เรื่อง: วิชชากร นวลฝั้น
ภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง
Summary
- ‘แม่น้ำสาย’ ถือเป็นหนึ่งในแม่นํ้าสำคัญที่กั้นพรมแดนระหว่างจังหวัดเชียงรายของไทยและเมืองท่าขี้เหล็กในรัฐฉานของเมียนมา โดยบริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยกิจกรรม การค้าขาย และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจท้องถิ่น
- จากการสำรวจ พบว่ากลุ่มอาชีพริมแม่น้ำสายประกอบด้วย 2 กลุ่มอาชีพสำคัญ คือ 1. ภาคเกษตรกรรม 2. ภาคประมง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ในพื้นที่อำเภอแม่สาย กิจการที่พัก โรงแรม และรีสอร์ท พึ่งพารายได้จากการค้าชายแดนเป็นหลัก จึงไม่สามารถนับรวมได้ว่าภาคการท่องเที่ยวมีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ำสายโดยตรง
- ข้อมูลจาก สํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) รวมทั้งสิ้น 116,580 ล้านบาท ภาคเกษตรกรรมมีมูลค่า 29,466 ล้านบาท คิดเป็น 25.27% ของ GPP
- ทั้งนี้เมื่อประเมินมูลค่าความเสียหาย โดยตั้งสมมุติฐานว่าหากแม่น้ำสายเป็นพิษในระดับที่ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำสายได้เลย มูลค่าความเสียหาย ‘ภาคการเกษตร’ มีมูลค่าอยู่ที่ 56,208,784 บาท/ปี
- ในขณะที่มูลค่าความเสียหาย ‘ภาคประมง’ จะมีมูลค่าอยู่ที่ 12,144,240 บาท/ปี
- เมื่อนำมูลค่าความเสียหายของทั้งสองภาคส่วนมารวมกัน จึงสามารถประมาณได้ว่า วิกฤติในครั้งนี้จะมีมูลค่าเท่ากับ 68,353,024 บาท/ปี
‘แม่น้ำสาย’ ถือเป็นหนึ่งในแม่นํ้าสำคัญที่กั้นพรมแดนระหว่างจังหวัดเชียงรายของไทยและเมืองท่าขี้เหล็กในรัฐฉานของเมียนมา โดยบริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยกิจกรรม การค้าขาย และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจท้องถิ่น
สืบเนื่องมาจากสถานการณ์แม่น้ำกกปนเปื้อนสารพิษจากการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่) จึงนำมาสู่การตั้งถามต่อแม่น้ำสาขาอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับชายแดนเมียนมา ว่ามีแม่น้ำใดเชื่อมโยงอีกบ้าง จากกรณีดังกล่าว พบว่าแม่น้ำสาขาอื่นที่เชื่อมโยงกับชายแดนเมียนมาอีก 2 สาขาแม่น้ำ คือ 1. แม่น้ำสาย และ 2. แม่น้ำรวก อย่างไรก็ตาม รายงานชิ้นนี้จะมุ่งเน้นไปที่การประเมินความเสียหายของ ‘แม่น้ำสาย’ เป็นหลัก แล้วจึงค่อยไปประเมินความเสียหายของ ‘แม่น้ำรวก’ ในรายงานชิ้นต่อไป
จากผลตรวจค่าสารโลหะหนักในแม่น้ำสายล่าสุดเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 พบว่าแม่น้ำสายยังพบตะกั่วค่าสูงเกินค่ามาตรฐานฯ บริเวณ ต.แม่สาย อ.แม่สาย และสะพาน มิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าอยู่ในช่วง 0.065 – 0.074 มก./ล. และแมงกานีสพบว่าเกินมาตรฐานผลการตรวจวัดครั้งที่ 9 ค่าสูงเกินค่ามาตรฐานฯ ที่ สะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2
และหากสถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้แม่น้ำสายไม่สามารถใช้งานเพื่อกิจกรรมการเกษตร และประมง ได้อีก วิกฤตในครั้งนี้จะส่งผลโดยตรงต่อคนในกลุ่มอาชีพนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากการทำข้อมูลของ Lanner พบว่าแม่นํ้าสายที่ไหลผ่านประเทศไทยมีความยาวประมาณ 13 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบลในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แก่ ตำบลเวียงพางคำ ตำบลแม่สาย และตำบลเกาะช้าง ซึ่งมีประชากรวมประมาณ 67,173 คน โดยกลุ่มอาชีพที่พึ่งพาแม่น้ำสายสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ 1. ภาคการเกษตร 2. ภาคประมง
ทั้งนี้ภาคท่องเที่ยวในอำเภอแม่สาย อาทิ ที่พัก โรงแรม และรีสอร์ท พึ่งพาการค้าชายแดนเป็นหลัก ไม่ได้อิงรายได้จากแม่น้ำสายโดยตรง จึงไม่นับรวมในการประเมินครั้งนี้ การคำนวณจึงอิงเพียงสองกลุ่มอาชีพหลัก คือ เกษตรกรรมและประมง
1.ภาคการเกษตร
ข้อมูลจาก สํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยว่าในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) รวมทั้งสิ้น 116,580 ล้านบาท โดยภาคเกษตรกรรมมีมูลค่าราว 29,466 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25.27% ของเศรษฐกิจทั้งจังหวัด ทั้งนี้มีแรงงานในภาคเกษตรจำนวน 402,033 คน และพืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่วนพื้นที่เกษตรกรรมทั้งจังหวัดเชียงราย มีทั้งหมด 3,735,647 ไร่ คิดเป็น 51.17% จากพื้นที่ทั้งจังหวัด 7,298,981 ไร่ อ้างอิงจาก ข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดินกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลทางการที่บันทึกข้อมูลพื้นที่เกษตรกรรมที่อยู่ติดริมแม่น้ำสายโดยเฉพาะ มีเพียงสถิติพื้นที่เกษตรกรรมในระดับอำเภอจากกรมพัฒนาที่ดินจังหวัดเชียงราย การประเมินพื้นที่เกษตรริมแม่น้ำสายจึงต้องอาศัยการเทียบข้อมูลหลายขั้นตอน ได้แก่
1. ตรวจสอบสัดส่วนพื้นที่เกษตรกรรมในระดับอำเภอ โดยอ้างอิงข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดินจังหวัดเชียงราย
2. นำสัดส่วนพื้นที่เกษตรกรรมในระดับอำเภอมาคำนวณเพื่อประมาณการพื้นที่เกษตรของแต่ละตำบล
3. ระบุอำเภอที่แม่น้ำสายไหลผ่าน โดยอ้างอิงภาพถ่ายดาวเทียมจาก Google Earth เพื่อนำมากำหนดพื้นที่ที่อยู่ในเขตเสี่ยง (Risk Zone)
4. จากนั้น คำนวณพื้นที่เกษตรกรรมที่อยู่ในเขตเสี่ยง (Risk Zone) ริมแม่น้ำสายของแต่ละตำบล (โดยกำหนด Risk Zone เป็นพื้นที่ภายในระยะ 3 กิโลเมตรจากแนวแม่น้ำ)
5. เมื่อได้ตัวเลขพื้นที่เกษตรริมแม่น้ำสายแล้ว จึงนำไปประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจในภาคเกษตรกรรมในลำดับต่อไป


พื้นที่เกษตรกรรมระดับอำเภอแม่สาย

จากการรวบรวมข้อมูล อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นอำเภอเดียวที่แม่น้ำสายไหลผ่าน โดยมีพื้นที่เกษตรกรรม (หากนับเฉพาะข้าวและข้าวโพด) จำนวน 96,956 ไร่ จากทั้งหมด 178,125 ไร่ คิดเป็น 54.43% ของพื้นที่ทั้งหมดในอำเภอแม่สาย โดยภายในตัวเลข 54.43% ดังกล่าว หากแยกตามประเภทข้าวและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะพบว่า
