ไขรหัสพลังงานภาคเหนือ: คนเหนือใช้-จ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นกี่บาท ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

เรื่องและภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง

ผลงานชิ้นนี้อยู่ภายใต้ซีรีส์คอนเทนต์ ‘พลังงาน / คน / ภาคเหนือ’ จากความร่วมมือระหว่าง Lanner และ JET in Thailand


ข้อมูลล่าสุดจากในปี 2565 จากรายงาน ‘จำนวนผู้ใช้ไฟฟ้า และการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำแนกตามประเภทผู้ใช้ไฟฟ้า พ.ศ. 2556 – 2565’  จัดทำโดยกระทรวงพลังงาน ‘ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา’ พบว่าทั้งภาคเหนือมีจำนวนการใช้ไฟฟ้า ‘เฉลี่ยต่อปี’ อยู่ที่ 15,110,617,549 หน่วย (กิโลวัตต์-ชั่วโมง) เชียงใหม่ เป็นจังหวัดที่ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีสูงที่สุดอยู่ที่ 3,144,198,136 หน่วย ขณะที่ แม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดที่ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีน้อยที่สุดอยู่ที่  125,576,704 หน่วย และหากสำรวจค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าของคนภาคเหนือ จะพบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาคนภาคเหนือจากค่าไฟเพิ่มขึ้นทุกปี

จากรายงาน ‘สรุปผลที่สำคัญ การใช้จ่ายพลังงานของครัวเรือน’ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2557 – 2566 พบว่า ค่าไฟเฉลี่ยต่อเดือนของคนภาคเหนือสูงขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ ปี ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2557 ‘คนภาคเหนือ’ จ่ายค่าไฟโดยเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 460 บาท ในขณะที่ปี 2566 จ่ายค่าไฟเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 663 บาท เพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 1.44 เท่า

ด้วยเงื่อนไขนี้ หากแต่ละบ้านใช้ไฟต่อเดือนเท่าเดิม ในปี 2566 จะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นกว่าปี 2557 เดือนละ 203 บาท รวมแล้วในปี 2566 จะต้องเสียส่วนต่างค่าไฟที่เพิ่มขึ้นถึง 2,436 บาท แต่หากเฉลี่ยเป็นรายปี ในตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าคนภาคเหนือจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 22.5 บาท

ทั้งนี้หากแยกออกเป็นตามรายจังหวัด จำแนกตามปริมาณการใช้ไฟฟ้า และค่าไฟฟ้าในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา โดยเรียงจากจังหวัดที่จ่ายส่วนต่างค่าไฟต่อปีสูงสุดไปยังน้อยสุด สามารถแยกได้ดังนี้

นครสวรรค์ เป็นจังหวัดที่ใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 1,425,984,059 หน่วย และจ่ายค่าไฟ ‘เฉลี่ยต่อเดือน’ สูงสุดใน 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นปีละ 32.89 บาท 

จากปี 2558 ค่าไฟเฉลี่ยของคนนครสวรรค์อยู่ที่เดือนละ 673 บาท แต่ในปี 2566 กลายเป็นเดือนละ 963 บาท แตกต่างกันถึง 290 บาท

ขณะที่รายได้ต่อหัวของคนนครสวรรค์ในปี 2558 อยู่ที่ 7,457 บาท ส่วนปี 2566 อยู่ที่ 8,468 บาทรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วยการจ่ายค่าไฟที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในปี 2558 ค่าไฟคิดเป็น 9.03% ของรายได้ต่อหัวของคนนครสวรรค์ ในขณะที่ปี 2566 ค่าไฟคิดเป็น 11.37% ของรายได้ต่อหัว เพิ่มขึ้น 2.35%

รองลงมาคือ เพชรบูรณ์ ทั้งจังหวัดที่ใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 953,142,876 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 29.89 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ในปี 2558 มีค่าไฟเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 434 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 704 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 270 บาท 

