ภาพ: กัญญ์วรา หมื่นแก้ว และ IMN เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง
18 กันยายน 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป โดยกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่ให้การยอมรับสิทธิ อัตลักษณ์ และวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์อย่างเป็นทางการ
เหตุผลในการตรากฎหมายระบุว่า กลุ่มชาติพันธุ์มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ภาษา ภูมิปัญญา และความเชื่อตามจารีตประเพณีที่สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน กฎหมายฉบับนี้จึงจำเป็นเพื่อคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ให้สามารถดำรงวิถีชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสากล และสอดคล้องกับมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
หลักการสำคัญของกฎหมายชาติพันธุ์เน้น 3 ประการ ได้แก่ คุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม ส่งเสริมศักยภาพ และสร้างความเสมอภาค โดยมุ่งเน้นสาระสำคัญ 5 ข้อ คือ
- วางหลักการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์
- กำหนดกลไกการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิต
- จัดตั้งสภากลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย
- จัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อกำหนดนโยบาย
- จัดตั้งเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
บทบัญญัติสำคัญ เช่น มาตรา 9 ให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมตามความจำเป็นต่อการดำรงชีพหรือกิจกรรมสาธารณะของชุมชน ส่วนหมวด 5 มาตรา 37–39 กำหนดการจัดตั้ง ‘พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์’ เพื่อการจัดการทรัพยากรร่วมโดยไม่ขัดกับกฎหมายอื่น เช่น พ.ร.บ.อุทยานฯ

พชร คำชำนาญ หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมร่างกฎหมาย ระบุผ่านเฟซบุ๊กว่า การบังคับใช้กฎหมายครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะทางกฎหมายของชุมชนชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย กฎหมายช่วยให้ชุมชนกว่า 6 ล้านคนมีช่องทางปกป้องสิทธิและวิถีชีวิตดั้งเดิมอย่างถูกกฎหมาย หลังเผชิญอคติและการละเมิดสิทธิในอดีตหลายทศวรรษ
แม้กฎหมายฉบับนี้จะยังมีข้อจำกัด เช่น การตัดคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ และความเข้มข้นของการประกาศพื้นที่คุ้มครองที่ยังจำกัดจากกฎหมายป่าไม้และอนุรักษ์ แต่พชรเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการต่อด้วยการออกกฎหมายลูก ยกเลิกนโยบายหรือกฎหมายที่กระทบเชิงลบต่อกลุ่มชาติพันธุ์ และสร้างความเข้าใจเชิงบวกต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชน เพื่อให้สิทธิทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนได้รับการคุ้มครองอย่างสมบูรณ์
การบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองชาติพันธุ์ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ชุมชนชาติพันธุ์ในประเทศไทยมีสิทธิ มีเสียง และมีอนาคต สามารถรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและดูแลทรัพยากรธรรมชาติของตนได้อย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกัน กัญญ์วรา หมื่นแก้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ก็ได้แสดงความรู้สึกต่อการประกาศใช้กฎหมายคุ้มครองชาติพันธุ์ว่า รู้สึกยินดีกับพี่น้องชาติพันธุ์อย่างแท้จริง เพราะการมีกฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นในสังคมไทยไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากตลอดหลายชั่วอายุคนที่ผ่านมา พี่น้องชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองกว่า 6 ล้านคนถูกผลักไสจากสังคม ถูกแบ่งแยกและมองว่าเป็นอื่น ถูกตีตราว่าเป็นผู้บุกรุกป่า ทำลายทรัพยากร และไม่ได้รับสิทธิหรือคุณภาพชีวิตเทียบเท่าคนไทย