– เป็นข้าว 93,951 ไร่ คิดเป็น 96.90% ของพื้นที่เกษตรกรรมระดับอำเภอแม่สาย
– เป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3,005 ไร่ คิดเป็น 3.10% ของพื้นที่เกษตรกรรมระดับอำเภอแม่สาย
เมื่อได้สัดส่วนพื้นที่เกษตรกรรมระดับอำเภอ ซึ่งคือ 54.43% แล้ว ขั้นตอนถัดไปคือเทียบตัวเลขดังกล่าวกับพื้นที่ของแต่ละตำบล เพื่อหาพื้นที่เกษตรกรรมระดับตำบลและพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำสาย
พื้นที่เกษตรกรรมระดับตำบลและพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำสาย

ทั้งนี้ พบว่าภายในอำเภอแม่สายแม่น้ำสายไหลผ่านทั้งหมด 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลเวียงพางคำ ตำบลแม่สาย และตำบลเกาะช้าง ซึ่งหากคำนวณพื้นที่เกษตรกรรม ‘ระดับตำบล’ โดยอ้างอิงข้อมูลจากพื้นที่เกษตรกรรม ‘ระดับอำเภอ (54.43%)’ สามารถแยกพื้นที่ทั้งตำบลและพื้นที่เกษตรกรรมของแต่ละตำบล ได้ดังนี้
– ตำบลเวียงพางคำ มีพื้นที่ทั้งตำบล 19,375 ไร่ พื้นที่เกษตรกรรมทั้งตำบล 10,546 ไร่
– ตำบลแม่สาย มีพื้นที่ทั้งตำบล 13,313 ไร่ พื้นที่เกษตรกรรมทั้งตำบล 7,246 ไร่
– ตำบลเกาะช้าง มีพื้นที่ทั้งตำบล 28,313 ไร่ พื้นที่เกษตรกรรมทั้งตำบล 16,108 ไร่
โดยทั้ง 3 ตำบลมีพื้นที่ทั้งหมดรวมกัน 60,939 ไร่ และมีพื้นที่เกษตรกรรมอยู่ที่ 33,169 ไร่ หากเทียบเคียงสัดส่วนระดับอำเภอ (54.43%) และหากแยกออกมาตามรายตำบล แล้วคำนวณหาพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำสาย จะสามารถระบุพื้นที่ได้ดังนี้

ซึ่งหากตั้งสมมติฐานว่าพื้นที่การเกษตรที่จะมีความเสี่ยงจะได้รับผลเสียหายคือพื้นที่ 3 กิโลเมตรจากริมแม่น้ำ (Risk Zone) และนำคำนวณตามความยาวของแม่น้ำที่ไหลผ่านในแต่ละตำบล จะได้พื้นที่รวม 40.2 ตร.กม. หรือ 24,497 ไร่ และหากนำมาคำนวณกับพื้นที่เกษตรกรรมระดับอำเภอ (54.43%) จะพบว่าพื้นที่เกษตรกรรมในพื้นที่ Risk Zone จะอยู่ที่ 12,758 ไร่ (สามารถดูวิธีคำนวณได้ที่นี่)
คำนวณมูลค่าความเสียหายภาคการเกษตร
ทั้งนี้เมื่อได้ข้อมูลพื้นที่เกษตรกรรมแล้ว และนำไปคำนวณหามูลค่าความเสียหาย โดยคำนวณเฉพาะพืชเกษตรหลัก 2 ชนิด คือ 1.ข้าว (นาปรังและนาปี) 2.ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากเป็นพืช 2 ชนิดหลักที่เป็นพืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัดเชียงราย ข้อมูลจาก สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย ได้คาดการณ์ราคาผลผลิตของพืชทั้งสองชนิดในปี 2568 ว่า ข้าวมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 8 บาท/กก. ทั้งนี้ราคาจะขึ้นหรือลงอยู่กับจำนวนปริมาณผลผลิตในแต่ละเดือนว่ามีมากน้อยเท่าไร ในขณะที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ยอยู่ที่ 7.4 บาท/กก.