รายได้ต่อหัวของคนเพชรบูรณ์ในปี 2558 อยู่ที่ 6,798 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 9,031 บาท ค่าไฟของคนเพชรบูรณ์ปี 2558 มีค่าไฟคิดเป็น 6.38% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 7.80% เพิ่มขึ้น 1.41%

เชียงใหม่ ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 3,144,198,136 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 29.67 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 299 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 613 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 314 บาท

รายได้ต่อหัวของคนเชียงใหม่ในปี 2558 อยู่ที่ 7,099 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 10,962 บาท ค่าไฟของคนเชียงใหม่ ปี 2558 คิดเป็น 4.21% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 5.59% เพิ่มขึ้น 1.38%

สุโขทัย ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 530,481,966 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 29.56 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 511 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 762 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 251 บาท

รายได้ต่อหัวของคนสุโขทัยในปี 2558 อยู่ที่ 7,438 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 9,210 บาท ค่าไฟของคนสุโขทัย ปี 2558 คิดเป็น 6.87% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 8.27% เพิ่มขึ้น 1.40%

กำแพงเพชร ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 1,002,559,960 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 28.67 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 499 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 782 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 283 บาท

รายได้ต่อหัวของคนกำแพงเพชรในปี 2558 อยู่ที่ 6,181 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 7,872 บาท ค่าไฟของคนกำแพงเพชร ปี 2558 คิดเป็น 8.07% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 9.93% เพิ่มขึ้น 1.86%

อุทัยธานี ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 294,667,574 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 28.11 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 518 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 793 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 275 บาท 

รายได้ต่อหัวของคนอุทัยธานี ในปี 2558 อยู่ที่ 6,885 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 7,841 บาท ค่าไฟของคนอุทัยธานี ปี 2558 คิดเป็น 7.52% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 10.11% เพิ่มขึ้น 2.59%

ลำพูน ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 1,289,320,143 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 27.33 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่  432 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 661 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 229 บาท 

รายได้ต่อหัวของคนลำพูนในปี 2558 อยู่ที่ 9,194 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 10,418 บาท ค่าไฟของคนลำพูนปี 2558 คิดเป็น 4.70% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 6.34% เพิ่มขึ้น 1.65%

พิษณุโลก ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 1,258,277,923 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 25.11 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 703 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 907 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 204 บาท

รายได้ต่อหัวของคนพิษณุโลกในปี 2558 อยู่ที่ 6,720 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 9,098 บาท ค่าไฟของคนพิษณุโลกปี 2558 คิดเป็น 10.46% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 9.97% ลดลง 0.49%

อุตรดิตถ์ ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 489,546,138 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 23.44 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 547 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 774 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 227 บาท

รายได้ต่อหัวของคนอุตรดิตถ์ในปี 2558 อยู่ที่ 6,701 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 7,555 บาท ค่าไฟของคนอุตรดิตถ์ ปี 2558 คิดเป็น 8.16% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 8.72% เพิ่มขึ้น 0.56%

ลำปาง ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 951,424,169 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 23.00 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 395 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 624 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 229 บาท 

รายได้ต่อหัวของคนลำปางในปี 2558 อยู่ที่ 7,669 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 9,559 บาท ค่าไฟของคนลำปาง ปี 2558 คิดเป็น 5.15% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 6.53% เพิ่มขึ้น 1.38%

แพร่ ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 399,470,083 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 20.67 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 435 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 629 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 194 บาท 

รายได้ต่อหัวของคนแพร่ในปี 2558 อยู่ที่ 7,819 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 9,402 บาท ค่าไฟของคนแพร่ ปี 2558 คิดเป็น 5.56% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 6.69% เพิ่มขึ้น 1.13%

น่าน ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 312,078,277 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 19.78 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 290 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 498 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 208 บาท 

รายได้ต่อหัวของคนน่านในปี 2558 อยู่ที่ 6,160 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 7,809 บาท ค่าไฟของคนน่าน ปี 2558 คิดเป็น 4.71% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 6.38% เพิ่มขึ้น 1.67%

