‘บางระกำโมเดล’ ก้าวไกลระดับโลก แต่ ‘คน’ โดนทิ้งไว้กลางน้ำ

Date:

เรื่อง: ฐิติพร มะโนวรรณา, ภาพ: ตุลา ธารา

‘บางระกำโมเดล’ โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ภายใต้สำนักงานชลประทานที่ 3 ได้รับรางวัล Impactful Solution จากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ในงาน Rome Water Dialogue ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี FAO

ผลงานนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของชุมชน โดยตัวแทนกรมชลประทานได้ร่วมบรรยายแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเวทีระดับโลก สะท้อนศักยภาพของไทยในการพัฒนาระบบจัดการน้ำที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และสามารถต่อยอดเป็นแบบอย่างให้ประเทศอื่นได้อย่างแท้จริง

แต่ภาพสะท้อนบนความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น เมื่อความเป็นจริงนั้น อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก คือพื้นที่ราบลุ่มสลับเนินสูงที่มีแม่น้ำยมไหลผ่านยาวกว่า 60 กิโลเมตร พื้นที่เกษตรกว่า 7 แสนไร่ในอำเภอนี้คือหัวใจของชุมชน คือแหล่งทำกินหลักของผู้คน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่ที่ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี เพราะแม่น้ำยมเป็นเพียงสายเดียวในภาคเหนือที่ไม่มีเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ เมื่อฝนตกหนัก น้ำจึงไหลบ่าท่วมพื้นที่ราบคล้ายแอ่งกระทะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในอดีต ชาวนาหลายรายต้องสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรเพราะน้ำท่วมแทบทุกปี กระทั่งปี 2560 ที่รัฐได้ริเริ่มโครงการบางระกำโมเดล เพื่อบริหารจัดการน้ำใหม่ ให้ชาวนาเร่งปลูกและเก็บเกี่ยวก่อนน้ำหลาก เพื่อใช้พื้นที่เป็น ‘พื้นที่หน่วงน้ำ’ ช่วยป้องกันน้ำท่วมพื้นที่อื่นๆ ทางตอนล่างของภาคเหนือ ผลคือ นาข้าวไม่เสียหายเหมือนเดิม แต่ชาวบ้านยังคงต้องอยู่กับน้ำที่ท่วมขังยาวนาน 3–4 เดือนในทุกปี

ในปี 2568 บางระกำยังคงจมอยู่ใต้น้ำเหมือนเดิม และหนักหนากว่าที่เคย ระดับน้ำในหลายหมู่บ้านสูงจนท่วมบ้านเรือนและถนน บางครอบครัวต้องสร้างเพิงพักชั่วคราวหนีน้ำ หลังเผชิญสถานการณ์น้ำหลากตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เหมือนเป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันจบสิ้น

ทุกข์ของคนบางระกำ เมื่อทุ่งหน่วงน้ำกลายเป็นบ่อน้ำขัง

15 ตุลาคม 2568 น้ำในอำเภอบางระกำยังคงท่วมขังไม่ยอมลด แม่น้ำยมที่ไหลผ่านพื้นที่โครงการบางระกำโมเดลเอ่อล้นจนท่วมกว้างกว่า 6 แสนไร่ ชาวบ้านต้องใช้เรือแทนถนน และใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก

“ปีนี้หนักที่สุดตั้งแต่มีโครงการบางระกำโมเดลมาเลยครับ”

อนันต์ พุดแจ่ม ประธาน อสม.ตำบลวังอิทก เล่าว่า พื้นที่บางระกำรับน้ำจากทางเหนือผ่านห้วย หนอง คลอง บึงหลายสาย เมื่อฝนตกชุกกว่าทุกปี น้ำจึงระบายไม่ทัน ขังอยู่นานกว่าสองเดือนและอาจลากยาวถึงต้นพฤศจิกายน

เขาอธิบายว่า สาเหตุหลักมาจากฝนที่ตกหนักและการใช้พื้นที่เป็น ‘ทุ่งหน่วงน้ำ’ เพื่อชะลอมวลน้ำไม่ให้ไหลลงภาคกลาง อีกทั้งปีนี้แม่น้ำน่านก็มีระดับสูง ทำให้ไม่สามารถระบายน้ำจากแม่น้ำยมได้