ข้าว (นาปรังและนาปี)
– ข้าวนาปี มีผลผลิต 542 กก./ไร่ มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 8 บาท/กก. สามารถประมาณได้ว่าไร่หนึ่งจะมีมูลค่าเท่ากับ 4,336 บาท
– ข้าวนาปรัง มีผลผลิต 627 กก./ไร่ มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 7.4 บาท/กก. สามารถประมาณได้ว่าไร่หนึ่งจะมีมูลค่าเท่ากับ 4,655 บาท
– ทั้งนี้หากรวมข้อมูลข้าว (ทั้งนาปรังและนาปี) จะพบว่า ข้าวมีผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 585 กก./ไร่ ราคาข้าวของจังหวัดเชียงรายในปี 2568 มีมูลค่าประมาณอยู่ที่ 4,496 บาท

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
– สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในปี 2568 พบว่า ผลผลิตต่อไร่อยู่ที่ 365 กก./ไร่ มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4.4 บาท สามารถประมาณได้ว่าไร่นึงจะมีมูลค่าต่อไร่เท่ากับ 1,597 บาท
56 ล้านต่อปี มูลค่าความเสียหาย ‘ภาคการเกษตร’ ริมแม่น้ำสาย

จากการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด พบว่า พื้นที่เกษตกรรมริมแม่น้ำสายมีทั้งสิ้น 12,758 ไร่ (แบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวทั้งนาปรังและนาปี 12,362 ไร่ คิดเป็น 96.90% ของพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำสาย และ พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 395 ไร่ คิดเป็น 3.10% ของพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำสาย)
ราคาขายข้าวรอบฤดูปี 2568 ของจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ไร่ละ 4,496 บาท ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อยู่ที่ไร่ละ 1,597 บาท
(Rf x Rp) + (Cf x Cp) = มูลค่าความเสียหายภาคเกษตรกรรม
Rf = จำนวนพื้นที่ปลูกข้าว (ไร่) Rp = ราคาขายข้าวเฉลี่ยต่อไร่ปี 68 (บาท/ไร่)
Cf = จำนวนพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ไร่) Cp = ราคาขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉลี่ยต่อไร่ปี 68 (บาท/ไร่)
(12,362×4,496) + (395×1,597) = 56,208,784 บาท
หากนำข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาร่วมกัน และตั้งสมุติฐานว่าหากสถานการณ์แม่น้ำสายวิกฤตถึงขั้นไม่สามารถใช้น้ำในการประกอบเกษตรกรรมได้ เกษตรกรจำเป็นต้องหยุดการปลูกพืชไป 1 ปี จะส่งผลกระทบมากถึง 56,208,784 บาท/ปี
12 ล้านบาทต่อปี มูลค่าความเสียหายภาคประมงริมแม่นํ้าสาย
ภาคการประมงเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปนเปื้อนสารพิษในแม่นํ้าสาย ข้อมูลทะเบียนผู้ทำการประมง (ทบ.3) หรือประมงพื้นบ้าน จากกรมประมงจังหวัดเชียงราย ระบุว่าทั้งจังหวัดมีจำนวนประมงน้ำจืดอยู่ที่ 123 ราย หากนับเฉพาะพื้นที่ที่เกี่ยวข้องแม่นํ้าสาย จะเหลือเพียง 1 ราย อีกทั้งข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเมื่อปี 2564 และในปัจจุบันยังไม่ได้มีการอัพเดตจากกรมประมงจังหวัด
