“มันเป็นวิกฤตที่ยาวมาก และเราไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่”  คำกล่าวของธารวารินทร์ ทองผาภูมิประภาส เยาวชนหญิงวัย 29 ปี จากหมู่บ้านคลิตี้ล่าง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ผู้เติบโตมาในหมู่บ้านที่กลายเป็นพื้นที่พิสูจน์ความล้มเหลวของระบบเยียวยารัฐ

ธารวารินทร์ ทองผาภูมิประภาส เยาวชนหญิงวัย 29 ปี จากหมู่บ้านคลิตี้ล่าง

ธารวารินทร์เกิดและเติบโตท่ามกลางวิกฤตมลพิษสารตะกั่วที่รั่วไหลลงลำห้วยคลิตี้ตั้งแต่ปี 2518 โดยมีโรงแต่งแร่ตะกั่วตั้งอยู่ที่คลิตี้บน ก่อนที่สารพิษจะไหลลงมายังคลิตี้ล่าง ช่วงเวลานั้นรัฐไม่ได้ออกมาตรการรับมือใดๆ จนกระทั่งผลกระทบเริ่มปรากฏในชีวิตประจำวันของคนในชุมชน

“เราเคยถูกห้ามไม่ให้ลงไปเล่นน้ำ พ่อแม่จะเตือนเสมอว่า น้ำตรงนั้นมีสารตะกั่ว อย่าไปแตะมัน”

เธอเล่าว่า ในหมู่บ้านมีวัวควายล้มตาย หญิงท้องแท้งลูก เด็กหลายคนป่วยเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ จนในปี 2545 กระทรวงสาธารณสุขเข้ามาตรวจเลือดชาวบ้าน และพบว่าทุกคนในชุมชนมีค่าตะกั่วในเลือดสูงเกินมาตรฐาน บางรายมีผลกระทบต่อสมอง กระดูก และระบบประสาทอย่างรุนแรง

จากข้อมูลของวิกิชุมชน ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ระบุว่า ช่วงปี 2537–2544 ชาวบ้าน โดยเฉพาะผู้หญิงในคลิตี้ล่างจำนวนมากเกิดอาการทางจิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ความสัมพันธ์ระหว่างคลิตี้ล่างและคลิตี้บนขาดสะบั้นเมื่อฝ่ายหนึ่งถูกกล่าวโทษว่าเป็นคนฟ้องปิดเหมือง ทำให้อีกฝ่ายต้องสูญเสียรายได้

แม้โรงแต่งแร่จะถูกสั่งปิดและจ่ายค่าปรับเพียง 2,000 บาทในปี 2541 แต่การปนเปื้อนยังดำเนินต่อเนื่อง แม้น้ำจะใสขึ้นในบางฤดู กลิ่นจะลดลง แต่สารพิษยังตกค้างในดิน สัตว์น้ำ และแหล่งอาหารของชุมชน

ปี 2558 ชาวกะเหรี่ยงคลิตี้ล่างยื่นฟ้องโรงแต่งแร่ และกรมควบคุมมลพิษในข้อหาละเลยไม่ดำเนินการอย่างทันท่วงที ก่อนจะชนะคดีในปี 2560 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษต้องเยียวยาและฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้จนกว่าจะไม่มีคราบตะกั่วตกค้างเกินค่ามาตรฐาน

หนึ่งวันถัดมา 11 กันยายน 2560 ศาลจังหวัดกาญจนบุรีได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ให้บริษัทตะกั่วคอนเซนเตรทฯ ชดใช้ค่าเสียหายรวม 36 ล้านบาท

กระบวนการฟื้นฟูเริ่มต้นขึ้นโดยกรมควบคุมมลพิษว่าจ้างบริษัทเอกชนใช้งบประมาณกว่า 454 ล้านบาท เพื่อดูดตะกอนหางแร่ ติดตั้งสายดักตะกอน และขุดตะกรริมห้วย แต่ในสายตาของธารวารินทร์ซึ่งติดตามกระบวนการในฐานะประชาชนในพื้นที่ กลับพบว่า หลายครั้งบริษัทไม่ได้จัดหาอุปกรณ์เซฟตี้ให้กับแรงงานชาวบ้านที่ลงไปทำงานในพื้นที่เสี่ยง