“บางระกำมันก็เลยกลายเป็นน้ำขังครับ ระบายไม่ออก อย่างมาตรการขุดลอกคลองช่วยได้เพียงบางส่วน ปีนี้น้ำเยอะเกินรับไหว เอาไม่อยู่จริงๆ หนักสุดในรอบสิบกว่าปี ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา” อนันต์กล่าว

แม้ข้อมูลงบประมาณประจำปี 2566 จะระบุว่า กรมชลประทานได้ใช้งบประมาณจำนวน 162,500 บาท/ปี เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำหัวงานและอาคารประกอบสำหรับบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อำเภอบางระกำ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่รับประโยชน์กว่า 51,375 ไร่ อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านกลับมองว่างบประมาณดังกล่าวยังไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ยังคงได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมซ้ำซาก

“พอน้ำท่วมก็ออกไปทำงานไม่ได้ ส่วนใหญ่คนที่นี่ทำเกษตร อยู่บ้านเป็นหลักครับ”

อนันต์เล่าว่า ขณะนี้หน่วยงานในพื้นที่เริ่มเข้ามาช่วย แจกถุงยังชีพ ยา และสิ่งจำเป็น แต่การเยียวยายังไม่ทั่วถึง บางบ้านอาจไม่โดนน้ำเข้าบ้าน แต่รายได้หายไป เพราะทำงานไม่ได้ 

“รัฐควรดูแลให้ครอบคลุมกว่านี้ ไม่ใช่เฉพาะบ้านที่ถูกน้ำท่วม อยากให้บริหารจัดการน้ำให้กระจายออกไปมากกว่านี้ ไม่ใช่หน่วงไว้ที่บางระกำอย่างเดียว จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนกันซ้ำทุกปี” อนันต์กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน ปริญญา แทนวงษ์ ประธานเครือข่ายชุมชนฅนบางระกำ เล่าย้อนว่า บางระกำโมเดล เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2554 ในเฟสแรก โดยใช้พื้นที่ฝั่งขวาของแม่น้ำยมเป็นแก้มลิง 3 บึงใหญ่เพื่อหน่วงน้ำ ก่อนจะขยายเฟสสองในปี 2559–2560 ไปยังฝั่งซ้าย ครอบคลุมพื้นที่กว่า 265,000 ไร่ หน่วงน้ำได้ราว 400 ล้านลูกบาศก์เมตร

แต่เมื่อเริ่มดำเนินการจริง ปริมาณน้ำกลับมากเกินขอบเขตที่วางไว้ จากพื้นที่ 265,000 ไร่ กลายเป็นน้ำท่วมกว่า 400,000–500,000 ไร่ และท่วมต่อเนื่องทุกปี ปีนี้หนักที่สุดในรอบเกือบ 9 ปี หลังกรมชลประทานขยายพื้นที่หน่วงน้ำเป็น 327,000 ไร่ และมีน้ำไหลเข้ามามากกว่า 500 ล้านลูกบาศก์เมตร เกินกว่าที่เคยตกลงไว้กับชุมชน

“ผลคือชาวบ้านได้รับผลกระทบทั่วทั้งในและนอกเขตโครงการ ทั้งที่ตอนเริ่มมีข้อตกลงว่าจะมีการชดเชยระหว่างน้ำท่วมหรือการหน่วงน้ำ แต่ผ่านมา 8 ปี ยังไม่เคยมีการเยียวยาหรือสนับสนุนใดๆ จากรัฐ”

พื้นที่หน่วงน้ำเหล่านี้ไม่ใช่เพียงพื้นที่เกษตร หากยังมีบ้านเรือน วัด โรงเรียน และสถานประกอบการมากมาย เมื่อกลายเป็นแอ่งรับน้ำ ทุกชีวิตต้องรับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องอยู่กับน้ำโดยไม่มีทางเลือก