พิศณุกรณ์ ดีแก้ว จากสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ได้ให้ข้อมูลว่าแม่นํ้าสายและแม่นํ้ารวกเป็นแม่นํ้าที่กั้นระหว่างชายแดนไทย-เมียนมา กลุ่มประมงพื้นบ้านจึงไม่นิยมจับปลาแม่นํ้าเพื่อส่งออกขายในตลาดขนาดใหญ่ จะเป็นเพียงการจับไว้กินเองหรือขายในตลาดชุมชนขนาดเล็กเท่านั้น และส่วนใหญ่การทำประมงในบริเวณจะเป็นประเภทฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งนิยมเลี้ยงปลาในบ่อดิน เนื่องจากมีผลผลิตต่อเนื่องและขายได้ทั้งปี อีกทั้งมีการส่งออกสัตว์นํ้าไปยังเมียนมา ทำให้การเพาะเลี้ยงสัตว์นํ้าในพื้นที่ริมแม่นํ้าสายมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจในจังหวัด
ข้อมูลทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์นํ้า (ทบ.1) หรือประมงประเภทฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำ ในจังหวัดเชียงราย พบว่ามีจำนวนฟาร์มเลี้ยงทั้งจังหวัดทั้งสิ้น 16,210 ราย และฟาร์มเพาะ 23 ราย ‘และหากนับเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สาย’ พบว่ามีฟาร์มเลี้ยง 242 ราย และฟาร์มเพาะ 3 ราย โดยในพื้นที่อำเภอแม่สายส่วนใหญ่จะเป็นฟาร์มปลานิล ซึ่งหากแม่น้ำสายมีปริมาณการปนเปื้อนสารพิษในระดับที่สูง บ่อเลี้ยงปลาที่อาศัยน้ำจากแม่น้ำสายจะได้รับผลกระทบทันที ส่งผลให้ปลาอาจโตช้า ตาย หรืออาจไม่สามารถส่งขายได้ เพราะไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค

จากการสำรวจข้อมูลบ่อเลี้ยงปลาผ่านเว็บไซต์ Agri–Map ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่ามีบ่อที่ใช้น้ำชลประทานรวม 101 บ่อ หรือคิดเป็น 41.7% ของบ่อทั้งหมดในอำเภอแม่สาย โดยกระจายอยู่ในตำบลเวียงพางคำ แม่สาย เกาะช้าง โป่งผา และศรีเมืองชุม ขณะเดียวกันงานวิจัยที่ศึกษาความขัดแย้งด้านการจัดการแม่น้ำสายระหว่างไทย–เมียนมา ระบุว่า แหล่งน้ำหลักของระบบชลประทานในอำเภอแม่สายมีที่มาจากแม่น้ำสาย ดังนั้นจึงสามารถอนุมานได้ว่า บ่อปลาทั้ง 101 บ่อใช้น้ำที่ผันมาจากแม่น้ำสาย และหากแม่น้ำเกิดมลพิษจนไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ บ่อเหล่านี้ย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตัวอย่างจากจำปาฟาร์ม จังหวัดเชียงราย เผยให้เห็นว่าจำนวน 1 บ่อ สามารถเพาะเลี้ยงปลานิลได้ 3,000 ตัวต่อบ่อ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนจึงได้ขนาดตามที่ตลาดต้องการ โดยปลานิลที่จำหน่ายมีน้ำหนักเฉลี่ยราว 0.334 กิโลกรัมต่อตัว (หรือประมาณ 3 ตัวต่อกิโลกรัม) และใน 1 ปีสามารถเลี้ยงได้ 2 รอบ ส่งผลให้ผลผลิต ‘ต่อปี’ จะเฉลี่ยอยู่ที่ 2,004 กิโลกรัม/บ่อ (ราว 1,002 กิโลกรัม/บ่อ/รอบ) ขณะที่ราคาขายล่าสุดอยู่ที่ 60 บาท/กิโลกรัม
หากนำข้อมูลทั้งหมดมาคำนวณหามูลค่าความเสียหายของภาคประมงในแม่น้ำสาย สามารถคำนวณได้ ดังนี้
(P x Fa) x Fp= มูลค่าความเสียหายภาคประมงในแม่น้ำสายต่อปี
(P=บ่อทั้งหมดในพื้นที่ชลประทาน x Fa=จำนวนปริมาณปลาเฉลี่ยต่อบ่อต่อปี (กก.)) x Fp=ราคาขายต่อกิโลกรัม
(101 x 2,004) x 60 = 12,144,240 บาท/ปี
ทั้งนี้สามารถสรุปได้ว่า หากแม่น้ำสายปนเปื้อนจนไม่สามารถดำเนินกิจการประมงได้เป็นระยะเวลา 1 ปี จะพบว่าความเสียหายภาคประมงริมแม่น้ำสายจะอยู่ที่ 12,144,240 บาท/ปี
แม่น้ำสายแม้จะสั้น แต่ใช่ว่าความเสียหายจะน้อย