ภาพ: EnLaw

เธอเล่าว่าเคยต้องแย้งอย่างหนักในที่ประชุม เพราะไม่อาจยอมรับได้กับการที่ชาวบ้านต้องกลับไปเสี่ยงกับพิษในน้ำอีกครั้งเพียงเพราะเกิดการจ้างงานในชุมชน

จากข้อมูลของวิกิชุมชนยังระบุว่า แม้จะมีเวทีรับฟังความคิดเห็น แต่การฟื้นฟูในระยะแรกไม่ได้ใช้ข้อมูลจากชุมชนหรือสะท้อนวิถีชีวิตของชาวบ้าน ส่งผลให้พวกเขายังคงต้องใช้น้ำปนเปื้อนเพื่อความอยู่รอด

บทเรียนจากคลิตี้คือ รัฐต้องยอมรับว่า “การฟื้นฟู” ไม่ใช่แค่การดูดตะกอนหรือติดป้ายเตือน แต่ต้องหมายถึงการคืนความมั่นคงให้กับชุมชนในทุกมิติ ทั้งน้ำสะอาด ความปลอดภัย และความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกระบวนการรัฐ

ในมุมมองของธารวารินทร์ ปัญหาหลักคือการขาดการจัดการที่ทันท่วงที และการไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส “ข้อมูลการตรวจวัด การดำเนินการต่างๆ เราต้องขอผ่านทนายความเท่านั้น” เธอกล่าว

เธอยังตั้งข้อสังเกตว่า โรงแต่งแร่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงอุตสาหกรรม แต่เมื่อเกิดปัญหากลับกลายเป็นหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องเข้ามาฟื้นฟูและรับผิดชอบ โดยไม่มีระบบบูรณาการระหว่างหน่วยงาน

ในฐานะผู้มีประสบการณ์ตรง ธารวารินทร์กล่าวว่า ปัญหาน้ำกกในปัจจุบันมีความซับซ้อนยิ่งกว่า เพราะเป็นกรณี “ข้ามพรมแดน” ที่รัฐไทยไม่สามารถเข้าไปแก้ไขต้นเหตุได้โดยตรง แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น รัฐยิ่งควรทำงานเชิงรุก เพื่อจำกัดผลกระทบให้เร็วที่สุด

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 1 (เชียงใหม่) ออกประกาศแจ้งเตือนการปนเปื้อนของแม่น้ำกก หลังผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำจากพื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อกลางเดือนมีนาคม พบสารเคมีและโลหะหนักหลายชนิด ได้แก่ สารหนู แคดเมียม และแมงกานีส สูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งต่อเนื่องมานานจนถึงปัจจุบัน กระตุ้นให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อาจเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่หายากในพื้นที่รัฐฉานตอนใต้ ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยเพียง 25 กิโลเมตร และห่างจากแม่น้ำกกเพียง 2–3 กิโลเมตร

แม่น้ำกกหล่อเลี้ยงผู้คนนับแสนในภาคเหนือ แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีแผนรับมือมลพิษข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม นักวิชาการเสนอให้ตั้งศูนย์ติดตามคุณภาพน้ำระยะยาว และภาคประชาสังคมเสนอให้รัฐไทยเร่งเจรจากับรัฐบาลเมียนมาอย่างเร่งด่วน

“คลิตี้ล่างยังไม่จบ แม่น้ำกกเพิ่งเริ่มต้น แต่เราควรเรียนรู้จากกัน ไม่ใช่รอให้ทุกอย่างสายไป”