หลายครอบครัวต้องดิ้นรนด้วยตนเอง บางคนพายเรือไปทำงานทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น บางคนต้องซื้อเรือยนต์และอุปกรณ์เพิ่ม กลายเป็นภาระต้นทุนชีวิต เกษตรกรและชาวประมงขาดรายได้ยาวนานกว่า 4 เดือน บางครอบครัวต้องย้ายออกไปเช่าบ้านเพราะน้ำท่วมหนัก ส่วนผู้สูงอายุในบ้านไม้เก่าก็ต้องทนกับความร้อนอบอ้าวและความเครียดที่กดทับ

“นี่ไม่ใช่การเสียสละ แต่เป็นการสูญเสีย เราถูกบอกว่าทำเพื่อช่วยคนลุ่มเจ้าพระยา แต่มันไม่ยุติธรรมเลย เหมือนคนตกน้ำ แล้วให้คนว่ายน้ำไม่เป็นลงไปช่วย สุดท้ายคนที่จมน้ำก็คือเราเอง”

เขาเสนอว่า หากรัฐยังต้องการให้บางระกำเป็นพื้นที่รับน้ำ ควรมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ ทั้งเงินชดเชยตามความเสียหาย กองทุนช่วยเหลือให้ชุมชนปรับตัว เช่น การสร้างบ้านยกพื้น ระบบสาธารณูปโภค ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา เพื่อให้คนอยู่กับน้ำได้จริง

ปริญญากล่าวในฐานะคนทำงานกับชุมชนมากว่า 10 ปี ว่า ที่ผ่านมาเขา ‘ไม่เคยเห็นการมีส่วนร่วมของชาวบ้านอย่างแท้จริงเลย’ โครงการมักเลือกเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานเข้ามาร่วม ขณะที่คนที่เดือดร้อนจริงกลับไม่มีเสียงในกระบวนการ

“รัฐควรมีองค์กรอิสระเข้ามากำกับดูแล และจัดตั้งกองทุนกลางเพื่อช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบให้สามารถอยู่กับน้ำได้อย่างยั่งยืน เพราะตอนนี้ ไม่มีทั้งงบประมาณ โครงการ หรือกลไกใดๆ ที่มาดูแลเลย”

บางระกำโมเดล อยู่ร่วมกับน้ำ แต่ยังไม่พ้นน้ำ

บางระกำโมเดลถูกวางให้เป็นต้นแบบการบริหารจัดการน้ำและการเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำที่เผชิญน้ำท่วมเป็นประจำ แนวคิดสำคัญของโครงการ คือให้เกษตรกรสามารถ ‘อยู่ร่วมกับน้ำได้’ ด้วยการปรับปฏิทินเพาะปลูกให้เร็วขึ้น เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนฤดูฝนจะมาถึง

โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกรมชลประทานกับประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำยมตอนล่าง เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2559 ครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ อำเภอพรหมพิราม บางระกำ เมือง และวัดโบสถ์ รวมถึงอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย จุดมุ่งหมายคือ ลดความเสียหายจากน้ำท่วม และใช้พื้นที่หลังฤดูเก็บเกี่ยวเป็น ‘ทุ่งหน่วงน้ำ’ เพื่อชะลอน้ำก่อนเข้าสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง

ภาพ: สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพิษณุโลก

ในปี 2567 โครงการบางระกำโมเดลมีพื้นที่ดำเนินการกว่า 265,000 ไร่ ภายใต้การดูแลของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษายมน่าน พลายชุมพล และนเรศวร ขณะที่กรมชลประทานมีแผนขยายพื้นที่เพิ่มอีก 62,000 ไร่ในปี 2568 รวมเป็น 327,000 ไร่ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บน้ำให้มากขึ้น โครงการเริ่มส่งน้ำเข้าระบบตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม เพื่อให้ชาวนาเริ่มเพาะปลูกได้เร็วขึ้นราวสองเดือน และเก็บเกี่ยวให้เสร็จก่อนกลางเดือนสิงหาคม ก่อนเปิดพื้นที่ตั้งแต่ 16 สิงหาคมถึง 31 ตุลาคมให้เป็นทุ่งหน่วงน้ำซึ่งสามารถรองรับน้ำได้สูงสุดถึง 400 ล้านลูกบาศก์เมตร