แม้แม่น้ำสายจะสั้นกว่าแม่น้ำกกมาก มีความยาวเพียง 13 กิโลเมตร และไหลผ่านพื้นที่เพียง 3 ตำบลเท่านั้น แต่ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับประชากร 67,173 คน หรือมากกว่านั้น โดยเฉพาะกรณีประมง น้ำจากแม่น้ำสายไม่ได้ใช้เฉพาะใน 3 ตำบลที่แม่น้ำไหลผ่านเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงตำบลโป่งผาและศรีเมืองชุมด้วย กลุ่มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่เหล่านี้ใช้น้ำจากระบบชลประทานอำเภอแม่สาย ซึ่งมีต้นน้ำมาจากแม่น้ำสายเป็นหลัก ความเสียหายของการปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองแร่ของแม่น้ำสายจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ริมแม่น้ำเท่านั้น
และเมื่อรวมมูลค่าความเสียหายของทั้ง 2 ภาค ทั้ง ภาคการเกษตร และประมง ที่คาดว่าได้รับผลกระทบโดยตรงหากแม่นํ้าสายปนเปื้อนสารพิษรุนแรง พบว่า ภาคการเกษตร เสียหายประมาณ 56,208,784 บาทต่อปี และภาคการประมง เสียหายประมาณ 12,144,240 บาทต่อปี เมื่อรวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมด แล้ว วิกฤตในครั้งนี้มีมูลค่าถึง 68,353,024 บาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม มูลค่าความเสียหายที่แท้จริงอาจมีมูลค่าสูงกว่า เนื่องจากการประเมินครั้งนี้เป็นเพียงการคำนวณเบื้องต้น โดยอาศัยข้อมูลที่เป็นสาธารณะและเปิดเผยจากรัฐ และกำหนดกลุ่มอาชีพเพียง 2 กลุ่ม รวมถึงกำหนดกรอบระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น
ไม่เพียงแต่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ที่ได้รับผลกระทบ แต่ยังมี ‘แม่น้ำรวก’ ซึ่งเป็นแม่น้ำที่แม่น้ำสายมาบรรจบก่อนที่จะไหลลงสู่แม่น้ำโขง ซึ่งก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
อ่าน [ชุดข้อมูล] 68 ล้านบาท เปิดมูลค่าความเสียหายแม่น้ำสายปนเปื้อนสารพิษเหมืองแร่ เกษตร 56 ล้านต่อปี ประมง 12 ล้านต่อปี https://www.lannernews.com/17092568-03/
ที่มา
- กรมพัฒนาที่ดินกระทรวงเกษตรและสหกรณ์.แนวทางการส่งเสริมการเกษตรที่เหมาะสมตามฐานข้อมูลแผนที่เกษตรเชิงรุกจังหวัดเชียงราย
- สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย.ข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดเชียงราย
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, Agri-Map Online
- Yuki Miyake, Conflicts and Negotiations among Multiple Stakeholders of the Sai Transboundary River Management between Northern Thailand and Eastern Myanmar
- ไทยรัฐ, เทคนิคเลี้ยงปลานิล รายได้ ความเสี่ยง คุยกับเจ้าของฟาร์มเงินล้าน
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, การเลี้ยงปลานิล
- สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, ข้อมูลทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์นํ้า (ทบ.1)

นักมานุษยวิทยามือสมัครเล่น ผู้ที่สนใจประเด็นทางสังคมรอบตัว และพยายามตามหาคำตอบเพื่ออธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังพัฒนาการสื่อสารประเด็นทางสังคมในหลากหลายรูปแบบ เพื่อต้องการให้สังคมเกิดการรับรู้เพิ่มขึ้น