พิจิตร ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 679,178,172 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 18.56 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 596 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 799 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 203 บาท 

รายได้ต่อหัวของคนพิจิตร ในปี 2558 อยู่ที่ 7,742 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 8,470 บาท ค่าไฟของคนพิจิตร ปี 2558 คิดเป็น 7.70% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 9.43% เพิ่มขึ้น 1.74%

พะเยา ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 363,790,639 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 12.67 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 328 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 482 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 154 บาท 

รายได้ต่อหัวของคนพะเยาในปี 2558 อยู่ที่ 6,907 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 7,578 บาท ค่าไฟของคนพะเยาปี 2558 คิดเป็น 4.75% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 6.36% เพิ่มขึ้น 1.61%

เชียงราย ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 1,273,534,157 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 12.44 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 313 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 400 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 87 บาท 

รายได้ต่อหัวของคนเชียงรายในปี 2558 อยู่ที่ 5,247 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 5,773 บาท ค่าไฟของคนเชียงรายปี 2558 คิดเป็น 5.97% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 6.93% เพิ่มขึ้น 0.96%

ตาก ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 617,386,574 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 11.78 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 434 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 541 บาท มีส่วนต่างค่าไฟอยู่ที่ 107 บาท 

รายได้ต่อหัวของคนตากในปี 2558 อยู่ที่ 6,644 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 8,128 บาท ค่าไฟของคนตาก ปี 2558 คิดเป็น 6.53% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 6.66% เพิ่มขึ้น 0.12%

แม่ฮ่องสอน ทั้งจังหวัดใช้ไฟเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 125,576,704 หน่วย และจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 9.22 บาท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ค่าไฟจากปี 2558 เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 258 บาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 336 บาท มีส่วนต่างอยู่ที่ 78 บาท 

รายได้ต่อหัวของคนแม่ฮ่องสอนในปี 2558 อยู่ที่ 5,214 บาท ส่วนในปี 2566 อยู่ที่ 6,761 บาท ค่าไฟของคนแม่ฮ่องสอนปี 2558 คิดเป็น 4.95% ของรายได้ต่อหัว ในขณะที่ปี 2566 คิดเป็น 4.97% เพิ่มขึ้น 0.02%

กิจการขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ กลุ่มเดียว ใช้ไฟเทียบเท่าภาคเหนือ ‘ทั้งภาค’ ในปี 2567

เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการใช้ไฟฟ้าในปี 2567 พบว่า กลุ่มกิจการขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ (ซึ่งรวมถึงธุรกิจขนาดใหญ่ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และหน่วยงานรัฐขนาดใหญ่) ใช้ไฟฟ้าเทียบเท่ากับภาคเหนือทั้งภาค

หากเปรียบเทียบกับจังหวัดที่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุดในภาคเหนืออย่าง ‘เชียงใหม่’ กิจการขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ใช้ไฟมากกว่าถึง 4.49 เท่า

และเมื่อเทียบกับจังหวัดที่ใช้ไฟน้อยที่สุดอย่าง ‘แม่ฮ่องสอน’ กลุ่มกิจการนี้ใช้ไฟฟ้ามากกว่าถึง 101.56 เท่า

– ภาคเหนือมีใช้ไฟฟ้า (ทั้งปี) อยู่ที่ 20,165 ล้านหน่วย 

– กิจการขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ใช้ไฟฟ้า (ทั้งปี) อยู่ที่ 18,178 ล้านหน่วย

– เชียงใหม่ใช้ไฟฟ้า (ทั้งปี) อยู่ที่ 4,045 ล้านหน่วย

– แม่ฮ่องสอนใช้ไฟฟ้า (ทั้งปี) อยู่ที่ 179 ล้านหน่วย

นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเดือนที่ใช้ไฟฟ้ามากสุด ของ กิจการขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ, 17 จังหวัดภาคเหนือ, เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน พบว่า กิจการขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ แม้จะใช้ไฟน้อยกว่า 17 จังหวัดภาคเหนือ แต่เมื่อเทียบกับระดับจังหวัดใช้ไฟมากกว่าเชียงใหม่ 3.83 เท่า และมากกว่าแม่ฮ่องสอน 84.78 เท่า