กรณีคลิตี้ล่างจึงไม่ใช่แค่เรื่องในอดีต แต่คือคำเตือนถึงอนาคต หากรัฐไม่เรียนรู้ ความสูญเสียในลุ่มน้ำกกอาจขยายวงกว้างเกินกว่าจะควบคุมได้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ได้ออกแถลงการณ์เตือนถึงความเสี่ยงจากการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองยอน รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยเพียง 25 กิโลเมตร และตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำกกเพียง 2–3 กิโลเมตร โดยภาพถ่ายดาวเทียมเผยให้เห็นบ่อสกัดแร่สองจุดที่ใช้สารเคมีอันตรายในกระบวนการละลายแร่ ซึ่งอาจปล่อยสารพิษลงสู่แหล่งน้ำท้ายน้ำที่หล่อเลี้ยงประชาชนกว่า 1 ล้านคนทั้งในเมียนมาและภาคเหนือของไทย มูลนิธิฯ เรียกร้องให้ทั้งไทยและเมียนมาร่วมกันตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส 

ท้ายที่สุด ธารวารินทร์กล่าวว่า “เราอาจต้องดูแลตัวเองก่อน ถ้ารัฐยังเป็นเช่นนี้ เราต้องอยู่ให้ปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะนี่คือการยืนหยัดที่ยาวนานมาก”

“แม่น้ำกกใหญ่กว่าคลิตี้หลายเท่า และเป็นปัญหาที่เกินกว่าชุมชนหนึ่งจะรับมือไหว เราจึงต้องเข้มแข็ง และเตรียมใจว่าเราจะต้องอยู่กับสิ่งนี้ไปอีกนาน ไม่ใช่ด้วยความสิ้นหวัง แต่ด้วยความเข้าใจว่า เราควรมีสิทธิอยู่ในโลกที่ปลอดภัยกว่านี้” ธารวารินทร์ กล่าวส่งท้าย

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ศาลเชียงรายนัดไต่สวน 2 ตัวแทนชุมชน หลังร้องเพลงซอคัดค้านโรงไฟฟ้าขยะป่าหุ่ง ชาวบ้านย้ำแค่ปกป้องบ้านเกิด

ภาพ: วชิรญาณ์ วิรัชบุญญากร 1 ธันวาคม 2568 ที่ศาลจังหวัดเชียงราย พันโทสมเจต ช่างซอ หรือ...

เมืองเพื่อ ‘รถ’ หรือ ‘คน’ ทุ่ม 2–4 พันล้านแก้รถติดคันคลอง ชาวเชียงใหม่ถามกลับ “ออกแบบเพื่อใคร?”

เรื่อง: วรรณวิษา พะเลียง โครงการปรับปรุงถนนทางหลวงหมายเลข 121 หรือ ‘ถนนคันคลองชลประทาน’ ของกรมทางหลวง กลายเป็นประเด็นร้อนด้านผังเมืองครั้งใหญ่ของเชียงใหม่ หลังรัฐเสนอใช้งบประมาณกว่า...

กฎหมายเปิดเเต่สิทธิยังติดขัด วงสนทนาเครือข่ายยุติการตั้งครรภ์ในเชียงใหม่ กับกำแพงอคติที่ต้องฝ่าไป

เรื่อง: วรรณวิษา พะเลียง ภาพ: พิมลวรรณ ปานทุ่ง 23 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิทำทาง ร่วมกับสองสถานบริการทำแท้งปลอดภัยในจังหวัดเชียงใหม่...

ละลานล้านนา: ‘เจี้ย’ เรื่องเล่าสั้นๆ ที่มากไปกว่านิทานพื้นบ้านล้านนาแค่การสะท้อนนัยยะทางการเมือง

เรื่อง: ปวีณา หมู่อุบล มีผู้กล่าวไว้ว่าหากพูดถึง “เจี้ย” หรือ “เจี้ยก้อม” กับคนล้านนาแล้ว ก็จะรู้กันดีว่าหมายถึงเรื่องเล่าขนาดสั้นๆ ทั้งนี้ก็เพราะเจี้ยเป็นสิ่งที่อยู่ในวิถีชีวิตของชาวล้านนามาอย่างยาวนาน...