บางครั้งเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นที่ผู้นำไทยเคยกล่าวในเวทีสาธารณะระดับโลกว่าประเทศไทยไม่มีชนเผ่าพื้นเมือง นอกจากนี้ การปฏิบัติต่อพี่น้องชาติพันธุ์ของผู้คนในสังคมยังเต็มไปด้วยท่าทีแบ่งเขาแบ่งเรา ดูแคลน และเหยียดหยาม สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าอคติทางชาติพันธุ์ถูกสั่งสมและฝังรากลึกมานานหลายทศวรรษ

เธอยังกล่าวอีกว่า การมีกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้หมายความว่าสังคมจะเข้าใจพี่น้องชาติพันธุ์ได้ทันที เพราะรากอคติที่ฝังลึกต้องใช้เวลาและความพยายามจากหลายฝ่ายในการรื้อถอน แต่การเกิดขึ้นของกฎหมายถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่รัฐไทยยอมรับการมีตัวตนและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพี่น้องชาติพันธุ์ในสังคมไทย
“เราไม่ได้จะบอกว่าการมีกฎหมายฉบับนี้จะทำให้สังคมเข้าใจพี่น้องชาติพันธุ์ได้ทันที เพราะรากอคติที่ฝังลึกต้องใช้เวลาและความพยายามจากหลายฝ่ายในการรื้อถอน แต่การเกิดขึ้นของกฎหมายถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่รัฐไทยยอมรับการมีตัวตนและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพี่น้องชาติพันธุ์ในสังคมไทย”
กัญญ์วรามองว่า นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการใช้กฎหมายฉบับนี้เป็นฐานสร้างความเข้าใจของสังคมต่อพี่น้องชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องทำในระยะยาว อีกแง่หนึ่งคือกฎหมายนี้เปิดโอกาสให้วิถีชีวิต วัฒนธรรม และองค์ความรู้ดั้งเดิมหลายสิ่งที่ถูกทำลายหรือหายไปจากนโยบายและข้อจำกัดของสังคม กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“โดยข้อมูลทางมนุษยวิทยาและสังคมวิทยาเหล่านี้มีคุณูปการต่อสังคมอย่างมาก คิดว่าการมีกฎหมายฉบับนี้จะเป็นส่วนช่วยยืนยันกับตัวพี่น้องชาติพันธุ์เองว่า สิ่งที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนานไม่ได้สูญเปล่า การยืนหยัดเพื่อสิทธิ การยืนยันว่าวิถีชีวิตของเขาไม่ได้เป็นปัญหา และเขามีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ต้องได้รับการเคารพอย่างเสมอกันกับทุกคนในสังคม”
ทั้งนี้ กัญญ์วรายังตั้งข้อสังเกตว่า มีเนื้อหาสำคัญบางส่วนถูกตัดออกระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมาย ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น หมวด 5 มาตรา 37 เรื่องพื้นที่คุ้มครอง ที่ระบุว่าการประกาศพื้นที่คุ้มครองใดๆ ต้องดำเนินการ ‘ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง’ ซึ่งหมายถึงกฎหมายป่าไม้ที่เข้มงวด ไม่ว่าจะเป็น พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2562 หรือกฎหมายอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทั้งหมดล้วนถูกตราขึ้นโดยไม่ได้รับการมีส่วนร่วมของชุมชนดั้งเดิมในพื้นที่
อีกประเด็นที่น่าสังเกตคือ การใช้คำว่า ‘ชาวไทยชาติพันธุ์’ แทนคำว่า ‘กลุ่มชาติพันธุ์’ หรือ ‘กลุ่มคน’ อาจทำให้สิทธิที่ควรครอบคลุมทุกคนในประเทศหล่นหายไป คนไร้สัญชาติที่เป็นชาติพันธุ์หรือชนเผ่าพื้นเมืองอาจไม่ได้รับการนับรวมเป็นผู้มีสิทธิภายใต้กฎหมายนี้ แค่เพราะรัฐไทยกังวลเรื่องความมั่นคงและเข้าใจผิดว่าอาจหมายถึงกลุ่มคนที่ต้องการแยกดินแดนหรือสร้างรัฐอิสระ ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงการเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานในฐานะมนุษย์เท่านั้นเอง
ชนเผ่าพื้นเมืองทั่วประเทศร่วมเฉลิมฉลองกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568

ระหว่างวันที่ 19-21 กันยายน 2568 ที่ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กรุงเทพฯ กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองจากทั่วประเทศรวมตัวกันในงาน ‘ภูมิปัญญาชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ สร้างสรรค์สังคมไทย’ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองการประกาศใช้ พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ 4 ในภูมิภาคอาเซียน ต่อจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ที่มีกฎหมายคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์