แต่ปี 2568 กลับไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ชำนาญ ชูเที่ยง ผู้อำนวยการโครงการชลประทานพิษณุโลก อธิบายว่า ปีนี้แม่น้ำน่านมีระดับน้ำสูงจนไม่สามารถผันน้ำจากแม่น้ำยมลงไปได้ อีกทั้งยังมีมวลน้ำจากจังหวัดสุโขทัยไหลมาสมทบ ทำให้ปริมาณน้ำสะสมในเขตโครงการเกินข้อตกลงเดิมที่ 400 ล้านลูกบาศก์เมตรไปมากกว่า 500 ล้านลูกบาศก์เมตร หลายพื้นที่จึงถูกน้ำท่วมขังจนสัญจรไม่ได้ ต้องใช้เรือแทนถนน

“ปีนี้ต้องยอมรับว่าระดับน้ำเกินกว่าสภาพที่เราจะรับได้ แต่เราก็พยายามลดผลกระทบให้มากที่สุด” 

ชำนาญกล่าว พร้อมระบุว่ามีการลดการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ และเก็บกักน้ำเหนือเขื่อนแควน้อยบำรุงแดนเพื่อชะลอมวลน้ำในตอนบน เขาคาดว่าหากไม่มีฝนตกเพิ่ม สถานการณ์น่าจะคลี่คลายภายในกลางเดือนพฤศจิกายน

ขณะเดียวกัน หน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่นเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งการแจกถุงยังชีพ เยียวยาครัวเรือนละ 9,000 บาทสำหรับบ้านที่ถูกน้ำท่วมขังเกิน 7 วัน รวมถึงการสำรวจแผนยกระดับถนนและระบบสาธารณูปโภค เพื่อรองรับวิถีชีวิตในระยะยาว

วิบูลย์ ตั้งเกษมวิบูลย์ นายกเทศมนตรีเทศบาลบางระกำเมืองใหม่ กล่าวว่า ระดับน้ำในปีนี้สูงถึง 42.8 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ใกล้เคียงกับอุทกภัยปี 2554 บ้านเรือนหลายหลังถูกน้ำท่วมถึงชั้นสอง ถนนหลายสายจมหายไปใต้น้ำ 

“ตอนนี้เราระบายน้ำได้วันละประมาณ 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่มีน้ำใหม่เข้ามาถึง 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย” 

วิบูลย์กล่าว พร้อมระบุว่า เทศบาลต้องเร่งสร้างคันดินและแนวกระสอบทรายเพื่อป้องกันน้ำ รวมถึงจัดพื้นที่เพิงพักและนำสิ่งของจำเป็นเข้าไปช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ไม่มีใครควรถูกทิ้งไว้กลางน้ำ คนบางระกำกับกรรมที่ไม่อยากรับ

แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี นาข้าวบางระกำยังคงถูกใช้เป็นพื้นที่หน่วงน้ำทุกฤดูฝน ผู้คนในชุมชนต้องย้ายของหนีน้ำจนกลายเป็นเรื่องปกติ บางครอบครัวคุ้นชินกับการใช้เรือแทนรถจักรยานยนต์ เด็กๆ ต้องเดินลุยน้ำไปโรงเรียน ส่วนผู้ใหญ่ก็เรียนรู้จะอยู่กับน้ำที่เอ่อท่วมทุกปี โดยไม่มีใครรู้เลยว่าสักวันหนึ่ง โครงการแก้ปัญหา ที่ถูกพูดถึงซ้ำๆ จะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้จริงหรือไม่

สำหรับคนบางระกำ น้ำท่วมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่น้ำที่ท่วมขังโดยไม่มีทางออกต่างหากที่ทำให้ชีวิตต้องหยุดนิ่ง เหมือนกับปัญหาที่ไม่เคยถูกแก้ไขให้ถึงราก เหมือนกับเสียงของชาวบ้านที่ยังเบาเกินกว่าจะได้ยินถึงผู้มีอำนาจ

สุดท้ายแล้ว ชาวบ้านก็ได้แต่หวังว่า คงจะมีสักวันที่บางระกำจะไม่ต้องเป็น ‘พื้นที่เสียสละ’ ที่จมน้ำแทนใครอีกต่อไป

รายการอ้างอิง

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...