เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ตัวแทนชุมชนปกาเกอะญอจากบ้านป่ากล้วย บ้านห้วยเสือ บ้านห้วยม่วง และบ้านห้วยงู ต.แม่เหาะ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ร่วมกับสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อสิทธิมนุษยชน และศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น จัดเวทีสาธารณะนำเสนอข้อมูลการจัดการทรัพยากรชุมชน ณ คริสตจักรบ้านป่ากล้วย เพื่อเรียกร้องให้กันพื้นที่ชุมชนออกจากการเตรียมประกาศเขตอุทยานแห่งชาติแม่สะเรียง
เวทีดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกที่อุทยานแห่งชาติแม่สะเรียง (เตรียมการ) ได้รับฟังข้อคิดเห็นจากชุมชนอย่างเป็นทางการ โดยมีนายมิตร อุตมะ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 และนายมาโนช กิ่งเมือง รักษาการหัวหน้าอุทยานฯ เข้าร่วมรับฟัง
สุมิตรชัย หัตถสาร ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น กล่าวในเวทีว่า กระบวนการเตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติแม่สะเรียงที่ผ่านมาไม่ได้เป็นไปตามหลักการมีส่วนร่วมที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยเฉพาะขั้นตอนการเดินสำรวจแนวเขตและเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ชุมชนในพื้นที่ไม่เคยได้รับแจ้ง หรือได้รับรู้ข้อมูลอย่างชัดเจน จนกระทั่งมีการจัดเวทีรับฟังความเห็นในปี 2563 ซึ่งในเวลานั้น ชุมชนกว่า 3,000 คนจาก ต.ป่าแป่ ได้รวมตัวคัดค้าน
ขณะที่วันที่ 16 มิ.ย. 2565 ทางอุทยานฯ ได้ประกาศให้ชุมชนร่วมรับฟังแผนบริหารจัดการทรัพยากร แต่ชุมชนระบุว่าไม่ทราบข้อมูลดังกล่าว และไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการจัดทำแผน

วิศรุต ศรีจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายภาคสนาม มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ยกตัวอย่างพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานแห่งชาติออบขาน จ.เชียงใหม่ ซึ่งเกิดการคัดค้านจากชุมชนเช่นกัน เนื่องจากเวทีรับฟังความคิดเห็นจัดที่อำเภอโดยไม่มีการสื่อสารที่เพียงพอกับชุมชน ทำให้หลายชุมชนไม่ได้เข้าร่วมและออกมาคัดค้าน กระบวนการนี้สะท้อนว่าชุมชนทั่วประเทศที่อยู่ในพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานฯ 23 แห่ง กำลังเผชิญความไม่เป็นธรรมจากการขาดการมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบ
ในเวทีมีข้อเสนอจากภาคประชาชนที่เน้นให้ “เดินสำรวจแนวเขตร่วมกับชุมชนใหม่ทั้งหมด” เพื่อหลีกเลี่ยงการทับซ้อนกับพื้นที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน และพื้นที่จิตวิญญาณของชุมชน พร้อมทั้งชี้ว่า การเพิกถอนพื้นที่ชุมชนออกจากอุทยานฯ ไม่ได้ทำให้พื้นที่กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม เพราะยังคงอยู่ในสถานะ “ป่าสงวน” ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สุคิด ประดับภูทอง เจ้าหน้าที่เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงความสำคัญของข้อมูลจากฝั่งชุมชน เช่น ประวัติศาสตร์ แผนการใช้ประโยชน์ และแผนที่ เพื่อยืนยันสิทธิการอยู่อาศัยก่อนการออกกฎหมายป่าไม้ โดยเสนอให้จัดทำแผนที่ร่วมระหว่างรัฐและชุมชน เพื่อป้องกันการกล่าวอ้างว่า “ชุมชนไม่มีข้อมูล” หรือ “เหมารวมพื้นที่ป่า”

นายมาโนช กิ่งเมือง รักษาการหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแม่สะเรียง ระบุว่า หากพบว่าพื้นที่อุทยานฯ ทับซ้อนกับชุมชน ทางอุทยานยินดีปรับแนวเขตให้ โดยมีหลักปักเขตห่างจากพื้นที่ทำกินประมาณ 2 กิโลเมตร และเปิดโอกาสให้ชุมชนแสดงความเห็นในเวทีรับฟังต่อไป
นายมิตร อุตมะ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์ฯ ยืนยันว่า ทางอุทยานฯ ได้กันพื้นที่ชุมชนออกแล้ว และเคยลงพื้นที่ชี้แจงก่อนหน้านี้ พร้อมแสดงความเข้าใจวิถีการทำไร่หมุนเวียนของชุมชน และเห็นว่าการพิจารณาข้อมูลการใช้พื้นที่ควรอิงจากภาพถ่ายทางอากาศย้อนหลังจนถึงก่อนปี 2545

ในช่วงท้ายของเวที ตัวแทนชุมชนจาก 8 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านป่ากล้วย ห้วยม่วง ห้วยเสือ ห้วยงู แม่สวรรค์หลวง ผาแดง ขนุน และโป่งน้อย (มอปู) ได้ยื่นหนังสือถึงสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (แม่สะเรียง) โดยมีข้อเรียกร้องสำคัญ 6 ประการ ได้แก่:
1.ยกเลิกการสำรวจจัดที่ดินตามแนวทาง คทช. และมติ ครม. 26 พ.ย. 2561 ขอเข้าสู่แนวทาง “โฉนดชุมชน พ.ศ. 2553”
2.กันพื้นที่ชุมชนทั้งหมดออกจากพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานฯ และจัดเวทีประชาคมร่วมรับรองแนวเขต
3.ปฏิบัติตามข้อตกลงกับรัฐบาลเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่
4.ตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาโดยมีตัวแทนชุมชนร่วมอยู่ด้วย
5.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน เช่น ถนน น้ำ ไฟฟ้า
6.ยุติโครงการเพิ่มพื้นที่ป่าทุกประเภท และจัดเวทีชี้แจงระดับชุมชนก่อนดำเนินการใด ๆ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...