ผศ.ดร.แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรฯ กล่าวในพิธีเปิดว่า ในฐานะหน่วยงานหลักที่ร่วมผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ร่วมกับเครือข่ายพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ปี 2568 การจัดงานสอดคล้องกับวันสากลว่าด้วยชนพื้นเมือง และถือเป็น หมุดหมายสำคัญของสังคมไทย เพราะรัฐสภาได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติชาติพันธุ์ฉบับแรกของประเทศ ซึ่งเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการยกระดับการคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล
ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองจากทั่วประเทศที่เข้าร่วมงาน ต่างแสดงความเห็นต่อการประกาศใช้ พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 วันแรก
ปิ่นสุดา นามแก้ว ตัวแทนจากชาติพันธุ์ดาราอาง กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่เข้ามาคุ้มครองวิถีชีวิต อัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ให้สามารถดำเนินวิถีชีวิตของตนเองต่อไปได้
“กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ให้อภิสิทธิ์แก่ใคร แต่เป็นกฎหมายที่ยืนยันว่าเรามีสิทธิ ในเรื่องของการดำรงวิถีชีวิตของเราได้ กฎหมายฉบับนี้เหมือนเครื่องยืนยันว่าเรามีวิถีอัตลักษณ์ของเราอย่างไร ก็สามารถใช้ชีวิตแบบที่เราเคยมีต่อไปได้ เพราะมันคือสิทธิในสิ่งที่เราพึงมีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
ด้าน เดียว ทะเลลึก ตัวแทนจากชาติพันธุ์อูรักลาโว้ยเล่าว่า ชาวอูรักลาโว้ยเดินทางอพยพมาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ 500 ปีที่แล้วจากฝั่งอินโดนีเซีย โดยทำมาหากินกันในโซนทะเลอันดามันตั้งแต่เกาะภูเก็ต, เกาะหลีเป๊ะ, และเกาะลันตา เป็นต้น โดยมีอาชีพหลักทำการประมง และอาชีพรับจ้างให้กับธุรกิจท่องเที่ยวตามวิถีชีวิตและโลกที่เปลี่ยนไป
เขายังกล่าวอีกว่า เขาดีใจมากที่กฎหมายผ่าน เพราะได้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนกฎหมายฉบับดังกล่าวนี้มาร่วม 10 ปี เขาหวังว่าหลังจากกฎหมายฉบับนี้ผ่าน ชาวอูรักลาโว้ยจะมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีที่อยู่อาศัยที่ทำกินที่มั่นคง รวมทั้งยังคงสามารถดำรงไว้ซึ่งพื้นที่ทางจิตวิญญาณ
“ชาวอูรักลาโว้ยมีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง ถ้าไม่มีกฎหมายนี้อัตลักษณ์เหล่านี้ก็จะหายไปจากสังคมไทยในสักวันหนึ่ง และถ้าไม่หลงเหลืออัตลักษณ์ที่บ่งบอกตัวตนชาติพันธุ์ของเรา ความภูมิใจมันก็จะเลือนหายไปจากตัวเรา”
ขณะเดียวกัน ขวัญเมือง เรียนผง ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ไตดำจากภาคกลาง กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่กฎหมายที่จะมีมาเพื่อคุ้มครองคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นกฎหมายที่จะคุ้มครองคนที่อยู่ประเทศไทยตั้งแต่เหนือจรดใต้ อยู่บนภูเขาจรดทะเล โดยเธอมีความหวังว่ากฎหมายดังกล่าวจะช่วยคุ้มครองภาษาไตดำที่กำลังสูญหาย และทำให้อัตลักษณ์ของชาวไตดำอยู่คู่กับสังคมไทยได้ต่อไปยังยั่งยืน
ภายในงาน ‘ภูมิปัญญาชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ สร้างสรรค์สังคมไทย’ ยังมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น การจำหน่ายสินค้าและผลผลิตทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์จากชุมชนชนเผ่าพื้นเมือง การแสดงดนตรีและวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ รวมทั้งนิทรรศการต่างๆ ระหว่างวันที่ 19–21 กันยายน 2568 ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กรุงเทพฯ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...