– ภาคเหนือมีใช้ไฟฟ้า (เดือน พ.ค.) อยู่ที่ 2,040 ล้านหน่วย 

– กิจการขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ใช้ไฟฟ้า (เดือน พ.ค.) อยู่ที่ 1,611 ล้านหน่วย

– เชียงใหม่ใช้ไฟฟ้า (เดือน พ.ค.) อยู่ที่ 420 ล้านหน่วย

– แม่ฮ่องสอนใช้ไฟฟ้า (เดือน พ.ค.) อยู่ที่ 19 ล้านหน่วย

ไฟฟ้าบนความเสมอภาค ปฐมบทของการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม

แม้ว่าข้อมูลโรงไฟฟ้าจะสะท้อนภาพ ‘ความมั่นคงด้านพลังงาน’ ในภาคเหนือได้ ผ่านกำลังผลิตที่มีอยู่มากกว่า 4,000 เมกะวัตต์ ซึ่งยังไม่รวมถึงการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน 1,473 เมกะวัตต์ ทว่าเบื้องหลังความมั่นคงนั้น กลับปรากฎความเหลื่อมล้ำที่ยังฝังรากลึกในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนชุมชนที่ “ไม่ได้รับอนุญาต” ให้มีไฟฟ้าใช้ เพราะพวกเขาถูกจำกัดด้วยกฎหมายที่ล้าสมัย หรือกระทั่งภาระค่าไฟที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสวนทางกับรายได้ของผู้คนในภาคเหนือที่เติบโตอย่างเชื่องช้า

พลังงานไฟฟ้าจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลขหรือสถิติ หากแต่เป็น ‘สิทธิ’ ที่ทุกคนควรเข้าถึงอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน ‘สาธารณูปโภคพื้นฐาน’ ที่รัฐต้องจัดหาให้กับประชาชน แต่ประชาชนกลับมีสถาเป็นเพียง “ผู้ใช้และผู้จ่าย” ที่ทำได้เพียงรอคอยการบริหารจัดการจากภาครัฐเท่านั้น 

ในขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุค ‘เปลี่ยนผ่านพลังงาน’ (Energy Transition) เพื่อเดินหน้าสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่การไปให้ถึง ‘การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม’ (Just Energy Transition) จึงไม่อาจละเลยข้อเท็จจริงของคนที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ คนที่ต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าที่ควร หรือคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพราะข้อจำกัดหรือเงื่อนไขของโครงสร้างทางนโยบายได้

การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมจึงรวมถึงการวางระบบใหม่ ที่ไม่เพียงแต่เปลี่ยนไปสู่พลังงานหมุนเวียน แต่ต้องเปลี่ยน ‘โครงสร้างโอกาส’ ให้ทุกคนมีสิทธิและศักยภาพในการเข้าถึงพลังงานอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเป็นใคร และจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม

เพราะในท้ายที่สุด พลังงานที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่ภาพของแสงไฟที่สว่างไสวในยามค่ำคืน แต่ต้องเป็นพลังที่จุดประกายความเสมอภาคให้ทุกคนสามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้อย่างเป็นธรรม

อ่าน [ชุดข้อมูล] สำรวจโรงไฟฟ้าภาคเหนือ ปี 2568 กำลังการผลิตไฟฟ้าทะลุ 4,000 เมกะวัตต์ รัฐ-เอกชนแบ่งกันคนละครึ่ง https://www.lannernews.com/14062568-03/

ที่มา

วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง

อดีตนักศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง ผู้ชื่นชอบในการเดินป่า ปรัชญาและดนตรีสากล พบเจอได้ตามร้านขายเครื่องดื่ม ทุกเทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง