หลังจากเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ในวาระสามด้วยคะแนนเห็นด้วย 309 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง และไม่ลงคะแนน 5 เสียง โดยไม่มีเสียงคัดค้าน ทำให้กระบวนการผลักดันกฎหมายเพื่อจัดการปัญหา PM2.5 อย่างเป็นระบบ ก้าวเข้าสู่ช่วงสำคัญทันที
ขั้นตอนต่อไปขึ้นอยู่กับ วุฒิสภา ว่าจะสามารถพิจารณาร่างกฎหมายได้ ภายในกรอบเวลา 30–60 วัน (ระหว่าง 12 ธันวาคม 2568 – 10 เมษายน 2569) หรือไม่ อีกทั้งยังต้องจับตาว่า สว. หรือกรรมาธิการวุฒิสภาจะมีการ ‘แก้ไขเนื้อหา’ หรือไม่ เพราะหากมีการแก้ไขแม้เพียงมาตราเดียว ร่างกฎหมายจะต้องย้อนกลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาใหม่ ทำให้กระบวนการล่าช้าออกไปอีก
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงทางการเมืองอย่างการ ‘ยุบสภา’ ซึ่งอาจทำให้ร่างกฎหมายตกไปทันที หากเกิดขึ้นก่อนกระบวนการรัฐสภาจะแล้วเสร็จ และจะนำกลับมาพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ร้องขอภายใน 60 วันแรกหลังการเลือกตั้ง
ท่ามกลางความไม่แน่นอนเหล่านี้ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2025 ไทภัทร ธนสมบัติกุล บิดาของ นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้ายซึ่งถ่ายทอดประสบการณ์การต่อสู้ผ่านเพจและหนังสือ ‘สู้ดิวะ’ ได้ออกมาพูดถึงร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่ภาคประชาชนร่วมผลักดัน แต่ปัจจุบันยังมีอุปสรรคเเละปัญหาหลายประการ ที่ทำให้กฎหมายฉบับนี้ยังไม่สามารถประกาศใช้ได้ พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ปัญหา PM2.5 อย่างยั่งยืน
พ.ร.บ. อากาศสะอาด ถูก ‘ดอง’ หรือ ‘เตะถ่วง’ อยู่หรือเปล่า?

ไทภัทร ระบุว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ จะเข้ามาปิดช่องว่างให้ประชาชนทุกคน สามารถเข้าถึงอากาศสะอาดได้ รวมทั้งกำหนดให้รัฐต้องมีหน้าที่ในการปกป้องสิทธินี้ ถือเป็นการเเก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในรูปแบบยั่งยืน ต่างจากวิธีการแก้ปัญหาเเบบเดิมๆ ที่ล้วนเเต่เป็นการเเก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการขอความร่วมมือภาคประชาชนไม่เผา การเเจกหน้ากากอนามัย การพ่นน้ำไล่ฝุ่น การตั้งวอร์รูม หรือวิธีต่างๆ ที่เป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้น เเละไม่สามารถทำให้ PM2.5 หายไปได้
ไทภัทรยังตั้งคำถามถึงความคืบหน้าของ พ.ร.บ. โดยฝากคำถามถึงกลุ่มนายทุน หรือ ผู้ประกอบการมลพิษสูงเกี่ยวกับกฎหมายว่า
“กลัวจะต้องลงทุนติดตั้งเครื่องกรองฝุ่นค่าธรรมเนียมจัดการมลพิษ หรือกลัวว่าถ้ากฎหมายออกมา ประชาชนจะมีสิทธิ์ฟ้องร้อง หรือเรียกให้เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเข้ามาตรวจสอบและสั่งปิดได้ทันที”
เขายังระบุอีกว่า “สุขภาพประชาชนไม่ใช่ข้อต่อรอง” หากไม่เร่งแก้ไข มูลค่าความเสียหายที่ตามมานอกจากเรื่องสุขภาพประชาชน ยังมีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการรักษาพยาบาล เเละสร้างความเสียหายให้การท่องเที่ยว ซึ่งปัญหาที่เหล่านี้สร้างความเสียหายมากกว่ากำไรจากธุรกิจส่วนตนหลายเท่าอย่างเเน่นอน
นอกจากนี้ ไทภัทร ยังฝาก 3 ประเด็นถึงทุกภาคส่วน เเละผู้มีอำนาจ ดังนี้
1. ความหวังสุดท้ายของการขับเคลื่อนกฎหมาย ถึงวุฒิสภา เเละกลไกของรัฐ ให้เร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ฉบับที่ดีที่สุดนี้
2. ถึงภาคธุรกิจ ให้ออกมาขับเคลื่อนเเละเเสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ในประเด็นนี้
3. ถึงประชาชนทุกคน อย่าหยุดส่งเสียง เพื่อร่วมกันออกแบบเเละสร้างกฎหมายที่เป็นของเรา ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการหายใจ
“อากาศสะอาดคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่จะได้หายใจ” ไทภัทรทิ้งท้าย
คนเหนือต้องการ พ.ร.บ.อากาศสะอาดที่มีศูนย์กลางเป็นของประชาชน

ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 เครือข่ายสภาลมหายใจ 9 จังหวัดภาคเหนือ ออกแถลงการณ์เสนอข้อเรียกร้อง เพื่อเร่งดำเนินการร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด 5 ข้อ ดังนี้
1. เพื่อให้กฎหมายอากาศสะอาดถูกบังคับใช้ได้ทันท่วงทีก่อนถึงฤดูฝุ่นของภาคเหนือ ชั้นกรรมาธิการของวุฒิสภา และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเหนืออุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษ เร่งพิจารณาให้ผ่านร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดเพื่อนำมาบังคับใช้โดยเร็วบนฐานคิดที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของประชาชนในประเทศเป็นสำคัญ และผลักดันให้อุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านสู่วิถีการผลิตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรการทางกฎหมาย เพราะการลงทุนและผลกำไรทางธุรกิจใดใดนั้นไม่ควรมีต้นทุนจากสุขภาพของประชาชน
2. กรณีฝุ่นควันข้ามแดนซึ่งเป็นปัญหาหลักของพื้นที่ภาคเหนือตอนบน รัฐต้องเร่งดำเนินมาตรการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่ระบุไว้ภายใต้ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อกำกับดูแลให้มีระบบตรวจสอบในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ เกษตร และอาหาร โดยกำหนดให้ข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทานเป็นข้อมูลสาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้าถึงและร่วมตรวจสอบได้อย่างโปร่งใสในทุกกระบวนการ
3. คณะกรรมการระดับจังหวัดต้องประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในระดับจังหวัด และตัวแทนประชาชนที่ครอบคลุมหลากหลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่มชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ผู้มีวิถีชีวิตพึ่งพิงการใช้ไฟในไร่หมุนเวียน
4. สนับสนุนให้เกิดแผนการแก้ไขปัญหาไฟป่าเชิงพื้นที่โดยชุมชนมีส่วนร่วมในระดับพื้นที่และระดับจังหวัด โดยรวมถึงไฟจำเป็น แผนนี้จะต้องมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงชุมชนและภาคประชาสังคม กับหน่วยงานป่าไม้ ภาคธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อผสานแผนการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ป่ารอยต่อหลาย ๆ ประเภท
5. เครือข่ายฯ เรียกร้องการยกระดับจากแนวทางห้ามเผาโดยเด็ดขาด (Zero Burn) แบบเหมารวม เป็นการบริหารจัดการไฟแบบมีส่วนร่วม เนื่องจากการห้ามเผาเด็ดขาดแบบเหมารวมจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาแล้ว ยังเพิ่มเชื้อเพลิงในป่า ทำให้ปัญหามลพิษทวีความรุนแรงขึ้น และยังเป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชนของชุมชน
ทั้งนี้ เครือข่ายฯ กำชับว่า ประชาชนกำลังตั้งตารอกฎหมายอากาศสะอาดที่เป็นของประชาชนเพื่อคืนสุขภาพให้กับคนเหนือ และคืนสิทธิในอากาศสะอาดให้กับประชาชนอย่างแท้จริง
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




